เรื่องของนักสร้างคอนเทนต์กับคนหิวแสงมาบรรจบกัน “แก๊งเชื่อมจิต” กับ “หนุ่ม กรรชัย” ฟ้องร้องกันไปมา จนเกิดดราม่าบน สน.ทองหล่อ ตำรวจต้องยกขบวนไปขอโทษถึงช่อง 3 ขณะกลุ่มเชื่อมจิตก็ไปหาแสงต่อกับพระพยอมที่กำลังต้องการแสงพอดี
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงเหตุการณ์ การทะเลาะกันระหว่างกลุ่มลัทธิเชื่อมจิต กับ “หนุ่ม” กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการโหนกระแส ทางช่อง 3 ที่มีการแจ้งความกันไปมาทั้งสองฝั่ง
ประเด็นที่เป็นกระแสล่าสุด สืบเนื่องมาจากทาง หนุ่ม กรรชัย ได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มลัทธิเชื่อมจิต ซึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก และ นายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความส่วนตัว ในข้อหา "หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา" ทั้งโดยส่วนตัวและในส่วนของบริษัท ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการออกหมายเรียกแล้ว 1 ครั้ง แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้เดินทางเข้ามา โดยมีการเรียกอีกครั้งในวันที่ 5 มิถุนายน
แต่ปรากฏว่าวันที่ 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา กลุ่มเชื่อมจิต ได้เดินทางไปที่ สน.ทองหล่อเพื่อให้ปากคำก่อนวันนัดจริง“หนุ่ม กรรชัย” จึงเดินทางไปที่ สน.ทองหล่อ อ้างว่าเพื่อติดตามคดีนี้ด้วยตัวเอง เพราะมีความกังวล เนื่องจากนัดกับตำรวจ เจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและสหวิชาชีพไว้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 5 มิถุนายน 2567 แต่กลับมาก่อนกำหนด อาจทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมารับภาระเพิ่ม และสร้างความเสียหายต่อคดีความอื่นๆ ก็เลยมาในฐานะเจ้าทุกข์และอยากสอบถามความคืบหน้าของคดี
ต่อมาพอถึงเวลาพิมพ์ลายนิ้วมือ ครอบครัวและกลุ่มเชื่อมจิตร้องขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการที่ชั้น 1 ของสถานี แทนที่ตามปกติจะต้องขึ้นไปชั้น 2 เพื่อเลี่ยงนักข่าว ทำให้ หนุ่ม กรรชัย, ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง และทนายความก็เลยโวยวายว่าตำรวจ 2 มาตรฐาน ให้อภิสิทธิ์กับครอบครัวนี้
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มแฟนคลับมาให้กำลังใจ หนุ่ม กรรชัย มีกลุ่มนักข่าวช่อง 3 มากดดัน เจ้าหน้าที่
นายสนธิ กล่าวว่าจริงๆ แล้วการเดินทางไปให้ปากคำก่อนวันนัดเป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่องขั้นตอนปั๊มลายนิ้วมือก็อาจจะเป็นเรื่องของการรักษาสิทธิ์และคุ้มครองเด็ก ไม่ให้มีภาพเด็กหลุดออกไปในสื่อ
“ซึ่งผมมองว่างานนี้คุณหนุ่ม กรรชัย หิวแสงเกินไป เมื่อแจ้งความแล้วก็ควรรอให้คดีดำเนินไปตามกระบวนการจะสวยกว่า ไม่ต้องขนนักข่าวช่องสาม ขนแฟนคลับไปหาแสงถึง สน.ทองหล่อ จริง ๆ คุณหนุ่มเป็นสื่อ เป็นพิธีกรก็ควรทำหน้าที่สื่อ และ พิธีกรต่อไป อย่าไปคิดสร้างคอนเทนต์ สร้างดราม่าให้มากนัก
“ส่วนนักข่าวช่องสาม ที่มาเย้วๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะตอนนี้ช่องสามแทบจะเป็นช่องชาวบ้านไปแล้ว เรื่องราวมีสาระ เรื่องที่มีผลกระทบกับอิทธิพลอำนาจ เรื่องราวตรวจสอบสังคม หาไม่เจอ มีแต่ประเด็นรับงาน เช่น กรณี “นายสรยุทธ กับ นักข่าวรายการข ข่าว 3 มิติ” กินข้าวเก่า 10 ปีโชว์ เป็นต้น” นายสนธิกล่าว
นอกจากนี้ ในเวลาต่อมา ยังเกิดการปะทะคารมกันระหว่าง หนุ่ม กรรชัย กับตำรวจในโรงพัก กรณีนายกรรชัย อ้างว่าจะไปปัสสาวะข้างใน สน.ชั้น1 แต่ตำรวจไม่ยอมให้เข้า จนเกิดถกเถียงกัน มีการแชร์คลิปในโลกออนไลน์ คนดูก็วิพากวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าตำรวจทำไม่ถูก
สุดท้าย วันอังคารที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 พร้อมด้วย พ.ต.ท.ณัฐกิตติ์ จอกโคกสูง รอง ผกก.ป.สน.ทองหล่อ และ พ.ต.ต.กฤษฎา ซอประเสริฐ สารวัตรป้องกันปราบปราม สน.ทองหล่อ ซึ่งเป็นบุคคลในคลิปที่มีปากเสียงกับ หนุ่ม กรรชัย ได้ยกขบวนเดินทางมาถึงอาคารมาลีนนท์ ไหว้ขอโทษ หนุ่ม กรรชัย ที่ตำรวจใช้กิริยาที่ไม่เหมาะสม จะปรับปรุงแก้ไข
“ผมเห็นภาพนี้แล้วก็รู้สึกขัดหูขัดตา ถ้าตำรวจทำหน้าที่ตัวเองดีแล้ว ยืนยันว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง จะมาขอโทษตามกระแสสังคมทำไม มาไหว้ขอโทษถึงอาคารมาลีนนท์แทนที่จะเอาเวลาไปบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน สรุป ตำรวจก็หิวแสง ทั้ง ผบก.น.5 ทั้งตำรวจ สน.ทองหล่อ
“ส่วน ฝ่ายครอบครัวแก๊งเชื่อมจิต เอง ผมไม่อยากพูดถึงมาก เพราะพูดไปหมดแล้วในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ EP.221 ออกอากาศเมื่อปลายปีที่แล้ว วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ไปย้อนดูเอาได้” นายสนธิกล่าว
สรุปง่ายๆ การที่ผู้ใหญ่แห่ไปกราบไหว้ปลกๆ เด็กประถมคนหนึ่ง เพียงเพราะเชื่อว่าเป็น “เด็กมหัศจรรรย์” นั่นคือความป่วยหนักของสังคมไทย หลอกได้แต่คนโง่ๆ เท่านั้น ตอนนี้เด็กก็ควรกลับไปทำหน้าที่ตัวเอง กลับไปเป็นเด็กธรรมดาไปเรียนหนังสือ พ่อแม่ก็ต้องเลิกเอาลูกมาหากิน ทำตัวเป็นพ่อแม่ที่ดีได้แล้ว ไม่ใช่พอโดนกระแสสังคมโจมตีก็วิ่งไปสร้างกระแส ไปหาพระพยอม
ข้างฝ่ายพระพยอมก็ต้องการแสงพอดีเหมือนกัน จับมือเด็ก 8 ขวบแล้วบอกว่า “มือนี้สร้างคุณธรรม สร้างโลกนะ โชคดี”
“สรุปเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของนักสร้างคอนเทนต์ และ คนหิวแสง หลาย ๆ คนมาบรรจบกันพอดี พอก็มี คนถามว่าผมรู้สึกอย่างไรกับข่าวนี้?
“คำตอบคือ ผมอายุมาก เห็นอะไรมามากจนรู้สึกตลกขบขัน และเซ็งไปกับสังคมไทยก็เท่านั้นเองครับ” นายสนธิกล่าว