กระจ่างแล้ว เคส จนท.คุมประพฤติซิ่งเก๋งจนเกิดอุบัติเหตุ ที่แท้ป่วยเบาหวานหนัก น้ำตาลตกจนคุมสติไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์
จากกรณีเจ้าหน้าที่คุมประพฤติซิ่งเก๋งพุ่งชนคู่กรณีจนรถพลิกคว่ำในอุโมงค์ท่าพระ พบถือกระป๋องเบียร์เดินเซ แต่เป่าเมาไม่พบปริมาณแอลกอฮอล์ ตร.ทำหนังสือส่งตรวจเลือดที่ รพ.อีกครั้ง จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเพื่อนร่วมงานของผู้ก่อเหตุได้ให้ข้อมูลว่าตัวผู้ก่อเหตุนั้นป่วยเป็นโรคเบาหวาน มักจะมีอาการน้ำตาลตกอยู่บ่อยครั้ง โดยเพิ่งย้ายเข้ามาทำงานด้วยกันได้ประมาณ 1 ปีกว่าก็มีอาการมาโดยตลอด ทราบว่าเข้ารับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลินอยู่ และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีอาการกำเริบบ่อยครั้ง โดยอาการที่เป็นคือจะพูดไม่รู้เรื่อง มีอาการลอยๆ ไม่ได้สติ บางครั้งก็ฟุบหลับไปเลย
ล่าสุดเพจ “Drama-Addict” ได้ออกมาให้ความรู้ต่อกรณีดังกล่าว โดยได้ระบุข้อความว่า
“เคสนี้ เป่าแอลกอฮอล์ขึ้น 0 แต่ส่งตรวจที่ รพ.พบว่าเป็นเบาหวานหนัก และตอนเกิดเหตุน้ำตาลในเลือดตกจนคุมสติไม่อยู่
(ป๋องเบียร์ในรถตามข่าวแกซื้อไว้จะไปดื่ม ที่บ้านตอนดูบอล ตอนเกิดเหตุไม่ได้ดื่ม)
เรื่องน้ำตาลตก จนเกิดอุบัติเหตุ เป็นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุยานยนต์ที่พบบ่อยมากทั้งในไทย และต่างประเทศ
คนที่เป็นเบาหวาน น้ำตาลในเลือดจะสูง จึงต้องรักษาด้วยการคุมอาหาร ออกกำลังกาย ใช้ยา / ฉีดอินซูลิน ซึ่งการใช้ยาและฉีดอินซูลินในบางราย หากกินข้าวไม่ตรงเวลา หรือได้ยาเกินโดสที่ต้องการ ฉีดอินซูลินเกินขนาด หรือไตทำงานแย่ลง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำตาลต่ำได้
เมื่อน้ำตาลต่ำ จะมีอาการอ่อนเพลีย ใจสั่น มึนเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ฉุนเฉียว สายตาพร่า เหงื่อออก ถ้าเป็นมากๆ จะซึมลง ไม่รู้สึกตัว ชักเกร็ง และเสียชีวิตได้
มีคำแนะนำสำหรับคนที่เป็นเบาหวานและมีความเสี่ยงน้ำตาลต่ำ หากต้องขับรถ ควรตรวจน้ำตาลก่อนออกเดินทาง ระหว่างเดินทางให้เจาะเลือดตรวจน้ำตาลทุก 2 ชั่วโมง และเตรียมของหวาน น้ำเชื่อม ลูกอม ติดตัวไว้เลย ถ้าเริ่มมีอาการเมื่อไหร่ให้กินทันที และควรกินข้าวให้ตรงเวลา
ส่วนลุงพนักงานคุมประพฤติตามข่าว ซึ่งเจ้าตัวปลอดภัยแล้ว แต่ขอแนะนำว่าไม่ควรขับรถอีก เพราะเคสที่เป็นเบาหวานหนักถึงขั้นใช้อินซูลิน เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ไม่ควรขับรถด้วยตัวเองอีกแล้ว และอยู่ใน 9 โรคต้องห้ามที่กรมการขนส่งทางบกระบุเอาไว้ว่าห้ามขับรถครับ”
