รศ.นพ.วีระศักดิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช เผยอย่าเพิ่งเชื่อบทความผลงานวิจัยชวนเชื่อกินจำกัดเวลา หรือ IF เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะเป็นงานวิจัยที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ
วันนี้ (22 มี.ค.) เฟซบุ๊ก “หมอหมู วีระศักดิ์“ หรือ รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้โพสต์ข้อมูลใหม่ โดยอ้างถึงข่าวประชาสัมพันธ์การประชุมทางวิทยาศาสตร์ของ American Heart Association : บทคัดย่อการวิจัยถือเป็นข้อมูลเบื้องต้น โดย Association Between Time-Restricted Eating and All-Cause and Cause-Specific Mortality นำเสนอใน American Heart Association's Epidemiology and Prevention│Lifestyle and Cardiometabolic Scientific Sessions 2024 วันที่ 18-21 มีนาคม 2024
โดยศึกษาจากผู้ใหญ่ประมาณ 20,000 คนในสหรัฐอเมริกา ที่มีอายุเฉลี่ย 49 ปี ติดตามผู้เข้าร่วมการศึกษาเป็นระยะเวลาเฉลี่ย 8 ปี และสูงสุด 17 ปี ทั้งยังรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามการรับประทานอาหารทางออนไลน์ ระหว่างปี 2546-2561
ผลการวิจัยส่วนหนึ่งพบว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามรูปแบบการรับประทานอาหารให้หมดโดยใช้เวลาน้อยกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้น 91%, ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ระยะเวลารับประทานอาหารไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมงแต่น้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองที่สูงขึ้น 66%, ระยะเวลาการรับประทานอาหารมากกว่า 16 ชั่วโมงต่อวันสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในผู้ป่วยมะเร็ง
โดยรวมแล้วการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการรับประทานอาหารแบบจำกัดเวลาอาจให้ประโยชน์ในระยะสั้นแต่ส่งผลเสียในระยะยาว แต่จากข้อสังเกตส่วนตัว เห็นว่า งานวิจัยนี้ยังเป็นงานวิจัยที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ อย่าเพิ่งเชื่อทั้งหมด และส่วนตัวคิดว่า แม้ว่าการศึกษาจะระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานอาหารเป็นเวลา 8 ชั่วโมงกับการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ไม่ได้หมายความว่าการรับประทานอาหารแบบจำกัดเวลา (IF) ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ ควรต้องมีการวิจัยในอนาคตเพื่อตรวจสอบกลไกทางชีววิทยาที่อยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างตารางการรับประทานอาหารที่จำกัดเวลา (IF) กับผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ของหัวใจและหลอดเลือด
อ่านข้อมูลอ้างอิงจาก American Heart Association
คลิกโพสต์ต้นฉบับ