โชเซ่น ดิจิตอล จับมือ M Mobility องค์กร EV ระดับโลก เพื่อสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พร้อมตอบโจทย์เทคโนโลยีตลาด EV ทั่วโลก
วันนี้ (1 ก.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเร็วๆนี้ ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค กรุงเทพฯ บริษัท โชเซ่น ดิจิตอล จำกัด (CHOSEN Digital Co.,Ltd.) และ M Mobility องค์กร EV ระดับโลกจากประเทศไต้หวัน ได้ประกาศร่วมมือกันอย่างเป็นทางการ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสองบริษัท ได้แก่ นายแจ็ค เฉิง (Mr. Jack Cheng) Chairman ของ M Mobility และนายวรพจน์ รื่นเริงวงศ์ CEO ของบริษัท โชเซ่น ดิจิตอล จำกัด ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม EV Charging and Energy Management Ecosystem พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร
โดยการลงนามในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนา EV Charging and Energy Management Ecosystem Platform สร้างสรรค์เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ทันสมัยและยั่งยืน โดยจะทำตลาดในประเทศไทย และมุ่งสู่ตลาดทั่วโลก
ในการนี้ นายแจ็ค เฉิง ประธานของ M Mobility แถลงถึงความสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ว่า “สโลแกนของเรา M Mobility คือการทําให้การเดินทางของคุณยั่งยืนและน่ารื่นรมย์ "เรามีความมุ่งหมายที่จะนำเสนอโซลูชันการเดินทางของผู้คนให้มีความรื่นรมย์และยั่งยืนด้วยการบูรณาการนวัตกรรมต่างๆ เช่น AI หุ่นยนต์ เทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติ และการใช้พลังงานไฟฟ้าสีเขียว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริการธุรกิจตามแพลตฟอร์ม MIH (Mobility In Harmony) องค์กร EV นานาชาติ ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง M Mobility และ CHOSEN Digital จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนส่วนอื่นๆ ในแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในท้ายที่สุด
นายแจ็ค เฉิง (Mr. Jack Cheng) เป็นบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงมากในวงการรถ EV ของโลก และเคยสัมภาษณ์ลงสื่อหลักต่างๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ ยังเคยเป็นประธาน MIH (Mobility In Harmony) องค์กรผู้นำระดับโลกด้าน EV สนับสนุนโดย Foxconn และมีสมาชิกเป็นบริษัทชั้นนำด้าน EV และเทคโนโลยีระดับโลกมากกว่า 73 ประเทศ โดย M Mobility มีหน้าที่ผลักดันเทคโนโลยีของ MIH สู่ตลาดโลก
นอกจากนี้ นายแจ็ค เฉิง ยังเคยเป็นประธานของ Fiat และ Ford และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งรถ EV ยี่ห้อ NIO ซึ่งเป็นแบรนด์รถ EV จีน ที่ขายดีติดอันดับโลก จนเข้าตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ที่อเมริกา และยังเป็นรถขับเคลื่อนอัตโนมัติ Autonomous Car จำนวนมากที่สุดในโลก และโด่งดังมากจากรุ่น EP9 ที่เป็นรถ EV ที่เร็วที่สุดในโลก และ NIO ยังทำรถแข่งไฟฟ้าสูตร 1 Formula E ได้แชมป์โลกอีกด้วย
ด้าน นายวรพจน์ รื่นเริงวงศ์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท CHOSEN กล่าวเสริมว่า เราเชื่อมั่นในแนวโน้มการเติบโตของ EV ทั่วโลก ซึ่งทาง M Mobility ก็เล็งเห็นโอกาสในตลาดอนาคตของ EV โลก ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแต่รถ แต่คือพลังงานและเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งจะเห็นถึงความสามารถของ CHOSEN ที่ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติในประเทศไทยและโลกหลายรางวัล รวมถึงมีข้อตกลงความร่วมมือ MOU และพัฒนาระบบควบคุมพลังงานรถไฟฟ้าให้กับ PEA การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ NT National Telecom จึงเลือกที่จะพัฒนาเทคโนโลยี และร่วมมือกับ CHOSEN เพื่อไปตอบสนองเทคโนโลยีตลาด EV ทั่วโลก เป็นการนำจุดเด่นของ CHOSEN คือความเชี่ยวชาญในด้านการชาร์จรถ EV และการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าไปร่วมเสริมพลังกับ M Mobility ซึ่งในท้ายสุดจะนำไปสู่การพัฒนาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกได้อย่างแท้จริง
นายวรพจน์กล่าวอีกว่า แพลตฟอร์ม EV Charging and Energy Management Ecosystem ที่จะพัฒนาร่วมกันนี้จะรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การจัดการพลังงาน และเทคโนโลยีการควบคุมพลังงาน ซึ่งจะเป็นการยกระดับการใช้และบริหารพลังงานอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายประเทศขณะนี้
"สำหรับโครงการนี้ยังมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีการชาร์จที่ล้ำสมัยในอนาคต เพื่อให้ผู้ใช้สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่สามารถบริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยความร่วมมือครั้งนี้ยังมีบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ เข้ามาร่วม เช่น คุณธิดารัตน์ มัทราช Deputy Director Business Development Department การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค PEA, ดร.ไพโรจน์ ลิขิตธนเศรษฐ์ Vice President - Management and Sale Support Department, National Telecom (NT) และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ เข้าร่วมด้วย เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีแผนที่จะขยายความร่วมมือไปยังภาคส่วนอื่นๆ อีกด้วย การลงนามใน MOU ครั้งนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องไปสู่ตลาดโลก"
นายวรพจน์กล่าวในตอนท้ายว่า ทั้งสองบริษัทตั้งเป้าที่จะเริ่มโครงการแรกภายในไตรมาสที่สามของปีนี้ และคาดว่าจะมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในปี 2025 โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถใช้ได้ในวงกว้างทั้งในประเทศและต่างประเทศ