1. โปรดเกล้าฯ ครม.เศรษฐา 1/1 แล้ว "เศรษฐา" กล้าทูลเกล้าฯ "พิชิต" ทนายถุงขนมนั่ง รมต. ส่อขาดคุณสมบัติ เหตุถูกจำคุกละเมิดอำนาจศาล หลายฝ่ายยื่นตรวจสอบ!
เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ แล้ว และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ นั้น บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า สมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตําแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๕๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี นายชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตําแหน่งหนึ่ง นายพิชัย ชุณหวชิร เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจักรพงษ์ แสงมณี เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นางสาวจิราพร สินธุไพร เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ซึ่งถูกปรับพ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เหลือเพียงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ตำแหน่งเดียว ได้ทำหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.2567 โดยอ้างว่า เพื่อเปิดทางให้ท่านอื่นเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน
โดยนายปานปรีย์ระบุถึงสาหตุของการปรับตนออกจากรองนายกฯ โดยเชื่อว่า ไม่เกี่ยวกับว่าตนไม่มีผลงาน เพราะตนทุ่มเททำงานด้านต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และตั้งใจทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนมากขึ้น จนสามารถตอบสนองต่อนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกอย่างเด่นชัด วันนี้ไทยหวนกลับมาขึ้นบนจอเรดาร์ของโลก มีมิตรประเทศเพิ่มขึ้น และมีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น ฯลฯ ...ขอขอบพระคุณนายกรัฐมนตรี ที่ให้โอกาสตนได้ทำงานกับรัฐบาลนี้มาช่วงเวลาหนึ่ง
ทั้งนี้ นายปานปรีย์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อทำนองว่า การดำรงตำแหน่งทั้งรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ทำให้การทำงานในฐานะ รมว.ต่างประเทศง่ายขึ้น การเหลือเพียงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ อาจทำให้ตนถูกต่างประเทศมองได้ว่า ทำงานบกพร่อง จึงถูกลดตำแหน่ง ซึ่งหากตนดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศตำแหน่งเดียวตั้งแต่แรก ยังเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายปานปรีย์ ลาออกหลังปรับ ครม.โดยถูกลดตำแหน่งเหลือเพียง รมว.การต่างประเทศ เพียงตำแหน่งเดียวว่า “เคารพในการตัดสินใจของท่าน ผมขอโทษถ้าเกิดผมทำให้พี่ไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็ขอขอบคุณที่ช่วยงานกันมา ...ผมเชื่อว่าก็คงมีคนที่พอใจ ไม่พอใจ สมหวัง และไม่สมหวัง จริงๆ แล้วผมอยากจะโฟกัสในสิ่งที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมาด้วยเวลา 7-8 เดือนที่ผ่านมาดีกว่า ในเรื่องที่ท่านทำมาและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ผมเชื่อว่ารัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนก็จะมาสานต่อในเรื่องดีๆ เหล่านี้“
ทั้งนี้ นายเศรษฐา ได้นำชื่อนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขึ้นทูลเกล้าฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แทนที่นายปานปรีย์ที่ลาออก ต่อมา 30 เม.ย. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
สำหรับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เป็นอดีตที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ (นายปานปรีย์) และทำงานใกล้ชิดนายเศรษฐา คอยติดตามไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศแทบทุกครั้ง และยังเป็นอดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ ตั้งแต่ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และยังเป็นคนใกล้ชิดนายทักษิณ ชินวัตร เคยช่วยงานนายทักษิณ ตั้งแต่สมัยนายทักษิณเป็น รมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย
เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐมนตรีใหม่หลังปรับ ครม. มีนายพิชิต ชื่นบาน ที่เคยมีกรณีอื้อฉาวและถูกเรียกว่า "ทนายถุงขนม" ดำรงตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ ด้วย จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสมที่นายเศรษฐาทูลเกล้าฯ ชื่อนายพิชิตขึ้นไป ซึ่งล่าสุด มีหลายภาคส่วนยื่นเรื่องต่อหลายหน่วยงานให้ตรวจสอบว่า นายพิชิตขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ เช่น ยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และยื่นต่อ กกต. เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
สำหรับนายพิชิต ชื่นบาน เป็นคนใกล้ชิดตระกูล “ชินวัตร” ได้รับความไว้วางใจให้เป็นทีมทนายความสู้คดีหลายคดี ซึ่งนายพิชิตโด่งดังจากกรณีที่ถูกศาลสั่งจำคุก ในฐานะหัวหน้าทีมทนายความ “ทักษิณ ชินวัตร” กรณีหิ้วถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาล ระหว่างการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ ของศาลฎีกาคดีแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลจึงมีคำสั่งจำคุกนายพิชิต ชื่นบาน 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานละเมิดอำนาจศาล
จากนั้น สภาทนายความได้มีมติเสียงข้างมาก 9 ต่อ 3 เสียง ให้ลงโทษหนักสุด ลบชื่อนายพิชิตออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ
ส่วนคดีที่ดินรัชดา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ต.ค.2551 ให้จำคุกนายทักษิณเป็นเวลา 2 ปี
2."อุ๊งอิ๊ง" โว พท.คิดถูกตั้ง รบ.ผสม แก้ปัญหาหมักหมมจากรัฐประหาร ซัด ก.ม.ให้แบงก์ชาติอิสระ เป็นอุปสรรคแก้ ศก. ลั่น เตรียมเปลี่ยน รบ.อุ้ยอ้าย เป็น รบ.ดิจิทัล แก้ ก.ม.ล้าสมัย!
เมื่อวันที่ 3 พ.ค. พรรคเพื่อไทยได้จัดงาน “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” ที่พรรคเพื่อไทย โดยภายในงาน มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรค ผู้บริหารพรรค สส. ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดของพรรคเพื่อไทย และบุคลากรของพรรค เข้าร่วมงาน
ทั้งนี้ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า เราตัดสินใจถูกต้องมากที่จัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ปัญหาปัจจุบันที่หมักหมมไว้จากการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งระบบราชการที่โตเกินไป ความอืดอาดในการทำงาน ด้วยโครงสร้างที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และภัยคุกคามทางความมั่นคงที่พัฒนาไปเร็วมาก รวมถึงภัยต่อเยาวชนจากยาเสพติด ทำให้ประชาชนอ่อนแอ ขาดโอกาสทำมาหากิน เศรษฐกิจใต้ดินสูงเป็นประวัติการณ์
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า เพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมากที่สุด หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมเข้าใจและร่วมมือ ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานนี้ได้ 10 เดือนที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามในการวิเคราะห์ เข้าใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเราเสียเวลาและโอกาสไปถึงเกือบ 2 ทศวรรษจากการรัฐประหาร เรามั่นใจว่าเราทำได้ และจะทำให้ได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ในมิติทางเศรษฐกิจ เริ่มต้นด้วยการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะเงินถูกดูดออกจากระบบไปมาก จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท จะทำให้ทุกคนต้องปรับตัว เพิ่มผลผลิตจากความพอกินของพนักงาน พรรคเพื่อไทยจะผลักดันเศรษฐกิจในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เติมเงินและเพิ่มค่าแรง แต่รวมไปถึงเม็ดเงินใหม่จากต่างประเทศจะเข้ามาจากการลงทุนและการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคน โดยการนำของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน
ในมิติของการบริหารราชการแผ่นดิน จะเปลี่ยนจากรัฐบาลอุ้ยอ้าย อืดอาด ไม่โปร่งใส เป็นรัฐบาลดิจิทัล บริหารด้วยความรวดเร็ว โปร่งใสตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ และมีซูเปอร์แอปฯ ในการบริการทุกมิติของภาครัฐ และเราจะปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม ใหม่อีกครั้งหนึ่งเร็วๆ นี้ พร้อมจะแก้กฎหมายทางเศรษฐกิจอีกหลายฉบับ ทั้งการยกเลิกกฎหมายล้าสมัย เขียนกฏหมายใหม่ให้ไทยกลับมาเป็นฮับทั้งการบินและการเงินของอาเซียนให้ได้
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ในด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ จะผูกมิตรกับทุกมหาอำนาจ และยินดีให้ไทยเป็นที่เจรจาความขัดแย้งจากทุกฝ่าย
พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดี มีรัฐมนตรีที่เก่ง สร้างอนาคตให้ประเทศไทย และที่สำคัญ จะต้องสามารถผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต แม้คู่แข่งพยายามทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเรา ด้อยค่าในสิ่งที่เราทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยไทยรักไทย เกิดวาทกรรม “30 บาทตายทุกโรค” แต่ทุกอย่างผ่านไป ด้วยการทำงานนโยบายสำเร็จ ผลงานเท่านั้นจะพิสูจน์ ไม่ใช่วาทกรรม หรือการใส่ความต่อว่าจากใคร เพราะ 30 บาทรักษาทุกโรคใช้ได้จริง และกำลังเดินหน้าพัฒนาครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี เป็น 30 บาทรักษาทุกที่
3. ศาลพิพากษาจำคุก "บรรยิน" 20 ปี คดีฟอกเงิน-โอนหุ้น "ชูวงษ์" 200 กว่าล้าน ยกฟ้อง แม่-น้องชายอดีตโบรกเกอร์!
เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องนายบรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต สส.นครสวรรค์ จำเลยที่ 1, น.ส.ศรีธรา หรือ เพ็ญนิชชา พรหมา จำเลยที่ 2 (มารดาของ น.ส.อุรชา) และนายประวีร์ วัชรประยงค์ยุติ หรือนายชัยพรรณ วชิรกุลฑล จำเลยที่ 3 (น้องชายของ น.ส.อุรชา) ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
คดีนี้ อัยการโจทก์ฟ้องว่า นายบรรยิน จำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาวคนสนิท จำเลยที่ 2 ในคดี ฟ.33/2565 ของศาลนี้ให้การรับสารภาพสมคบกันและร่วมกันปลอมเอกสารจำนำหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง (เสี่ยจืด) นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ได้ลงลายมือชื่อไว้เพื่อจำนำหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) โดยแก้ไขสาระสำคัญจากการจำนำหุ้น เป็นการโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของ น.ส.อุรชา โดยไม่มีค่าตอบแทน เพื่อร่วมกันลักเอาหุ้นนั้นไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต รวม 510,000 หุ้น มูลค่า 35,050,000 บาท และนายบรรยิน จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล อดีตสาวพริตตี้ จำเลยที่ 3 ในคดี ฟ.33/2565 ของศาลนี้ ซึ่งให้การรับสารภาพ ปลอมเอกสารจำนำหุ้นอันเป็นเอกสารสิทธิที่นายชูวงษ์ แซ่ตั้ง ลงลายมือชื่อไว้ โดยแก้ไขสาระสำคัญจากการจำนำหุ้นเป็นการโอนหุ้นบริษัทพลังบริสุทธิ์ (อีเอ EA ) ของนายชูวงษ์ไปให้กับ น.ส.กัญฐณา จำนวน 9,500,000 หุ้น คิดเป็นเงิน 228,000,000 บาท แล้วมีการขายหุ้นแล้ว โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า 2 ชื่อบัญชี น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล รวม 3 ครั้ง เป็นเงิน 28,000,000 บาท
การกระทำของ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ดังกล่าวเป็นความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษาแล้ว อันเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสารสิทธิ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือหนังสือเดินทางตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือเพื่อการค้าตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (14) จำเลยทั้งสามกับพวก ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน โดยแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ถอนเงิน โอนเงิน อันเป็นการโอนหรือรับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อน หรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อเป็นการปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน อำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินโดยรู้ในขณะที่ได้มา หรือครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญา
ทั้งนี้ จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่นายบรรยิน จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ 636/2563 หมายเลขแดงที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้
โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เบิกตัวนายบรรยิน จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำ ส่วนจำเลยที่ 2, 3 ได้ประกันตัว เดินทางมาฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล และ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง และนำมาสู่การเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ในคดีความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ และในคดีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องที่ศาลอาญาพระโขนง ซึ่งทั้งสองคดี ศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว
ซึ่งคดีนี้ โจทก์มีเจ้าหน้าที่ ปปง.พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ธนาคาร เบิกความสรุปได้ว่า หลังจากจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อโอนหุ้นของนายชูวงษ์และนำมาสู่การเสียชีวิตของนายชูวงษ์ในคดีความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสารแล้ว จากการสืบสวนเส้นทางการเงินพบว่า มีการโอนหุ้นเป็น 2 กลุ่ม จำเลยที่ 1 กับ น.ส.อุรชา ร่วมกันปลอมเอกสารแล้วโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 2 และขายหุ้นทั้งหมดภายในระยะเวลา 40 วัน จากนั้นโอนเงินที่ได้ไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทย ของจำเลยที่ 2 รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 33,000,000 บาท แล้วเบิกถอนเงินสดจากบัญชีธนาคารดังกล่าวหลายครั้ง รวมถึงเบิกถอนด้วยแคชเชียร์เช็คแล้วนำไปชำระค่าอสังหาริมทรัพย์โอนไปยังบัญชีบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 ซึ่งเปิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่รับโอน หรือ โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของตนเองที่เปิดขึ้นใหม่ และปรากฏข้อเท็จจริงตามทางการสืบสวนว่า จำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องโดยใช้โทรศัพท์ติดต่อกับ น.ส.อุรชา จำเลยที่ 2 บ่อยครั้ง รวมถึงในวันที่มีการทำธุรกรรมแต่ละรายการ จำเลยที่ 1 มีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พื้นที่เดียวกับจำเลยที่ 2 และ น.ส.อุรชา
นอกจากนี้จากตรวจเปรียบเทียบสารพันธุกรรมพบว่า จำเลยที่ 1 กับ น.ส.อุรชามีบุตรด้วยกัน และ น.ส.อุรชาได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด และ น.ส.อุรชายังซื้อรถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ โดยไม่จดแจ้งชื่อผู้ครอบครองมาเป็นชื่อของตน มีเจตนาที่จะปกปิดอำพราง ต่อมารถยนต์คันดังกล่าว ถูก ปปง.มีคำสั่งอายัดไว้ก่อน จากการตรวจสอบก็พบเส้นผมของจำเลยที่ 1 อยู่บนรถยนต์คันดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมใช้ประโยชน์รถยนต์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดมาเปลี่ยนแปลงสภาพ ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กับ น.ส.อุรชามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2558 ก่อนที่จะเกิดเหตุในคดีความผิด จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของจำเลยที่ 2 และ 3 พบว่ามีความเชื่อมโยงกัน
กลุ่มที่ 2 น.ส.กัญฐณา รับโอนหุ้นมายังบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่เปิดไว้กับบริษัทอาร์เอสบี จำกัด ซึ่งบัญชีซื้อขายผูกติดกับบัญชีธนาคารกรุงเทพ เงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 98,000,000 บาทเศษ ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารดังกล่าว และมีการซื้อขายหุ้นกันในตลาดหลักทรัพย์ โอนเงิน และเบิกถอนเงินสด ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าผู้ที่เป็นตัวการหลักในการทำธุรกรรม คือจำเลยที่ 1 มีการเดินทางไปธนาคารเพื่อถอนเงินสดด้วยกัน
ศาลเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์เป็นการกระทำเพื่อมุ่งให้ได้รับประโยชน์ในมูลค่าของหุ้นนายชูวงษ์ ในส่วนวิธีการโอนหุ้น การขายหุ้น การโอนเงินและเบิกถอนเงินที่ได้จากการขายหุ้นไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามเอกสารไม่ปรากฏว่า มีชื่อจำเลยที่ 1 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่พฤติการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา บ่งชี้ว่า เป็นการวางแผนร่วมกันมาตั้งแต่ต้น โดยแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อประโยชน์ร่วมกันของจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า ไม่ได้รับประโยชน์จากการทำธุรกรรมหรือการโอนหุ้นของ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์
ส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบว่า ไม่มีการปลอมเอกสารสิทธิและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้น ไม่มีความสัมพันธ์กับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา เป็นการนำสืบโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แม้ว่าคำพิพากษาจะยังไม่ถึงที่สุด โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่ถือได้ว่า ผลของคำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้มีน้ำหนักที่ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชาและ น.ส.กัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิเกี่ยวกับการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟ้งได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณากระทำความผิดตามฟ้อง
ในส่วนของจำเลยที่ 2 และ 3 นั้นเห็นว่า จากพยานหลักฐานโจทก์ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 และ 3 มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชากระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิเพื่อประโยชน์ในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ขายหุ้น รับโอนเงิน ถอนเงิน และซื้อบ้าน ที่ดินอย่างไร ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 รับโอนหุ้น ขายหุ้นของนายชูวงษ์ รับโอนเงินจากการขายหุ้น โอนเงิน ถอนเงิน นำเงินมาซื้อบ้านและที่ดิน และจำเลยที่ 3 รับโอนเงินจากจำเลยที่ 2 และถอนเงินโดยการจัดการของ น.ส.อุรชา ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของ น.ส.อุรชา และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 และน้องชายของ น.ส.อุรชา ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ยอมรับว่า รับดำเนินการเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ตามคำสั่งของ น.ส.อุรชา และโดยการจัดการของ น.ส.อุรชา
ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 และ 3 รู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าว เป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐาน หรือจากกการสนับสนุนหรือช่วยเหลือการกระทำที่เป็นความผิดมูลฐาน อันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามฟ้อง กรณีจึงยังมีเหตุอันควรเชื่อว่า จำเลยที่ 2 และ 3 อาจรับดำเนินการให้ น.ส.อุรชา โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 2 และ 3 รู้ว่าหุ้นและเงินที่ได้จากการขายหุ้น เงินที่รับโอนและโอนไปยังบัญชีธนาคารอื่น เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2 และ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษาว่า นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1)(2)(3) ,60 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ตาม ป.อาญา มาตรา 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 2 ปี รวม 27 กระทง เป็นจำคุก 54 ปี เมื่อรวมโทษจำคุกแล้ว ให้จำคุกนายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี และให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.636/2563 หมายเลขแดงที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ยกฟ้อง น.ส.ศรีธรา จำเลยที่ 2 และ นายประวีร์ จำเลยที่ 3
4. "บิ๊กแจ๊ส" ลาออกนายก อบจ.ปทุมฯ เตรียมลงเลือกตั้งใหม่ อ้าง หากไม่ลาออก เหลือ 6 เดือนก่อนครบวาระ ก็ช่วยอะไร ปชช.ไม่ได้ แถมเสี่ยงถูกล็อบบี้เลือกตั้ง สว.!
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ชี้แจงกรณีได้ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เพื่อขอลาออกจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ว่า เนื่องจากวาระการดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ตามปกติจะหมดลงในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ในช่วงก่อนหมดวาระ 6 เดือน จะทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างต้องอยู่ในกติกา เบิกจ่ายไม่ได้ ยิ่ง 3 เดือนสุดท้ายยิ่งแย่ใหญ่ ขณะที่มีงานสำคัญที่ต้องช่วยเหลือประชาชน
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวต่อว่า เรื่องแรกคือการแก้ปัญหาน้ำหลากในพื้นที่จังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่นครสวรรค์ลงมา สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี เราได้คุยกันตลอดในช่วง 2 ถึง 3 ปีที่ผ่านมา และช่วงฤดูน้ำหลากที่จะถึง ปีนี้ปริมาณน้ำคาดว่าจะมากกว่าปีที่ผ่านมา เราได้มีการประสานพูดคุยกันตลอดเพื่อเตรียมการตั้งรับ แต่ในช่วงก่อนหมดวาระ 6 เดือนเราจะช่วยเหลือประชาชนไม่ได้เลย เราจึงตัดสินใจด้วยกันในฐานะประธานสมาพันธ์นายก อบจ.ภาคกลาง ทุกคนจึงมีความเห็นว่า หากช่วยเหลือประชาชนไม่ได้จะอยู่ไปทำไม นี่คือเหตุผลหลักที่ต้องออกก่อน
“จะออกพร้อมกัน 3 จังหวัด โดยทางนครสวรรค์ และอ่างทอง ได้คุยกัน โดยผมได้ยื่นใบลาออกมีผลตั้งแต่พรุ่งนี้ (3 พ.ค.) เป็นต้นไป ส่วนจังหวัดอื่นๆ เดี๋ยวคงตามมาอีก”
ประเด็นที่สอง คือเรื่องการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งทางสาธารณสุขคาดว่า จะระบาดอย่างรุนแรงที่สุดในช่วงต้นฤดูฝน จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องลาออกก่อน เพราะถ้ายังอยู่จะช่วยอะไรไม่ได้
นอกจากนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า ยังมีเรื่องการจัดงานแข่งเรือยาวประเพณีประจำปีของจังหวัดปทุมธานี ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถ้วยรางวัลถึง 3 ถ้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีอีก 1 ถ้วย ซึ่งจัดมาแล้ว 2 ปี กำหนดไว้วันที่ 5 ธันวาคม หากตนไม่ออกก่อน ในวันที่ 19 ธันวาฯ จะครบวาระ ก็จะเป็นช่วงที่ใกล้เลือกตั้งทันที จะทำอะไรไม่ได้ จัดอะไรก็ไม่ได้ งานที่เป็นหน้าตาของจังหวัดจะเสียหาย
ประเด็นสุดท้าย การเลือกตั้ง สว.ที่จะถึงนี้ ซึ่งให้ สว.มาจากการเลือกกันเองของคนบางกลุ่ม มีหลายๆ คนที่ประสานมาหาตน เนื่องจากตนเป็นประธานสมาพันธ์นายก อบจ.ภาคกลาง 25 จังหวัด มีสายสัมพันธ์กับประธานสมาพันธ์ฯ อีก 3 ภาค เพื่อที่จะให้ช่วยเหลือในการล็อบบี้ได้ แต่กฎหมายแรงมาก ถึงขนาดตัดสิทธิตลอดชีวิต และจำคุก 1 ถึง 10 ปี หากใครที่มีส่วนกับการฮั้ว ตนจึงคิดว่าจะไม่ยุ่ง วางตัวเป็นกลางทางการเมืองจริงๆ
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ย้ำว่า เมื่อตนลาออกจากตำแหน่งนายก อบจ.จะต้องเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ตนก็จะลงสมัครอีก หากเป็นคนอื่นได้รับเลือก เขาก็จะบริหารและใช้เวลาเต็มที่และเริ่มต้นใหม่ในการที่จะดูแลพี่น้องประชาชนต่อไป ไม่ต้องมากังวลกับอะไร เหล่านี้คือเหตุผลที่ลาออกเป็นการทำเพื่อประชาชน
5. เกิดเหตุ "ลุงกำธร" เดินตกท่อร้อยสายไฟฟ้าลึก 15 เมตร ซ.ลาดพร้าว 49 เสียชีวิต พบใช้ไม้อัดทำฝาท่อ ด้านรองผู้ว่าฯ กฟน.อ้าง ฝาท่อโลหะถูกขโมย พร้อมเยียวยา จะไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ!
เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ได้เกิดเหตุชาย อายุ 59 ปี ทราบชื่อภายหลังคือ ลุงกำธร เดินพลัดตกลงไปในท่อลึก ที่อยู่บริเวณเกาะกลางถนนป้ายรถไฟฟ้า BTS สายสีเหลือง ช่วงบริเวณซอยลาดพร้าว 49 ซึ่งมีผู้เห็นเหตุการณ์ หลังจากแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้รุดมาช่วย โดยพบร่างผู้เสียชีวิตนอนอยู่ภายในท่อดังกล่าว ที่มีความลึกประมาณ 15 เมตร ทั้งนี้ การกู้ภัยต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ และผู้เชี่ยวชาญเพื่อลงไปนำร่างผู้เสียชีวิตขึ้นมา
นายโอ๊ะชัย แสงพล พนักงานเทศกิจสำนักงานเขตวังทองหลาง และนางสาวยุวดี บุญพิทักษ์ พนักงานรักษาความสะอาด เล่าว่า เมื่อเวลาประมาณ 9.30 น. ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังปฏิบัติงานเทศกิจดูแลความเรียบร้อยบริเวณตลาดสะพาน 2 ใกล้ปากซอยลาดพร้าว 49 เห็นชายคนหนึ่งความสูงประมาณ 170 เซนติเมตร รูปร่างท้วม กำลังข้ามถนนจากฝั่งตรงข้ามตลาด แต่เมื่อถึงบริเวณเกาะกลางถนน ชายคนดังกล่าวตกลงไปต่อหน้าต่อตา จึงวิ่งไปดู พบว่าชายคนดังกล่าวตกท่อร้อยสายไฟ ตัวเองพยายามเรียก ชายคนที่ตกลงไปพยายามเงยหน้าขึ้นมาก่อนหมดสติไป
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่กู้ภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง เผยว่า จากการสำรวจพบว่าท่อดังกล่าวมีความลึกหลายเมตร โดยระดับน้ำภายในท่อมีความลึก 2 เมตร ภายในท่อระบายน้ำไม่มีจุดพักทำให้ผู้ที่ผลัดตกลงไปตกน้ำโดยทันที จากการสำรวจยังพบภายในท่อระบายน้ำจุดที่พบร่างผู้เสียชีวิต มีอากาศเข้าออกซิเจนอยู่ที่ร้อยละ 20 ซึ่งถือว่าเบาบาง ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจและอุปกรณ์โรยตัวเข้าช่วยเหลือ โดยทำการเปิดฝาท่อที่ห่างจากจุดเกิดเหตุออกไปประมาณ 2 เมตร นำพัดลมเป่าลมเข้าเพื่อให้มีอากาศภายในท่อ จากนั้นนำเครื่องติดตั้งสลิงแบบเคลื่อนที่ ติดตั้งไว้บริเวณเหนือบ่อ ก่อนใช้สลิงดึงร่างผู้เสียชีวิต นำขึ้นมาได้
พ.ต.อ.เศรษฐพันธ์ ศรีสาคร ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลโชคชัยโชคชัยมี 4 เผยว่า จะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบปากคำ เนื่องจากยังไม่สามารถสรุปได้ว่า จุดเกิดเหตุอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานใด เบื้องต้นได้นำฝาท่อในจุดที่เกิดเหตุซึ่งเบื้องต้นเป็นป่าไม้อัด นำส่งพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ พร้อมกับสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าข่ายกระทำการโดยประมาทหรือไม่ โดยเบื้องต้นได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำแผงเหล็กมาปิดกั้นบริเวณจุดเกิดเหตุ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนขึ้นอีก
ด้านประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ เผยว่า คนส่วนใหญ่ที่จะข้ามถนนในบริเวณนี้จะเป็นผู้สูงอายุที่เดินขึ้นสะพานลอยไม่ไหว ซึ่งสะพานลอยแต่ละจุดอยู่ห่างกันประมาณเกือบ 1 กิโลเมตร ดังนั้นจึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำฝาท่อให้แข็งแรง ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเคยมีจุดข้ามทางม้าลาย ซึ่งทุกวันนี้กลับไม่มีอยู่ในพื้นที่ จึงอยากให้กลับมาทำจุดข้ามสำหรับผู้สูงอายุอีกครั้ง
ด้านนายฐิติวุฒิ เงินคล้าย รองผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ ก่อนเผยว่า จุดเกิดเหตุอยู่ระหว่างดำเนินการร้อยสายไฟใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง โดยมีบริษัทผู้รับเหมารับช่วงต่ออยู่ในขณะนี้ โดยท่อมีความลึกประมาณ 7 เมตร เดิมทีฝาท่อดังกล่าวเป็นโลหะ แต่ประสบปัญหาถูกคนขโมยฝาท่อไปกว่า 150 ชิ้น หรือเกือบทั้งหมดโครงการ จึงทำให้ผู้รับเหมาใช้ไม้อัดหนาประมาณ 10 มิลลิเมตร เข้ามาปิดฝาท่อเพื่อทดแทนชั่วคราว ระหว่างรอสั่งทำแผ่นคอนกรีตมาปิดบริเวณฝาท่อ ซึ่งทางผู้รับเหมามองว่า ความหนาระดับดังกล่าวแข็งแรงเพียงพอแล้ว จุดบริเวณที่เกิดเหตุไม่ใช่จุดสำหรับคนข้ามถนน จึงไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น หลังจากนี้จะทำการสำรวจฝาท่อทั้งหมดที่เป็นแผ่นไม้ และนำแผ่นคอนกรีตมาปิด รวมถึงติดตั้งสัญลักษณ์แจ้งเตือนสำหรับผู้สัญจร กำหนดให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้
นายฐิติวุฒิกล่าวด้วยว่า ขอยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากการประมาทของการไฟฟ้านครหลวง พร้อมขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิตโดยยืนยันว่า พร้อมจะชดเชยเยียวยาและรับผิดชอบกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น และสัญญาว่าจะไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก