อีกแล้ว “เดอะโจ๊ก” โดดงับคดี “สมรักษ์” รีบฟันธงผิดแน่นอน อ้างกฎหมายทุกประเทศมุ่งคุ้มครองเด็ก แต่ในข้อเท็จจริงสาว 17 ใช้บัตรประชาชนปลอมแอบอ้างว่าอายุถึง 20 เพื่อเข้าผับ มีคำพิพากษาศาลฎีกาปี 2556 ระบุหากจำเลยสำคัญผิดในอายุของผู้เยาว์จะเอาผิดจำเลยฐานพรากผู้เยาว์ไม่ได้ คดีนี้ถ้าฟันธงว่า “สมรักษ์” ผิดจึงเร็วเกินไป และเป็นไปได้สูงว่าเด็กอาจจงใจหลอกผู้ใหญ่
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงคดีความระหว่างนายสมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักมวยชื่อดังเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก กับเด็กสาวอายุ 17 ปี โดยเหตุเกิดเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม ต่อวันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งนายสมรักษ์ได้เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาในฐานะผู้ต้องหาที่ 1 เมื่อคืนวันพุธที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยถูกข้อกล่าวหา คือร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากผู้ปกครอง, ร่วมกันพาบุคคลอายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร, กระทำอนาจารกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยใช้กำลังประทุษร้าย, พยายามข่มขืนผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย
คดีนี้มีนายตำรวจใหญ่อย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” รอง ผบ.ตร.กระโดดลงมาดูแลเองตามคาด เพราะว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นเป็นคนที่หิวแสงโดยธรรมชาติ พอมีเรื่องที่ตกเป็นข่าวใหญ่ที่ไหนก็ต้องรีบไปที่จุดที่มีแสงทันที โดยหลังจากที่เพิ่งลาไปบวชที่อินเดียเป็นรอบที่ 2 และกลับมาในวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็พยายามวิ่งทำคดีอย่างคดีคนเยอรมันทำอนาจารเด็ก และขอประกันตัวแต่หนีกลับประเทศไป “บิ๊กโจ๊ก” ก็ประกาศว่าจะดั้นด้นไปถึงเยอรมนี ทั้ง ๆ ที่คนในแวดวงเขาได้ยินเขาก็ขำกันหมดว่าจะไปถึงเยอรมนีทำไม
แต่เมื่อคดีคนเยอรมัน สังคมไม่สนใจก็กระโดดเข้างับคดีนายสมรักษ์ทันที และฟันธงไปเลยว่านายสมรักษ์นั้นผิด 100% และโดนดำเนินคดีแน่ โดยบอกว่าในคดีที่เกี่ยวกับเด็ก ตามกฎหมายไม่ว่าเด็กจะไปในรูปแบบใดก็ตาม ซึ่งตามภาพจะขึ้นรถไปยังไง กฎหมายทั่วประเทศและในโลก ก็คุ้มครองเด็ก ไม่ว่าจะกระทำอนาจารหรืออะไรต่างๆ ถือว่ามีความผิดทั้งสิ้น และข้อเท็จจริงคือ สองคนอยู่ในห้องเดียวกัน ถือว่ามีความผิดชัดเจน
นายสนธิกล่าวว่า เรื่องนี้ ไม่ได้เข้าข้างใคร เพราะก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริงของพฤติการณ์ และพฤติกรรมของนายสมรักษ์ แต่เมื่อจะประณาม หรือ เอาโทษนายสมรักษ์ ก็ต้องอย่าลืมข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งด้วยว่า เด็ก 17 ปีนั้นใช้หลักฐานปลอมในการเข้าสถานบันเทิงคือ ร้านสุขสันต์ ซึ่งถ้าใครจะเข้าไปก็ต้องอายุ 20 ปีขึ้นไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่ารูปร่างของเด็กดูเกิน 20 ปี และ ไปกับนายสมรักษ์โดยสมัครใจ หรือ ไม่สมัครใจก็ตาม
อีกประการหนึ่ง ต้องทราบด้วยว่า ในแวดวงกลางคืนนั้นมีขบวนการหลอกล่อ หลอกลวงนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว โดยเฉพาะตามสถานบันเทิงใน จ.ขอนแก่น ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของภาคอีสาน ศูนย์รวมเด็กนักเรียน นักศึกษา จากทั่วภาคอีสาน เช่น จากจังหวัดมหาสารคามที่ต้องการรายได้ก็ นั่งรถมาตอนเย็นมาทำงานในสถานบันเทิงในขอนแก่น จนสถานบินเทิงปิดก็นั่งรถกลับไปเรียน
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9285/2556 แล้ว มีข้อความหนึ่งระบุถึงเรื่อง “การสำคัญผิดในอายุของผู้เยาว์ทางกฎหมาย” เอาไว้ว่า
“เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายพ้นวัยผู้เยาว์ โดยเข้าใจว่าผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 18 ปี แล้ว จึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเรื่องอายุอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคแรก การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานดังกล่าวตาม ป.อ.มาตรา 59 วรรคสาม
“คดีนี้ ผู้เสียหายมีรูปร่างสูงกว่าและอวบกว่าเพื่อนในกลุ่มที่มีอายุแก่กว่า กอปรอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้น่าเชื่อว่าผู้เสียหายมีอายุใกล้เคียงกับเพื่อนคนอื่นๆ อันทำให้จำเลยสำคัญผิดในอายุของผู้เสียหายได้ จึงลงโทษจำเลยในข้อหาพรากผู้เยาว์ ตามมาตรา 318 วรรคแรก ไม่ได้”
“เพราะฉะนั้น การจะไปฟันธงว่ากรณีนี้“ผู้ใหญ่หลอกเด็ก” โดยยังไงคุณสมรักษ์ก็ทำผิดกฎหมายโดยเจตนาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องโดนลงโทษสถานหนักนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เร็วเกินไป และคงจะไม่เป็นธรรมนักกับคุณสมรักษ์ เพราะ ความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ กรณีนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าเด็กอาจจะจงใจหลอกผู้ใหญ่เช่นกัน” นายสนธิกล่าว