xs
xsm
sm
md
lg

เปิดภาพคลังสมบัติ “โจ๊ก” รวยมาจากไหน อึ้ง! วางเงินสดในห้องน้ำ เปลี่ยนเงินร้อนเป็นเงินเย็น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดภาพทรัพย์สิน “บิ๊กโจ๊ก” ทั้งเงินสดเป็นฟ่อน ปืน 200 กระบอก รถหรูหลายคัน เห็นแล้วต้องอึ้ง แค่รับราชการตำรวจ เอามาจากไหนมากมายขนาดนี้ แฉมูขึ้นสมอง เอาเงินสดวางในห้องแอร์-ห้องน้ำ หวังเปลี่ยนเงินร้อนให้กลายเป็นเงินเย็น พร้อมหันพระพุทธรูปออกด้านข้าง ไม่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเห็นเงินสกปรก



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึง “คลังทรัพย์สิน” ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีอดีตนายตำรวจติดตาม-รับใช้ หลายคน ออกมาเปิดเผย ทั้งในเรื่องของความเชื่อเรื่องการทำบุญ การสะเดาะเคราะห์ และไสยศาสตร์ ต่าง ๆ โดยในเวลาต่อมา นายตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านี้ ทนไม่ไหวกับ อารมณ์ฉุนเฉียว ปรวนแปรของ รอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับหนึ่งผู้นี้ จนถึงอาจจะเรียกได้ว่าขั้นไบโพลาร์ รวมไปถึงการลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายผู้ใต้บังคับบัญชา

ทั้งนี้ นอกเหนือจากเรื่องอารมณ์ฉุนเฉียว อารมณ์แปรปรวน และการทำร้าย ตบตี ผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว พอนำไปผนวกกับเรื่องราวอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ไม่ว่าจะการพัวพันกับการฟอกเงิน แก๊งจีนเทา และอาชญากรอื่น ๆ, การวิ่งเต้นคดีกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการทำทุจริตต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) , กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นต้น ก็จะเห็นภาพชัดเจนว่า โดยเนื้อแท้แล้ว “รองผู้บัญชาการตำรวจ” ผู้นี้เป็นคนอย่างไร


หลักฐานต่าง ๆ ที่นายตำรวจใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำมาเปิดเผย ที่สำคัญที่สุดก็คือ เส้นทางการเงิน การกระทำผิดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และศาลรับทราบไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการเงินผ่านบัญชีธนาคาร - ทองคำแท่งที่มีการนำไปขายที่ร้านทองมากมายนับเป็นหมื่นบาททองคำ หรือคิดเป็นเงินก็หลายร้อยล้านบาท – ข้อมูลทรัพย์สินที่มีการอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อนำไปชี้แจงกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.ส่วนล่าสุดก็คือ คำพูดของ พยานบุคคล ที่มีการเปิดเผยผ่านรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และ Sondhi X

โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่เป็นรูปภาพ จะมัดตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ชนิดที่ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด โดยรูปภาพเหล่านี้ไม่ใช่ รูปที่มีการเซ็ตอัพจัดฉากขึ้นมา แต่เป็นข้อมูลในทางลับเกี่ยวกับทรัพย์สินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังจากภาพต้นฉบับได้หมด


ภาพถ่ายเหล่านี้ถูกเปิดเผย โดยอดีตตำรวจติดตามของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทัังนั้น ไม่ว่าจะเป็นตำรวจพลขับ ตำรวจติดตามรับใช้ ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตราหน้าตำรวจชั้นประทวนพวกนี้ว่า“ไอัขี้ข้า”

ภาพที่ปรากฎจะเห็นได้ว่า มีทั้งเงินสด ที่เป็นเงินส่วย-เงินสีเทา เป็นเงินบาท เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กระเป๋าเดินทางบรรจุเงินสด และทองคำ, อาวุธปืนและรถยนต์หรู เหล่านี้ที่บรรดาลูกน้อง ตำรวจติดตามรับใช้ ถ่ายบันทึกเอาไว้อยู่ในห้วงเวลาแค่สองปี คือ ในช่วงปี 2561-2562


แล้ว “ตำรวจติดตามเหล่านี้” ถ่ายภาพเงินสด ถ่ายภาพรถยนต์หรู ถ่ายภาพอาวุธปืน เอาไว้ทำไม ให้เป็นหลักฐาน ในการดำเนินคดีได้ภายหลัง ?

คำตอบก็คือเป็นที่ทราบกันในหมู่ตำรวจติดตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นคนละเอียด ทุกบาท ทุกสตางค์ ถ้าพูดเป็นภาษานักเลง คือ“เก็บทุกเม็ด เหรียญสลึงไม่ให้กระเด็น”

จนตำรวจติดตามทุกคนจะรู้ดีว่า ถ้า “นาย” คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล สั่งให้ทำอะไร ทุกคนจะต้องเอาโทรศัพท์ถ่ายภาพไว้หมด หรือถ้า นาย สั่งการทางโทรศัพท์ ลูกน้องทุกคนจะบันทึกเสียงสนทนา ไว้หมดทุกคำพูด เพราะถ้าลูกน้องทุกคน ทำผิดคำสั่งของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นั่นหมายถึง “ความซวยของชีวิตกำลังมาเยือน” ไม่ว่าจะเป็นการโดนตบกบาล ชกท้อง ด่าโคตรพ่อโคตรแม่ ซึ่งความหนักเบานั้น จะขึ้นอยู่กับอารมณ์ในวินาทีนั้นของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ดังที่อดีตนายตำรวจรับใช้เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่าถูกทำร้ายร่างกายอย่างไรบ้าง?


ถามว่าแล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เก็บบรรดาเงินสดจำนวนมาก ทั้งสกุลไทย สกุลต่างประเทศเอาไว้ในเซฟเฮาส์ที่ไหนบ้าง เบื้องต้นที่มีการสืบทราบมีอยู่ 2 ที่ คือ

1)ซุกไว้ที่ห้องพักที่เช่าระยะยาวเอาไว้ในโรงแรมหรู ในซอยรางน้ำหรือ


2)คอนโดมิเนียมหรู ในกลางเมือง ย่านเพลินจิต โดยเป็นคอนโดซูเปอร์ลักชัวรี่ ราคาตารางเมตรละ 1 ล้านกว่าบาทห้องหนึ่งก็เป็นร้อยล้านบาท


กลับไปดูภาพเงินซึ่งเงินก้อนละ 1 กิโล หรือ ก้อนละ 1 ล้านบาท จัดวางอยู่ในกระเป๋าแบรนด์เนมขนาดใหญ่ กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ กล่องใส่เอกสารขนาดใหญ่ ก้อนละล้าน ก้อนละล้าน


คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เมื่อปี 2561-2562 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยศขณะนั้นน่าจะ “พลตำรวจโท” เงินเดือน ค่าตำแหน่ง กับ เบี้ยเลี้ยงอย่างมากก็หลักแสน แล้วไปเอาเงิน-เอาทรัพย์สินพวกนี้มาจากไหน?




มาดูรูปภาพในส่วนของทรัพย์สินกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืน กว่า 200 กระบอก นี่เป็นภาพที่นำมาให้ชมกันบ้างส่วน

อาวุธปืนราคากระบอกล่ะเท่าไหร่ ตัวเลขกลมๆ ก็กระบอกละ 50,000 บาท 200 กระบอก ต้องมี 10 ล้านบาท อาชีพตำรวจแบบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะเอาเงิน เอาปัญญา ที่ไหน หาอาวุธปืนมาสะสมมากขนาดนี้ จนพอจะต้องชี้แจง ป.ป.ช. ก็ชี้แจงไม่ได้ ต้องไปดึง “เซียนอั้ง เมืองชล” นายสมภพ ไทยธีระเสถียร รองนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย เข้ามาช่วยชี้แจง โดยอ้างว่าเงินซื้อปืน ได้มาจากค่านายหน้า หรือ ค่าแนะนำ ให้รู้จักอดีตข้าราชการที่มีพระเก่าเก็บ อยากขาย ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องอุปโลกน์ และโกหกขึ้นมาทั้งสิ้น


อย่างที่เมื่อ วันจันทร์ที่ 15 เมษายน 2567 ที่ผ่านมาร.ต.สมพร กุลวานิช อายุ 89 ปี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัดได้เข้าแจ้งความ ลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางยี่ขัน แล้วเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่เคยรู้จัก หรือ พบเจอเป็นการส่วนตัวกับ สุรเชษฐ์ หักพาลมาก่อน แต่กลับถูกนำชื่อไปแอบอ้างในการสร้างพยานหลักฐานเท็จชี้แจงที่ไปที่มาทรัพย์สินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผ่าน “เฮียอั้ง เมืองชล” และคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.หลายคน




ถัดมาจากทรัพย์สินอย่างเงินสด และอาวุธปืน ภาพต่อไปนี้ คือ “รถยนต์หรู” บางส่วน ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์แอบซุกไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิBMW - Mercedes Benz - LEXUS - Toyota Alphard Vellfireและเป็นที่สังเกตว่าเลขทะเบียนส่วนใหญ่จะลงท้ายด้วย 18 แทบทุกคัน ซึ่งเลข 18 ก็น่าจะเป็นเลขมงคล เลขถูกโฉลก สอดคล้องกับความเชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์




ลองคำนวณเองก็แล้วกันว่ารถหรูเหล่านี้รวม ๆ กันแล้วราคาคันละเท่าไร? เลขทะเบียน 18 ประมูลมาเท่าไร ?

อย่างไรก็ตาม รถแต่ละคัน ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ใช้นั้น ไม่มีสักคันที่เป็นชื่อตัวเองครอบครอง โดยส่วนใหญ่ชื่อที่ครอบครองจะเป็นบุคคลใกล้ตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ทั้งนั้น ทั้งญาติพี่น้อง และนอมินีอีก 2 ราย

รายแรก เป็นคนไต้หวัน ชื่อ “มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด” คนนี้ คือ “แก๊งจีนเทา” ที่อยู่ในอาณัติของคุณสุรเชษฐ์ 

รายที่ 2 คือ เซียนพระที่ชื่อ “เฮียกุ่ย รัชดา หรือ สุขธรรม ปานศรี” เซียนพระชื่อดัง วัย 74 ปี ที่เคยเป็นข่าวใหญ่ ถูกตำรวจกองปราบปรามจับกุมคดีตุ๋นพระสมเด็จเก๊ เมื่อปี 2563


สายมูเข้าขั้น! วางเงินในห้องน้ำ เปลี่ยนเงินร้อนเป็นเงินเย็น

มี 2 ภาพที่เป็นไฮไลต์ของ “บิ๊กโจ๊ก นายตำรวจสายมู”ด้วยความที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รับ“เงินส่วย - เงินวิ่งเต้นแต่งตั้งตำรวจ – เงินเว็บพนัน – เงินแก๊งจีนเทา” รวมถึง เงินเทาสารพัดสารพันอีกมากมาย ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเงินจากธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ คือ“เงินร้อน” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ใช้วิธีดับเงินร้อน ด้วยการ“เปิดแอร์เย็นๆ เพื่อแช่เงินร้อน ให้กลายเป็นเงินเย็น”

นอกจากนี้ ยังได้เอาเงินเทา เงินร้อน ที่ได้มา ไปซุกไว้ในห้องน้ำ สัก 2-3 วัน เพื่อให้เงินส่วย เงินเทา เงินร้อน กลายเป็น เงินเย็น


ยังไม่หมดเท่านี้ ด้วยความที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เกรงกลัวว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ทั้งหลายที่ตัวเองเดินสายไปเคารพสักการะ จะเห็นบรรดาก้อนเงินสกปรกที่ได้มา

จึงแก้เคล็ดด้วยวิธีหันหน้าพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ออกข้าง จะซ้าย จะขวา แล้วแต่ฤกษ์ยาม เพื่อไม่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เห็นก้อนเงินดำ เงินเทา ที่ได้มาจากการ กระทำผิดกฎหมาย


“สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นคนเชื่อเรื่องพระเรื่องเจ้า ชอบเหลือเกินทำบุญในเรื่้องของการสะเดาะเคราะห์ ไม่เช่นนั้นแล้ว สุรเชษฐ์ คงไม่หนีเข้าวัด หนีไปบวชที่อินเดียตั้งหลายรอบ ไม่นับการเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ อย่างไม่ขาด


“หลักการอย่างหนึ่งในศาสนาพุทธที่เป็นวิทยาศาสตร์ครับ คุณสุรเชษฐ์ คือกฎแห่งกรรม การเคารพศาสนา ผมเป็นพุทธศาสนิกชน อุบาสกที่เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรมอย่างมาก และพ่อแม่ครูอาจารย์ผม ซึ่งน่าจะเป็นคนละพ่อแม่ครูอาจารย์ของคุณสุรเชษฐ์ หักพาล เพราะของผมเป็นสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


“กฎแห่งกรรม ทุกพ่อแม่ครูอาจารย์พูดชัดเจนว่าคนเราหนีกรรมไม่ได้ แล้วแต่กรรมมันจะพาไป คุณสุรเชษฐ์ ครับ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้กรรมกำลังทำงานแล้วนะครับ ใครๆ ก็บอกว่าคุณเป็นแมวเก้าชีวิต คุณบอกว่าชีวิตคุณไม่เคยตายน้ำตื้น แต่คุณมีแค่ชีวิตเดียวที่กำลังชดใช้สิ่งที่คุณได้กระทำมา” นายสนธิ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น