เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ภาคีชาวไร่ยาสูบไทยกังวลต่อท่าทีของตัวแทนประเทศไทยและผลการประชุมกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกครั้งที่ 10 หรือ WHO FCTC [COP10] ขณะนี้ ที่ประเทศปานามา ชี้ทุกฝ่ายควรคำนึงถึงผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวไร่ยาสูบทั่วโลก ก่อนตัดสินอนาคตอุตสาหกรรมด้วยความเห็นของคนกลุ่มเดียว หลังทราบข่าวมีชาวไร่ยาสูบปานามาจำนวนมาก ตั้งกลุ่มเดินประท้วงทั่วบริเวณสถานที่จัดประชุม COP10 ย้ำชัดไม่ควรกีดกันการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบ
การประชุมกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบครั้งที่ 10 หรือ COP10 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-10 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประเทศปานามา ซึ่งมีประเทศภาคีสมาชิก 183 ประเทศส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม เพื่อรายงานสถานการณ์ แลกเปลี่ยนข้อมูล และกำหนดทิศทางการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมา การประชุมกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ มักถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าขาดความโปร่งใส กีดกันการมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประเทศไทยก็ได้ส่งผู้แทนฯ เดินทางไปร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย
นายอัจฉริยะ วัฒนาพร แกนนำกลุ่มภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ ตัวแทนเกษตรกรชาวไร่ยาสูบกว่า 30,000 ครอบครัวจาก 18 จังหวัดทั่วประเทศทั้ง 3 สายพันธุ์กล่าวว่า “องค์การอนามัยโลกและสมาชิก 180 ประเทศกำลังอยู่ระหว่างหารือและพิจารณาแนวทางการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ซึ่งรวมถึงยาสูบรูปแบบใหม่ เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งอาจมีความอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนเพราะไม่มีการเผาไหม้ เราอยากให้องค์การอนามัยโลกและตัวแทนประเทศต่างๆ รวมถึงคณะผู้แทนไทยคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบจำนวนมากในประเทศ ซึ่งประกอบอาชีพนี้มาอย่างยาวนาน และเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรเป็นกอบเป็นกำ ก่อนจะเสนอหรือสนับสนุนมาตรการสุดโต่งใดๆ เพราะหลายๆ มาตรการควบคุมยาสูบที่บังคับใช้ในประเทศไทยในปัจจุบัน ก็มักจะอ้างว่ารับมาจากการประชุมกรอบอนุสัญญาฯ นี้ ซึ่งอยากให้คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงในประเทศของเราด้วย”
หนึ่งในเรื่องสำคัญที่จะมีการพิจารณาในการประชุม COP10 คือแนวทางการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อน (Heated Tobacco Products - HTP) ถุงนิโคตินสำหรับใช้ในช่องปาก และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่อื่นๆ และพิจารณากันว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ อันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนหรือไม่ รวมถึงมาตรการสุดโต่งอีกหลายด้านซึ่งนายอัจฉริยะกล่าวเสริมว่า “มีการรายงานข่าวว่า ชาวไร่ยาสูบในปานามาจำนวนมาก ก็ออกมาประท้วงการจัดประชุมกรอบอนุสัญญาฯ COP10 นี้ ว่ากีดกันการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็น และประเทศปานามาเองก็แบนบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ไม่ต่างจากไทย ดังนั้นองค์การอนามัยโลกและรัฐบาลควรหันมาให้ความสนใจว่า ชาวไร่ยาสูบจะได้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจจากผลิตภัณฑ์ยาสูบใหม่ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร เพราะผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อนก็ยังคงใช้ใบยาสูบอยู่ ที่สำคัญควรใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวช่วยในการกำหนดนโยบาย มากกว่าการใช้อคติ เพราะเราคงฝืนวิวัฒนาการของโลกไม่ได้ ซึ่งไม่ต่างกับกระแสความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าในขณะนี้”