MEA เผยค่าคาดการณ์ความต้องการใช้พลังไฟฟ้าสูงสุดปี 2567 จำนวน 9,934.25 เมกะวัตต์ มีแนวโน้มหน่วยจำหน่ายไฟฟ้าทั้งหมดเพิ่มขึ้น 0.1% พร้อมรับมือการใช้ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี และระบบศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า SCADA พร้อมแนะนำการประหยัดไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนโดยการ “ปิด - ปรับ - ปลด - เปลี่ยน” และการใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย
วันนี้ (22 มีนาคม 2567) นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เปิดเผยถึง สถิติการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ของ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ซึ่งประกอบด้วย กทม. นนทบุรี และสมุทรปราการ ว่า ตามที่ในช่วงฤดูร้อนจะเป็นช่วงฤดูที่มีการใช้ไฟฟ้ามากที่สุดในรอบปีนั้น สำหรับปี 2567 จากจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด 4,266,995 ราย MEA คาดการณ์ค่า Peak ในระบบจำหน่ายของ MEA ไว้ที่ 9,934 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้น 1.2% จากปี 2566 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน เมษายน ถึงช่วงต้นเดือน พฤษภาคม เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง ประกอบกับสภาพอากาศร้อนเป็นอย่างมาก ในขณะที่หน่วยจำหน่ายไฟฟ้าของ MEA ทั้งหมดของปี 2567 คาดว่าจะมีจำนวน 53,994 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 0.1% จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชน การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้า และการเปิดใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น ส่วนต่อขยายสายสีชมพู อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงได้ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง หรือ การผลิตไฟฟ้าใช้เองของผู้ใช้ไฟฟ้าจากระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar rooftop) นอกจากนี้การใช้ไฟฟ้าในปี 2567 ยังมีโอกาสชะลอตัวลงจากสาเหตุฐานการใช้ไฟฟ้าที่สูง และขยายตัวอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่เติบโตเฉลี่ยราวปีละ 4.28% จากผลของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังสถานการณ์ COVID-19 ปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้อากาศร้อน ซึ่งคาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะสิ้นสุดในช่วงกลางปีนี้
ผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า ด้วยสาเหตุการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้นในช่วงฤดูร้อน MEA จึงมีการเตรียมพร้อมระบบจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้สนับสนุนระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงและเพียงพอ ต่อความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหัวใจสำคัญอย่าง ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) ทำหน้าที่เป็นระบบตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ในการตรวจสอบสถานะ ตลอดจนวิเคราะห์การทำงานของระบบควบคุมตรวจจับข้อมูล แล้วส่งสัญญาณแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ทราบอย่างรวดเร็วแบบ Realtime ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ MEA เริ่มใช้เป็นองค์กรแรกในประเทศไทย และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังมีการใช้งาน SCADA ในพื้นที่แจ้งวัฒนะเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการควบคุมแรงดันและการจ่ายกระแสไฟฟ้ามีประสิทธิภาพและปลอดภัย ร่วมกับ SCADA ชิดลม เพื่อรองรับการปรับระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้าของ MEA ในโครงการระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Metro Grid สามารถสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า โดยศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า SCADA แจ้งวัฒนะ ยังเชื่อมโยงกับสถานีต้นทางแจ้งวัฒนะ ที่จ่ายไฟฟ้าให้กับสถานีย่อยต่าง ๆ ผ่านสายส่งอากาศ และสายส่งใต้ดิน ดูแลครอบคลุมการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และนนทบุรี รวมถึงเชื่อมโยงกับเครือข่ายระบบไฟฟ้าทั้งหมด โดยมีโครงการสายไฟฟ้าใต้ดินที่ช่วยเสริมความมั่นคงให้กับระบบจำหน่าย ทำการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Online ช่วยบริหารจัดการระบบไฟฟ้า วิเคราะห์จุดเกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้องเพื่อแก้ไขได้ตรงจุดและรวดเร็ว สามารถรวบรวมข้อมูลเป็น Big Data ให้ผู้บริหาร และผู้อำนวยการไฟฟ้านครหลวง 18 เขต (District CEO) นำมาใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที เพิ่มความปลอดภัย ตลอดจนการสร้างทัศนียภาพที่ดีให้กับเมืองมหานครเป็น Smart City
จากความพร้อมในด้านระบบจำหน่ายไฟฟ้าของ MEA ในปี 2566 ที่ผ่านมา ทำให้ MEA สามารถบรรลุเป้าหมายค่าดัชนีความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า SAIFI (System Average Interruption Frequency Index) รวมถึงค่าเฉลี่ยระยะเวลาที่ระบบเกิดไฟฟ้าขัดข้อง SAIDI (System Average Interruption Duration Index) โดยมีค่า SAIFI อยู่ที่ 0.569 ครั้ง/ราย/ปี และ SAIDI อยู่ที 19.847 นาที/ราย/ปี นับเป็นค่าเฉลี่ยที่อยู่ในมาตรฐานการกำหนดของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ครั้งล่าสุด (ปี 2566) ที่กำหนดไว้ที่ SAIFI ไม่เกิน 0.88 ครั้ง/ราย/ปี และ SAIDI 26.96 นาที/ราย/ปี
นอกจากนี้ MEA ยังมีการพัฒนาระบบแจ้งเตือนไฟฟ้าขัดข้อง One-on-One ผ่านช่องทางสื่อสารของ MEA ได้แก่ MEA Smart Life Application และช่องทาง Line "MEA Connect" เพื่อแจ้งเตือนเหตุไฟฟ้าขัดข้องให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบไฟดับ ได้รับทราบทันทีผ่าน Notification แจ้งเตือน พร้อมทั้งสามารถติดตามความคืบหน้าการแก้ไขเหตุไฟฟ้าขัดข้องนั้น ๆ ได้ โดยระบบดังกล่าวจะมีการเชื่อมโยงกับระบบปฏิบัติการ Field Force Management หรือ FFM ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไขไฟฟ้าขัดข้อง ผ่านการระบุตำแหน่งอุปกรณ์ไฟฟ้าในระบบแผนที่ GIS ของ MEA ที่มีความแม่นยำ พร้อมรายงานไปยังศูนย์แก้ไขไฟฟ้าขัดข้องที่มีอยู่ในพื้นที่ 18 การไฟฟ้านครหลวงเขตให้รับทราบความคืบหน้าของแต่ละภารกิจได้ในทันที
ทั้งนี้ MEA ได้แนะนำการประหยัดไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศ มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานมากขึ้น เป็นเหตุให้เสียค่าไฟมากขึ้น วิธีการที่จะช่วยให้ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย คือการหมั่นดูแล บำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าให้พร้อมใช้งานและปลอดภัยอยู่เสมอและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ดี โดยยึดหลัก “ปิด - ปรับ - ปลด - เปลี่ยน” โดยปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ ปรับลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศมาอยู่ที่ระดับ 26-27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมควบคู่ จะเป็นการช่วยให้ประหยัดพลังงาน ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน เปลี่ยนไปใช้เครื่องปรับอากาศที่มีค่าประสิทธิภาพสูง และหมั่นล้างเครื่องปรับอากาศ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่เปิด-ปิดตู้เย็นบ่อย ๆ พกกระติกน้ำแข็งไว้ดื่ม ไม่ควรกักตุนอาหารไว้ในตู้เย็นเกินความจำเป็นตรวจขอบยางประตูตู้เย็นให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า (เบอร์ 5) และควรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ควรปิดสวิตช์และดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออกทุกครั้ง เมื่อไม่ได้ใช้งาน หมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ถ้าชำรุดต้องซ่อมแซมทันที ป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร รวมทั้งติดตั้งสายดิน พร้อมเครื่องตัดไฟรั่ว เพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า
ในช่วงนี้ที่มีโอกาสเกิดพายุฤดูร้อน มีพายุฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงนั้น MEA ขอแนะนำให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายที่เกิดจากพายุ รวมถึงป้ายโฆษณากลางแจ้ง ควรมีการตรวจสอบโครงสร้างป้ายให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรงมั่นคงปลอดภัย และตรวจสอบระยะห่างของป้ายโฆษณากับสายไฟฟ้าให้มากขึ้น เพราะอาจส่งผลกระทบกับระบบไฟฟ้าอาจทำให้ไฟฟ้าดับ และขอให้ประชาชนอยู่ห่างจากป้ายโฆษณา ต้นไม้ใหญ่ และสิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงใกล้แนวสายไฟฟ้า เพราะกิ่งไม้อาจหักโค่นจากลมกระโชกแรงและพาดลงมาทำให้เสาไฟฟ้าล้ม หรือสายไฟฟ้าขาดเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งขอแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าหากชำรุดเร่งซ่อมแซมแก้ไขและสำรวจต้นไม้ที่ปลูกในบริเวณบ้านของตนเอง ให้กิ่งไม้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยไม่ระสายไฟฟ้าเพราะอาจทำให้ไฟฟ้าดับ รวมไปถึงอาจจะทำให้มีกระแสไฟฟ้ารั่วมาตามกิ่งไม้ที่เปียกน้ำจากฝนฟ้าคะนองได้
หากประชาชนพบเห็นอุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุดหรือไม่ปลอดภัยสามารถแจ้งได้ที่ ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้แก่Facebook : การไฟฟ้านครหลวง MEA, Line : MEA Connect, X : @mea_news, และศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง MEA Call Center 1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งผ่าน MEA Smart Life Application ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนระบบ iOS และ Android ดาวน์โหลดฟรี