วิจารณ์สนั่น คลิปเสียงนายตำรวจใหญ่อวดเบ่งบารมี อ้างสนิทกรรมการ ป.ป.ช. คดีที่โดนร้อง ถ้าส่งไป ป.ป.ช.ก็โดนตีตกหมด งานนี้สังคมต่างจับจ้องไปที่ “บิ๊กโจ๊ก” นายตำรวจเก่งกาจเรื่องการเข้าหาผู้ใหญ่ และ “สุภา ปิยะจิตติ” จี้ประธาน ป.ป.ช.และ ผบ.ตร.รีบทำความจริงให้กระจ่าง อย่าให้ชื่อเสียงองค์กรอิสระต้องตกต่ำไปกว่านี้ และควรพิจารณาต้องรื้อคดีที่กรรมการ ป.ป.ช.ผู้นี้เป็นประธานอนุกรรมการฯ ขึ้นมาใหม่หรือไม่
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงคลิปเสียงของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รายหนึ่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวอวดเบ่งอำนาจบารมีกลางวงประชุมมอบนโยบายผู้ใต้บังคับบัญชา ในที่ประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติราชการงานความมั่นคงและกิจการพิเศษให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง (สตม.) โดยอ้างอิงและพาดพิงถึง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.คนหนึ่ง
คลิปเสียงดังกล่าว มีความยาวประมาณ 40 วินาที ถอดความได้ว่า “เออ ไล่ออกปลดออกนะ แต่อาญาน่ะมันติดคุกนะ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกผม ส่ง ป.ป.ช.เนี่ย ป.ป.ช.ไม่ทำเรื่องคุณหรอก เดี๋ยว ป.ป.ช.ส่งมาให้ผมกลับมาทำเองนะ เออ! คุณไม่ต้องกังวล เร็วแน่นอน ทุกเคสที่ผมทำไม่มี ป.ป.ช.รับหรอก แต่มีการพูดตรวจสอบทรัพย์สิน ตอนนี้ท่านสุภาเขาตั้งเรื่องแล้ว นี่เรียกนายเวรเข้าไปด้วยคนหนึ่ง...”
ควาหมายก็คือว่า ตนเองไม่กลัวการตรวจสอบใดๆ แม้กระทั่งป.ป.ช.ที่ข้าราชการทุกคนกลัว แต่ไม่ใช่สำหรับ“นายตำรวจใหญ่” ผู้นี้ เพราะเรื่องจาก ป.ป.ช. ในที่สุดก็ต้องถูกส่งกลับมาถึงตนเอง
ทั้งนี้คำพูดของนายตำรวจใหญ่ดังกล่าวต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา สังกัด สตม. ในวันนั้นหากเป็นจริง จะถือเป็นหลักฐานชั้นดีที่คอนเฟิร์มถึงความสนิทสนมระหว่าง นายตำรวจใหญ่ กับ กรรมการ ป.ป.ช. คนที่ถูกกล่าวถึงได้อย่างดี
คำถามที่น่าสนใจก็คือนายตำรวจใหญ่ผู้นี้เป็นใคร และ ผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช.นั้น หมายถึงใคร ?
หลังจากคลิปเสียงหลุดออกไป ชาวโชเชียลฯ ส่วนใหญ่ชี้เป้าไปที่ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เจ้าของฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” !!
ขณะที่คนใหญ่คนโตใน ป.ป.ช. ตามที่คลิปเสียงระบุ "ท่านสุภา" ในที่นี้ ก็มีหลายคนสงสัยว่า หมายถึง น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี ไปเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566
หลังคลิปนี้เผยแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ป.ป.ช.ต่างก็นั่งไม่ติด
วันอังคารที่ 9 มกราคม 2567 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาฯ ป.ป.ช. ร้อนตัวรีบออกมาให้สัมภาษณ์ว่า คิดว่าในกระบวนการตามกฎหมาย ออกแบบเอาไว้ให้มีกรรมการ ป.ป.ช. 9 คน แม้ปัจจุบันจะเหลือ 5 คน เพิ่งมาเพิ่ม 1 คนเป็น 6 คน การอ้างว่ารู้จักกรรมการคนใดคนหนึ่ง แล้วใช้โอกาสวิ่งเคลียร์คดีจากกรรมการทั้งหมดเป็นไปไม่ได้
นายสนธิ กล่าวว่า การที่นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาฯ ป.ป.ช.รีบออกมาปฏิเสธว่า การรู้จักรรมการ ป.ป.ช.คนใดคนหนึ่งแล้ววิ่งเคลียร์กรรมการ ป.ป.ช.ทั้งหมดเป็นไปไม่ได้นั้น กรณีในคลิปที่พูดถึงไม่ได้หมายถึงกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งหมด กรรมการ ป.ป.ช.แต่ละคนนั้นมีอีกหน้าที่หนึ่งคือเป็นประธานอนุกรรมการ ที่สามารถจะชี้ได้ว่าคดีที่มีคนร้องเข้ามานั้นคดีไหนมีมูลหรือไม่มีมูล
นายนิวัติไชยจำไม่ได้เหรือว่า อดีตรองเลขาฯ ป.ป.ช.ที่ชื่อ นายประหยัด พวงจำปา ก็เคยถูกไล่ออกจากราชการกรณีรวยผิดปกติ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน 658 ล้านบาทเป็นเท็จมาแล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรง ดังนั้นสิ่งที่ควรพูด ไม่ใช่รีบออกมาปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ควรต้องบอกว่า จะมีการตรวจสอบดูข้อมูล หลักฐานต่าง ๆ ว่ามีรายละเอียดอย่างไร
จะรีบจัดการ และจะไปรื้อคดีเก่า ๆ ที่ผ่านการพิจารณาของ น.ส.สุภาว่ามีอะไรที่อาจจะมีพิรุธหรือไม่?
เรื่องนี้ต้องรีบทำ เพราะเวลานี้ความเชื่อถือของประชาชน และข้าราชการต่อ ป.ป.ช. นั้นนับวันจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปเรื่อย ๆ วิกฤตนี้มันแก้ไม่ได้ด้วยคำพูดแค่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องเกิดจากการกระทำ
แม้แต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็ยังบอกว่าต้องทำความจริงให้กระจ่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ผบ.ตร. ต้องทำตามคำของนายกฯ ด้วยการควานหาตัวนายตำรวจใหญ่ และ บอร์ด ป.ป.ช. ที่ถูกอวดอ้างว่าสนิทสนมกันเร่งด่วนเลย สอบสวนให้ดูดำรู้แดง แล้วแจ้งต่อสาธารณะให้รู้ โดยเฉพาะ กรรมการ ป.ป.ช. อย่าง น.ส.สุภา ที่มีภาพลักษณ์ดีมาตลอด จนได้ฉายา “ภาไม่ยอม” เพราะไม่ยอมให้คดีไหนผ่านไปง่ายๆ แต่คราวนี้ถูกแอบอ้าง ต้องนับว่าได้รับความเสียหายเต็ม ๆ
พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ต้องอย่าช้า ของพรรค์นี้สืบกันไม่ยาก นักสืบโซเชียลฯทำงานกันเร็ว เพราะนอกจากพากันชี้เป้าไปที่ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กับ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ แล้ว ยังเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ สุภา” ว่าสนิทสนมกันอย่างยิ่ง
นายนิวัติไชย อาจจะไม่รู้ว่า “บิ๊กโจ๊ก” เข้าหาผู้ใหญ่เก่ง พูดจาอ่อนน้อม อ่อนหวาน ทำงานคล่องแคล่วว่องไว น.ส.สุภาจึงไว้วางใจ “บิ๊กโจ๊ก” มาเติมเต็มในส่วนที่ น.ส.สุภา ขาดในเรื่องสืบสวนสอบสวน เวลาผ่านไปจากรู้จักก็กลายเป็นมักคุ้น รู้ซึ่งกันและกัน
อย่างไรก็ตามผู้ใหญ่หลายคนที่เคยสัมผัส และให้ความเอ็นดูกับ “บิ๊กโจ๊ก” เคยเจอกันมาแล้ว ทุกวันนี้ยังรักษาอาการ "หลังหัก" ไม่หาย
ไม่ทราบว่า “บิ๊กโจ๊ก” ยังพอจะจดจำคนเหล่านี้ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น
- พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร.
- พล.ต.ท.พีระพงศ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการ สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน
- พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค
โดยเฉพาะ “ลุงป้อม” ใครๆ ก็รู้ เอ็นดู “บิ๊กโจ๊ก” เหมือนหลานในไส้ แต่ก็มีเรื่องของ "ป่ารอยต่อ" ที่ว่ากันว่าหลุดมาจากแฟ้มลับในคอมพิวเตอร์ของหลานรัก ไปให้นายรังสิมันต์โรม อภิปรายในสภาฯ รวมทั้งเรื่อง "ตั๋วช้าง" ก็เช่นกัน
เรียกว่าคนเรา รู้หน้าไม่รู้ใจ อุตส่าห์หยิบยื่นความรักความเมตตาให้ แต่สิ่งที่ได้คืนไม่ต่างจากเรื่องราวกับชาวนากับงูเห่า เพียงเพราะต้องการทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเอง !!
ว่ากันว่า ข้อมูลในคอมพิวเตอร์-เซิร์ฟเวอร์ ของ “บิ๊กโจ๊ก” ที่สั่งการให้คนใกล้ชิดบันทึกเอาไว้ เก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งลับ และไม่ลับ ตอนนี้ตกอยู่ในมือทีมงานของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.แล้ว
“บิ๊กโจ๊ก” เคยบอกว่า เรื่องครหา ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับตัวเขาเองเป็น "นิทาน" ที่ยิ่งเล่าขาน ก็ยิ่งขยายแต่งเติมออกไปไม่รู้จบ แต่ในความจริงเป็นเรื่องที่ชัดยิ่งกว่าชัด และเรื่องนี้ไม่มีการแต่งเติม มีแต่หลักฐาน
ดังนั้น จึงควรมีการตรวจสอบว่า คดีไหนบ้างที่ “บิ๊กโจ๊ก” ทำแล้วส่งให้ ป.ป.ช. และคดีไหนที่ ป.ป.ช.รับมาแล้วมี น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการสอบ พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. ต้องตรวจสอบขยายผล เพื่อความโปร่งใส ไม่เช่นนั้น องค์กร ป.ป.ช.จะโดนครหาเละเทะไม่มีชิ้นดี เนื่องจาก จะมีคำถามจากสังคมมาที่ ป.ป.ช. มากมายว่า มีหลายคดีที่ถูกส่งเข้ามาใส่ร้ายป้ายสี กลั่นแกล้ง กันหรือไม่ ?
คดีที่ถูกพิจารณาตรวจสอบโดย “สุภา” ทั้งที่ผ่านมา และกำลังเป็นอยู่ มีความน่าเชื่อถือได้แค่ไหน ? ควรหรือไม่ควร ที่จะต้องรื้อฟื้นคดีเหล่านั้นขึ้นมาดูใหม่ ?
พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ต้องรีบตอบ อย่าให้กรณีนี้เป็นความอัปยศอดสู ของ ป.ป.ช. เพียงเพราะ นายตำรวจใหญ่ที่ลุแก่อำนาจ เพียงเพราะผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช. ยอมเป็นเครื่องมือให้ความช่วยเหลือคิดบัญชี ชำระแค้นคนนั้นคนนี้
เรื่องนี้ถ้าไม่รีบทำให้กระจ่าง จะกลายเป็น “หลุมดำ” สร้างวิกฤตศรัทธาของประชนที่มีต่อ ป.ป.ช.อย่างแน่นอน
ที่สำคัญ ถ้าหากเรื่องเหล่านี้มีมูลก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะต้องดำเนินการ ปฎิรูป ป.ป.ช. ครั้งใหญ่ !
“บิ๊กตำรวจ- ป.ป.ช.” สัมพันธ์ ลึก-ไม่ลึก? ย้อนดูคดี สตม. เก็บค่า Visa On Arrival (E-VOA)
คดีหนึ่งที่มีความสำคัญคือ กรณีกลางปี 2564 “บิ๊กตำรวจคนดัง” ถูกร้องเรียนด้วยบัตรสนเท่ห์ ประมาณ กล่าวหาว่า จัดซื้อจัดจ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการดำเนินการตามขั้นตอน ตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารงานพัสดุพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560
ในการสรรหาบริษัทเอกชน เข้ามาทำการตรวจลงตรา Visa on Arrival (VOA) ให้นักท่องเที่ยวจำนวน 21 ประเทศ กับ 1 เขตเศรษฐกิจ ที่มาท่องเที่ยวไทย จะต้องยื่นขอวีซ่ากับบริษัทเอกชนเสียก่อน
วันที่ 24 ธันวาคม 2561 บิ๊กตำรวจคนดัง ดังกล่าว ลงนามสัญญา MOU กับบริษัทแห่งหนึ่ง ให้ตรวจประทับตราVisa on Arrival โดยเก็บค่าธรรมเนียม 2,500 บาท
โดยการทำสัญญาดังกล่าว ไม่ผ่านการสรรหา หรือเลือกสรร หรือคัดเลือก หรือเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันระหว่างบริษัทต่างๆ เสียก่อน
เงินค่าธรรมเนียม 2,500 บาท ที่เก็บจากนักท่องเที่ยว ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. จะได้รับไป 2,000 บาท ที่เหลืออีก 500 บาท เป็นของบริษัท
โดยในกรณีเร่งด่วน นักท่องเที่ยวต้องจ่ายเพิ่มอีก 2,000 บาทให้บริษัท เพื่อเป็นการอนุมัติอย่างเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง
เรื่องนี้ พล.ต.ท.ภาคภูมิพัทธ์ สัจจพันธุ์ ผู้บัญชาการ สตม. เคยออกมาชี้แจงเมื่อปลายปี 2565 ว่าค่าธรรมเนียม E-VOA (E-Visa on Arrival) ที่ สตม. เก็บนั้น เป็นวีซ่าท่องเที่ยวที่สามารถอยู่ในราชอาณาจักร 15 วัน ในจำนวนเงิน 500 บาท - 2,500 บาทโดย ค่าธรรมเนียม 500 บาทใช้เวลาดำเนินการ 3 วัน ส่วน 2,000 บาทจะใช้เวลาดำเนินการ 24 ชั่วโมง ซึ่งค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะถูกส่งเข้าไปกระทรวงการคลัง
นับตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2562 บริษัทที่บิ๊กตำรวจเลือกมาเองนี้ จะได้รับเงินค่าวีซ่า E-VOA 500 บาทต่อคนอย่างต่อเนื่อง และยังได้รับการต่ออายุ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565
เมื่อคำนวณจำนวนนักท่องเที่ยวแล้ว พบว่า นักท่องเที่ยวจาก 21 ประเทศ 1 เขตเศรษฐกิจ ที่มาเที่ยวเมืองไทย มีจำนวนปีละประมาณ 5 แสนคน
เท่ากับว่าบริษัทพรรคพวกของบิ๊กตำรวจ จะมีรายได้ถึง 250 ล้านบาทต่อปี
ส่วนกรณีอนุมัติเร่งด่วน สมมติว่ามีจำนวนแค่ 5% จากจำนวนทั้งหมด 5 แสนคน ก็จะเท่ากับ 25,000 คน
เมื่อคูณกับเงิน 2,000 บาท ก็จะเป็นเม็ดเงิน 50 ล้านบาท ทั้งนี้ จำนวนคนขออนุมัติแบบเร่งด่วน อาจมีมากกว่า 5% ก็เป็นไปได้
แสดงว่า บริษัทที่บิ๊กตำรวจจิ้มเลือกมาลงนาม MOU ได้รับผลประโยชน์มหาศาล ในการทำธุรกิจกับ สตม.
แต่จากการตรวจสอบตามข้อร้องเรียนดังกล่าว กลับพบความจริงที่น่าตื่นตะลึงว่า บริษัทนี้ “ไม่มีสำนักงานประจำที่สนามบินสุวรรณภูมิ” แต่อย่างใด !?!
ตรวจสอบไปมาพบว่าบริษัทแค่เปิดเว็บไซต์ขึ้นมา จัดการกรอกข้อมูลของนักท่องเที่ยว แล้วสแกนจ่ายเงินผ่านทางแอปพลิเคชัน ของบริษัทเท่านั้น
ทำให้มีการกล่าวหาว่ากระทำการผิดระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง มีลักษณะเอื้อประโยชน์ให้เอกชนอย่างชัดเจน แต่ผลสอบสวนในชั้น ป.ป.ช. สรุปว่า “บิ๊กตำรวจคนดัง” ไม่มีความผิด !
ความมั่นใจเลยพุ่งสูง ถึงขั้นไปพูดคุยโวว่า สนิทกับ “ท่านสุภา” ป.ป.ช. จึงไม่สามารถทำอะไรตัวเองได้ !?!