xs
xsm
sm
md
lg

ผ่าตัด "กระเพาะอาหาร" ทางเลือกผู้ป่วยโรคอ้วนและ "เบาหวาน"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หลายท่านเข้าใจว่า ‘การผ่าตัดกระเพาะ’ เป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคอ้วนเพื่อการลดน้ำหนักเท่านั้น แท้จริงแล้วการผ่าตัดกระเพาะยังสามารถรักษาโรคเบาหวานได้ ซึ่งเป็นโรคร่วมอันดับต้น ๆ ที่มีสาเหตุมาจากโรคอ้วน

ขณะเดียวกันการผ่าตัดกระเพาะ นอกจากจะช่วยให้ลดปริมาณอาหารที่ทานลงแล้ว ยังมีส่วนในการปรับฮอร์โมนในทางเดินอาหาร ทำให้ควบคุมการทานอาหารได้ดีขึ้น ระดับความหิวลดลง ความอิ่มนานขึ้น ปรับการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ควบคู่กับน้ำหนักที่ลดลง ภาวะดื้อต่ออินซูลินก็จะดีขึ้นตามด้วยอย่างมีนัยสำคัญ นับเป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่มีภาวะอ้วน ที่เห็นผลชัดเจนมากที่สุดวิธีหนึ่ง

นพ.นรนนท์ บุญยืน ศัลยแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องและโรคอ้วน รพ.พิษณุเวช พิษณุโลก ในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ หรือ PRINC อธิบายถึงโรคเบาหวาน ว่า เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพในประเทศไทย โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนในปัจจุบัน มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับระดับนานาชาติว่า การผ่าตัดกระเพาะอาหาร หรือผ่าตัดโรคอ้วนลดน้ำหนัก สามารถช่วยรักษาภาวะดื้ออินซูลิน ส่งผลให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าการรับประทานยาหรือฉีดยาเพียงอย่างเดียว นำไปสู่ผลลัพธ์ในระยะยาว คือ โรคเบาหวานทุเลาลงหรือหายขาดได้ โดยในระยะยาว การผ่าตัดนั้น สามารถช่วยผู้ป่วยโรคอ้วนที่เป็นเบาหวาน ลดการใช้ยาหรือโอกาสหายขาดจากโรคเบาหวานได้ มากกว่า 50% เทียบกับ กลุ่มใช้ยาที่ไม่ผ่าตัด ซึ่งโอกาสหายขาดจากโรคเบาหวานนั้นเพียง 2% เท่านั้น

นพ.นรนนท์ กล่าวว่า การผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก มีมานานกว่า 50 ปีในต่างประเทศ แต่เดิมในอดีตเป็นการผ่าตัดเปิดท้อง โดยมักมีแผลผ่าตัดขนาดใหญ่และเป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนสูงและมีผลแทรกซ้อนมาก จึงไม่ได้รับความนิยม ซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบัน การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะผ่านกล้องเป็นที่ยอมรับทั่วไป มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน และการพัฒนาของเทคนิคการผ่าตัดจนเป็นที่ยอมรับมากขึ้น มีความปลอดภัยสูง ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้ไว ภาวะแทรกซ้อนน้อย ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้เวลาเพียง 1 วัน สามารถกลับมาลุกเดินได้ ใช้ชีวิตปกติได้ และสามารถหายจากโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากความอ้วนด้วยเช่นกัน


ทั้งนี้ การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบส่องกล้องมี 3 วิธี คือ

1.ผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve gastrectomy) เป็นการผ่าตัดที่ทำมากที่สุด ความซับซ้อนน้อยกว่าวิธีอื่น โดยการใช้อุปกรณ์ตัดเย็บแบบพิเศษ ทำการตัดแต่งกระเพาะให้เรียวตรงให้เหลือประมาณ 15-20% ส่งผลให้ลดฮอร์โมนความอยากอาหาร (Ghrelin) ทำให้ทานได้น้อยลง ผู้ป่วยจะหิวลดลงอย่างชัดเจน ร่วมกับทานได้น้อยลง จึงทำให้สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ถึง 60-70% ภายใน 1 ปีหลังผ่าตัด โอกาสเกิดภาวะขาดสารอาหาร แร่ธาตุ วิตามินต่าง ๆ มีน้อยกว่าผ่าตัดแบบอื่น ๆ

2.ผ่าตัดแบบบายพาส (Roux-en-Y gastric bypass) เป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนขึ้น โดยการผ่าตัดกระเพาะให้เป็นกระเปาะ ประมาณ 25-30 ซีซี ร่วมกับการผ่าตัดบายพาสลำไส้เล็ก หลังผ่าตัดจะสามารถช่วยเพิ่มระดับการทำงานของ ฮอร์โมนความอิ่ม ลดความหิว ทานได้น้อยลง และลดการดูดซึมอาหารลง สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ถึง 70-80% ซึ่งเหมาะกับคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานรุนแรง วิธีนี้สามารถช่วยเรื่องเบาหวานได้ดีกว่าวิธีแรก และผลลัพธ์ดีในผู้ป่วยอ้วนที่มีภาวะโรคกรดไหลย้อน แต่โอกาสเกิดภาวะ ขาดวิตามิน แร่ธาตุ มีมากกว่า โดยเฉพาะวิตามิน B12 ซึ่งจำเป็นต้องรับวิตามินเสริมต่อเนื่องทุก 6-12 เดือน

3.ผ่าตัดแบบสลีฟพลัส (Sleeve gastrectomy Plus) เป็นวิธีการผ่าตัดที่พัฒนามาจาก การผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve gastrectomy) และการผ่าตัดแบบบายพาสลำไส้เล็กให้ระยะดูดซึมสารอาหารสั้นลง ซึ่งผลลัพธ์สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ถึง 70-80% และผลลัพธ์การช่วยในโรคเบาหวาน ดีเทียบเท่าแบบบายพาส โดยวิธีสลีฟพลัสนี้ จะแบ่งเป็นวิธีย่อย ๆ ที่แต่งต่างกันได้อีกหลายวิธีตามความเหมาะสมของคนไข้

สำหรับการผ่าตัดกระเพาะอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะกับทุกคน ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาอย่างละเอียด เพื่อเทียบประโยชน์ที่จะได้รับ กับความเสี่ยงของการผ่าตัด รวมถึงตรวจร่างกาย เพื่อดูความพร้อมของสภาพร่างกายในแต่ละบุคคล สามารถประเมินเบื้องต้นจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) คือ ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) >32.5 kg/m2 ร่วมกับมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น และค่าดัชนีมวลกาย (BMI) >37.5 kg/m2 เหล่านี้ เข้าเกณฑ์ที่แนะนำว่าสามารถผ่าตัดได้ กรณีอื่น ๆ สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้เช่นกัน

ส่วนผลข้างเคียงที่อาจเกิดหลังการผ่าตัดกระเพาะ มีทั้งภาวะแทรกซ้อน ที่อาจเกิดขึ้นได้ตามอายุและโรคประจำตัวของผู้ป่วย ในผู้ป่วยโรคอ้วน ผู้ป่วยที่น้ำหนักมาก, โรคประจำตัวมาก หรือเคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน ก็จะมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดมากขึ้น

ภาวะการขาดวิตามิน เกลือแร่ เนื่องจากการผ่าตัดกระเพาะทำให้ผู้ป่วยทานอาหารน้อยลง ส่งผลให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณน้อยลงด้วย ฉะนั้นผู้ป่วยต้องได้รับวิตามิน แร่ธาตุบางชนิดทดแทนต่อเนื่อง แต่ในภาพรวม จากน้ำหนักที่ลดลง การดีขึ้นของโรคแทรกซ้อนจากความอ้วน การทานวิตามินทดแทนนั้น อาจคุ้มค่ากว่าการที่ต้องทานยารักษาโรคต่าง ๆ หรือฉีดยา เช่น ยาความดัน ยาเบาหวาน ยาไขมัน ไปตลอดชีวิต

นพ.นรนนท์ กล่าวว่า แม้ว่าการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนักจะมีข้อดีมากมาย ทั้งในแง่การรักษาโรคแทรกซ้อนจากความอ้วน เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน รวมถึงการลดน้ำหนัก ปรับรูปร่าง แต่การผ่าตัดอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะกับทุกคน ผู้ป่วยต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาผลลัพธ์กับความเสี่ยง เพื่อเลือกวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสม โดยผู้ป่วยควรทราบถึงกระบวนการการผ่าตัดดังกล่าว และทราบถึงความเสี่ยงหรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัด นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรทราบถึงสภาวะน้ำหนักส่วนเกิน และโรคร่วมหรือโรคแทรกซ้อนของตนเอง เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง และได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น