xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 19-25 พ.ย.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.รวบแก๊งยิง นศ.อุเทนฯ-ครูเจี๊ยบ อึ้ง! ตั้งเป็นกลุ่มลับราวองค์กรอาชญากรรม มีสมาชิกนับร้อย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เรียนไม่จบ-ถูกให้ออก!

ความคืบหน้าคดีคนร้ายใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิงนายธนสรณ์ หรือน้องหยอด อายุ 19 ปี นักเรียนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนี้เหตุการณ์ดังกล่าว น.ส.ศิรดา สินประเสริฐ หรือครูเจี๊ยบ ครูสอนคอมพิวเตอร์ โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ ถูกลูกหลงเสียชีวิตด้วย โดยเหตุเกิดที่ย่านคลองเตย ซึ่งต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีนี้จำนวน 8 ราย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 พ.ย. พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งแปดไปยื่นคำร้องขอศาลอาญากรุงเทพใต้ ฝากขังครั้งแรก โดยคดีนี้แบ่งเป็น 3 สำนวน ประกอบด้วย

สำนวนแรก ยื่นคำร้องขอฝากขังนายวุฒิพงษ์ ผลคำ, นายสัญปกรณ์ พรรณานนทศักดิ์, นายสหัสวรรษ ภักดีนอก, นายจิรายุส สุวรรณศุภ, นายธนากร พันทองคำ, นายอภิเดช นาคประกอบ ผู้ต้องหาที่ 1-6 ตามลำดับ โดยแจ้งข้อหาสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง (ซ่องโจร)

สำนวนที่ 2 ยื่นคำร้องขอฝากขังนายธนภัทร เกตุชาติ ข้อหาสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 (ซ่องโจร)

สำนวนที่ 3 ยื่นคำร้องขอฝากขังนายวรงค์ชัย กัณฑ์ศรี ข้อหาสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 (ซ่องโจร)

ทั้งนี้ ศาลพิจารณาคำร้องขอฝากขังแล้ว อนุญาตให้ฝากขังได้ ซึ่งต่อมา ญาติและทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย

ด้านศาลพิเคราะห์แล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่า คดีนี้มีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรง ผู้ต้องหากระทำการในลักษณะเป็นขบวนการ มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง และพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจหลบหนี จึงให้ยกคำร้อง

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คนไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เผยขณะลงพื้นที่ตรวจสอบรถยนต์ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุนำมาอำพรางไว้ที่ริมถนนโยธาธิการ วัดต้นเชือก คลองหนึ่ง อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรีว่า รถคันดังกล่าวใช้รับส่งผู้ร่วมขบวนการที่เซฟเฮาส์ย่านวงศ์สว่าง 19 และใช้ขนอาวุธ ซึ่งเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นรถหายไปหลังเกิดเหตุ จึงได้รวบรวมข้อมูลจากการสอบปากคำ

ประกอบกับชาวบ้านในพื้นที่เห็นว่ารถคันดังกล่าวผิดปกติ จึงได้แจ้งให้สายตรวจเข้ามาตรวจสอบ นอกจากนี้ยังพบว่า รถมอเตอร์ไซค์สีแดงที่ใช้ก่อเหตุถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินและนำออกนอกพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่อีกด้วย ซึ่งตำรวจได้ติดตามพฤติการณ์และเส้นทางหลบหนีของคนร้ายจากกล้องวงจรปิดกว่า 1,200 ตัว

ทั้งนี้ กลุ่มดังกล่าวถือเป็นกลุ่มองค์กรอาชญากรรมขนาดเล็กมีสมาชิกประมาณ 84 คน ติดต่อกันผ่านทางกลุ่มลับ เพื่อสร้างโลกเสมือนจริงให้ตัวเองรู้สึกเป็นเหมือนวีรบุรุษ ขณะที่จำนวนผู้ร่วมก่อเหตุก็มีมากนับสิบคน ซึ่งเจ้าหน้าที่มีข้อมูลที่จะสาวไปถึงตัวผู้กระทำความผิดที่เหลือได้ แต่ยังไม่ขอเปิดเผยในขณะนี้ และพบว่า ยังมีองค์กรในลักษณะคล้ายกับองค์กรนี้อีกหลายกลุ่ม

ด้าน พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. เผยว่า ผู้ต้องหาในคดีนี้พบว่ามีความเชื่อมโยงกับคดีเก่าเมื่อช่วงต้นปีที่ยิงปืนใส่นักเรียนต่างสถาบัน ที่สำคัญยังพบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ได้เรียนหนังสือหรือประกอบอาชีพใด แต่มีแกนนำสร้างกลุ่มตามความเชื่อขึ้นมา และเช่าที่พักอาศัยร่วมกัน พร้อมหาแนวร่วมนักศึกษาสถาบันต่างๆ ออกมาอยู่ในโลกเสมือนไม่ได้อยู่ในโลกความเป็นจริง เป็นการสร้างเป็นแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา มีการสร้างแรงฮึกเหิมปลุกใจในกลุ่มด้วยการนำรูปผู้เสียชีวิตต่างสถาบันมีติดไว้ในที่ซ่องสุ่มของกลุ่ม และจะถอดรูปแบบการก่อเหตุในแต่ละครั้งเพื่อพัฒนาการลงมือและการหลบหนี ซึ่งที่ผ่านมายังได้สร้างสถานการณ์เพื่ออำพรางคดีลักษณะเดียวกันที่ย่านมีนบุรี

ทั้งนี้ ตำรวจได้เปิดเผยภาพถ่ายภายในบ้านพักย่านวงศ์สว่าง ที่ตำรวจบุกค้นเมื่อวันที่ 22 พ.ย. พบว่า เป็นลักษณะการรวมกลุ่มสมาชิก โดยมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาไม้ คล้ายเป็นผู้นำหรือหัวหน้ากลุ่ม ขณะที่ผนังห้องมีเสื้อสถาบันแขวนอยู่หลายตัว

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน บช.น. เผยว่า จากการเข้าตรวจค้น พบว่า ส่วนใหญ่ คือ ผู้ที่เรียนไม่จบและถูกให้ออก หรือเป็นกลุ่มที่พ้นสภาพ โดยผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ที่จับกุมได้ยืนยันว่า มีแนวโน้มเกี่ยวข้องทั้งหมด แต่มีหน้าที่แตกต่างกันไป ส่วนใครทำหน้าที่อะไรอยู่ระหว่างการสอบสวน

2."เสี่ยแป้ง" อัดคลิปแฉเหตุที่หลบหนี เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม เผยทำผิดกันหลายคน แต่ตนติดคุกคนเดียว จี้ดำเนินคดีอัยการบอย แล้วตนจะมอบตัว!


เมื่อวันที่ 24 พ.ย. กรมราชทัณฑ์ได้เผยแพร่เอกสารระบุว่า “ตามที่นายเชาวลิต ทองด้วง หรือเสี่ยแป้ง ผู้ต้องขังเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช หลบหนีการควบคุมขณะเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัวโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายนั้น

กรมราชทัณฑ์ยังคงปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องโดยได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จากเรือนจำและทัณฑสถานจากเขต 8 และเขต 9 พร้อมด้วยหน่วยปฏิบัติการพิเศษกรมราชทัณฑ์ ติดตามจับกุมนายเชาวลิตฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง และหากผู้ใดพบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช โทร : 075-803905 หรือ 065-2911531 ทั้งนี้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหนี หรือให้การสนับสนุนในการหลบหนี หรือให้ที่พักอาศัยจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วยเช่นกัน”

ทั้งนี้ วันเดียวกัน มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า เสี่ยแป้ง หรือ “แป้ง นาโหนด” ได้ลงจากเทือกเขาบรรทัดไปแล้ว โดยเจ้าตัวยืนยันว่า ปลอดภัยดี และไม่เคยติดต่อขอมอบตัวและยื่นเงื่อนไขอะไร เพราะยังทวงความยุติธรรมในคดีที่ถูกตัดสินไม่ได้ “ผมติดคุกคนเดียว ทั้งที่ผู้กระทำผิดมีหลายคน รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐด้วย”

ด้าน พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้รับผิดชอบการปฏิบัติการไล่ล่า “แป้ง นาโหนด” ได้มีคำสั่งให้ถอนกำลังชุดปฏิบัติการบนเทือกเขาบรรทัดและพื้นที่บ้านตระลงมายังเบื้องล่าง รวมทั้งจะมีการถอนกำลังของตำรวจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำลังของตำรวจโรงพักต่างๆ ของ กก.ภ.จว.พัทลุง ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่เชิงเขาบรรทัดทั้ง 9 จุดลงมาอย่างเบื้องล่างเช่นกัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน (24 พ.ย.) เสี่ยแป้งได้อัดคลิปเปิดใจ โดยระบุว่า “สวัสดีชาวไทยทุกคน วันนี้ผมก็ขอบพระคุณคนที่ให้กำลังใจผม ให้ผมได้มีแรงสู้ต่อไป ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่ผมหนีมา โทษก็ไม่ได้มากมาย แต่ที่หนีเพราะผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมทำหนังสือถึงกระทรวงยุติธรรมไปมากมายเหลือเกิน แต่ไม่เคยได้รับการตอบรับ

ผมถามว่า คดีผมเนี่ย ผมคนเดียวที่ไม่ได้รับการประกันตัว พี่น้องคิดดูสิว่าความยุติธรรมยังมีไหม อัยการบอย และดาบตำรวจ และจ่าสิบเอกอีกคน รวมทั้งอีก 3 คน ได้รับการประกันตัว และอัยการไม่ฟ้องทั้งที่เป็นผู้วางแผน วันนี้ผมยอมรับความจริงว่า วันนั้นอัยการคนดังกล่าวเป็นคนโทรมา ให้ผมไปช่วย เพราะหลานถูกอุ้ม พอผมไปนึกในใจแล้วว่าเป็นตำรวจ เพราะทำไมไม่ยอมแจ้งตำรวจ พอถามเขาก็บอกว่าแจ้งตำรวจไปแล้ว แต่ความจริงแล้วไม่ได้แจ้ง ผมรู้ว่าอุ้มเรื่องยาเสพติด และหลอกให้ผมไป พอไปถึงเจอกับตำรวจ

“ผมไม่เคยโดนคดียาเสพติดแม้แต่คดีเดียวครับ และไม่เคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ถามว่ารู้จักไหม กินเหล้าไหม รู้จัก เคยกินเหล้า แต่ไม่เคยขาย ไม่เคยค้า ส่วนวันที่ตำรวจขึ้นเขาไปยิงปะทะแล้วเจอยาเสพติดก้อนสีเขียว อันนั้นไม่ใช่ของผม

“แล้วตำรวจไม่ได้ไปจับผมวันนั้น แต่ไปวิสามัญฯ ผมโดยเฉพาะ ไปถึงก็ยิงใส่ผมเลย ยิงเอ็ม 79 ไปอีก 10 กว่านัด ที่ผมนับได้ ตำรวจเป็นแบบนี้เป็นโจรดีกว่า
ตั้งใจว่าฆ่าผม ถ้าผมยิงตายเลย แต่ผมไม่ยิง เพราะผมไม่ได้เป็นศัตรูกับเขา เขามีลูกมีเมีย มีครอบครัว ถามเขาได้คนที่หลบหลังต้นไม้ได้ ที่วิ่งกับผม

กระทรวงยุติธรรม ความเป็นธรรมไม่มีอยู่จริง ถ้ามีอยู่จริง ช่วยเอาอัยการบอยกับพวกไปดำเนินคดี แล้วผมจะมอบตัวทันทีเลยครับ ได้ไปอยู่กันในนั้น ผมก็ได้ไปมอบตัว ดำเนินการตามกฎหมาย ขอให้พี่น้องได้รับทราบว่ากฎหมายไทยมันเป็นแบบนี้

“และขออีกอย่างหนึ่ง พี่น้องชาวไทยทุกคนว่าอย่าไปพูดถึงท่านทักษิณเลย แกก็มาดำเนินการตามกฎหมายแล้ว อย่าไปพูดถึง เอาแต่เรื่องผมพอครับพี่น้อง ขอขอบคุณมากๆ ครับ”

ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีมีคลิปชายหน้าคล้ายเสี่ยแป้งว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.ที่ดูแลงานสืบสวน ตรวจสอบที่มาที่ไปของคลิป ว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร มีการถ่ายคลิปที่ไหน ถ่ายในช่วงไหน พร้อมเร่งติดตามจับกุมเสี่ยแป้งมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ในส่วนของเนื้อหาในคลิป คงต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้จเรตำรวจไปตรวจสอบว่า มีการพาดพิงตำรวจคนไหนบ้าง มีข้อเท็จจริงอย่างไร ผิดถูกว่าไปตามพยานหลักฐาน ต้องทำความจริงให้ปรากฎ ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ซึ่งหากตำรวจทำผิดจริง จะต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาดทั้งทางวินัย อาญา และปกครอง

วันต่อมา (25 พ.ย.) เสี่ยแป้งได้อัดคลิปเปิดใจเป็นคลิปที่ 2 มีฉากหลังเหมือนอยู่ในห้อง แต่ไม่ทราบเป็น
ที่ใด โดยเนื้อหาที่พูดเป็นการตอกย้ำเหตุที่ตนเองต้องหนี เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดี เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวในคลิปแรกก่อนหน้านี้

“ตนพร้อมที่มอบตัว ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้ายังไม่เอาอัยการ บ.มาดำเนินคดี ตนก็จะไม่ไป ถ้าไปก็เอาเป็นศพกลับไป ตนไม่ไป 100 เปอร์เซ็นต์ ชัดเจนแน่นอน ในเมื่อความเป็นธรรมไม่มี ตนก็ไม่ไป และหากตนกระทำผิดพลาดประการใดไป ต้องขออภัยสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย ตนไม่เคยคิดต่อสู้ แต่ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยที่ทำให้พ่อแม่พี่น้องชาวไทยเดือดร้อน ขอกราบประทานโทษทุกๆ คน”

3. “ศรีสุวรรณ” ร้อง ป.ป.ช.สอบนายกฯ ปมหลุดปาก “สส.ฝากตำรวจ” ชี้ ขัด รธน.-ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ด้าน "เสรีพิศุทธ์" จี้ "เศรษฐา" รับผิดชอบด้วยการลาออก!



เมื่อวันที่ 24 พ.ย. นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เข้ายื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์ในการใช้อำนาจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ในฐานะประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในการแต่งตั้งนายตำรวจระดับผู้กำกับ (ผกก.) หรือไม่ จากกรณีที่นายกรัฐมนตรี พูดในที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ที่ผ่านมา และได้หลุดปากพูดว่า "ผู้กำกับใหม่ ซึ่งผมมั่นใจว่าคงมีผู้ผิดหวังมากกว่าผู้สมหวังในห้องนี้ที่ขอตำแหน่งไป เพราะรู้สึกมันเยอะเหลือเกิน แต่ก็มีไม่น้อยที่ได้สมหวัง แต่ก็เป็นผู้กำกับใหม่ ซึ่งเราจะต้องพูดคุยเรื่องนี้กันให้เข้าใจถึงถ่องแท้ และต้องกำจัดปัญหานี้ออกไป ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเราเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ"

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า คำพูดของนายกฯ เป็นเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 วรรคสอง เข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรม ส่วน สส.ที่มีพฤติการการขอตำแหน่งไปยังนายกฯ จะเข้าข่ายความผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 185 (3) แต่พฤติการณ์ของ สส.ก็เข้าข่ายผิดจริยธรรรมด้วย ทั้งนี้ ตอนที่นายเศรษฐาหาเสียงเลือกตั้ง ยืนยันว่า จะไม่มีการทุจริตและการใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงโยกย้ายข้าราชการ เพื่อสร้างระบบอุปถัมภ์อีก แต่มาวันนี้ความจริงถูกเปิดเผยว่า มีพฤติการณ์ไปแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจจริง ดังนั้น ป.ป.ช.สามารถเรียกนายกฯ มาสอบในเรื่องนี้ว่า สส.คนใดบ้างของพรรคเพื่อไทย ที่เสนอให้มีการโยกย้ายผู้กำกับ

นายศรีสุวรรณ ยังกล่าวด้วยว่า ที่นายกฯ ออกมาชี้แจงก็เหมือนเป็นการแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ว่าไม่มีเจตนา และไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย ซึ่งเป็นการแก้ตัวและหาเหตุอ้างว่าตัวเองไม่ได้ทำ แต่คำพูดที่ออกมาเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจน นักการเมืองนักวิชาการหลายคนก็พูดตรงกันว่า เป็นเหมือนใบเสร็จที่ไม่สามารถลบล้างสิ่งที่พูดไปแล้วได้ ที่ผ่านมานายกฯ ก็ชอบพูดอย่าง ทำอย่าง ในลักษณะแบบนี้หลายครั้ง ทำให้ความน่าเชื่อถือของผู้นำประเทศหายไป อย่างกรณีของเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่บอกว่าจะไม่กู้ สุดท้ายก็ต้องกู้ หรือกรณีการสู้รบในอิสราเอล ก็ไปตำหนิกลุ่มฮามาส จนกระทั่งมีปัญหาแรงงานไทยจับถูกจับเป็นตัวประกัน

"นายกฯ เป็นผู้นำประเทศที่สิ้นแล้วซึ่งความน่าเชื่อถือและศรัทธาของประชาชน ถูกจับได้ก็ปฏิเสธพัลวัน สีข้างแดงไปทั้งเถือก และต้องมีบทลงโทษด้วย เนื่องจากกฎหมาย ป.ป.ช.เขียนไว้ชัดเจนว่า มีเจตนาจงใจที่ละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมถึงฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เราจึงต้องนำเรื่องนี้มาร้องต่อ ป.ป.ช. ตามครรลองของกฎหมาย"

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายเศรษฐา ออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับผู้กำกับว่า นายกฯ ได้ชี้แจงหรือไม่ว่าท่านกินอะไรไป วันก่อนถึงพูดว่ามี สส.เข้าไปเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับ ซึ่งก็ชัดเจนว่า นายกฯ พูดถึงการแก้หนี้นอกระบบและมีการพูดถึงนายอำเภอ ผู้การจังหวัด ดังนั้นผู้กำกับจะหมายความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จะเป็นผู้กำกับซีรี่ย์หรือภาพยนตร์ไม่ได้ ต้องเป็นผู้กำกับสถานีตำรวจอย่างเดียว และที่นายกฯ บอกว่ามีคนขอมาเยอะ ตกลงแล้วคนที่ขอเป็นคนหรือเป็นสัมภเวสี แล้วท่านพูดกับใคร ท่านพูดในที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่

เมื่อถามว่า ในฐานะฝ่ายค้านจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร นายวิโรจน์ กล่าวว่า เมื่อเปิดสมัยประชุมมาก็ต้องตั้งกระทู้ถามในเรื่องนี้ว่า ที่นายกฯ บอกว่าที่คนขอมาเยอะเหลือเกินคือใคร เพราะท่านพูดอีกว่ามีคนผิดหวังมากกว่าสมหวัง แต่สมหวังก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย ก็แสดงว่ามีการฝากกันจริง ต้องยอมรับกันตรงๆ อย่าบิดพลิ้วเลย ท่านหลุดปากพูด แล้วมาอีกวันก็มาแก้ตัว

“ท่านยอมรับสภาพเถอะ วันก่อนหน้าเป็นการสารภาพของคนเป็นนายกฯ อยู่แล้ว แล้วที่ท่านเคยพูดก่อนหน้าหาเสียงที่บอกว่า จะขจัดสังคมเส้นสาย พอหลังหาเสียงก็ลืมที่นายเศรษฐาเคยพูดเอาไว้เสียงเข้ม แต่ก็ลืมหมดแล้ว ตกลงเศรษฐาก่อนหน้าที่ประชุมพรรคเพื่อไทย กับเศรษฐาที่มาพูดอีกวันคือเศรษฐาคนเดียวกันหรือเปล่า“

“เดี๋ยวผมจะไปหาทางโยงว่าผู้กำกับที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งจาก พ.ต.ท.เป็น พ.ต.อ. และเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้กำกับใหม่ เป็นใคร อยู่ในจังหวัดไหน อยู่ในสถานีตำรวจใด และมีเครือข่ายความสัมพันธ์โยงใย เครือข่ายกับ สส.คนไหน แล้วเดี๋ยวค่อยไปถามนายกฯ เรียงคนว่าคนนี้อยู่ในบัญชีฝากหรือไม่ สมหวังหรือผิดหวัง”

ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก (22 พ.ย.) จี้ให้นายเศรษฐาลาออกจากนายกฯ เพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูด โดยระบุว่า "ถึงท่านนายกเศรษฐา เมื่อวานท่านเผลอให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไปเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้กำกับการที่บรรดา สส.พรรคเพื่อไทยขอสนับสนุนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติไป ก็มีทั้งสมหวังและผิดหวัง ก็คงจริงเพราะจะให้ได้ทุกตำแหน่งคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะตำแหน่งมีจำกัด

"ท่านเพิ่งเข้าสู่วงการเมืองคงอ่านรัฐธรรมนูญยังไม่จบ โดยเฉพาะมาตรา 186 วรรคสอง รัฐมนตรีต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการใดไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่นหรือของพรรคการเมืองโดยมิชอบ ตามที่กำหนดในมาตรทางจริยธรรม

"คำให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวของท่านเปรียบเสมือนใบเสร็จรับเงินที่ออกให้ประชาชนไปแล้ว คงไม่อาจปฎิเสธเป็นอย่างอื่นได้อย่างแน่นอน หนทางเดียวคือการแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ให้มีกระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญกันใหม่ อย่างไรเสียประวัติศาสตร์ก็จารึกไว้แล้วว่าท่านคือนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย อย่าไปเสียดาย วาสนามีเท่านี้ก็ต้องเท่านี้ มิฉะนั้นท่านจะต้องอับอายไปทั่วโลก สู้ลาออกเดินเชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผยไม่ดีกว่าหรือ คดีอาจจะไม่มีก็ได้ เชื่อผมเถอะ"

4. ป.ป.ส. อายัดทรัพย์สิน "สว.อุปกิต" แล้วกว่า 285 ล้าน พบโอนเงินไป ตปท.อีกกว่า 600 ล้าน ด้านเจ้าตัวยัน เป็นเงินจากการทำธุรกิจ ไม่เกี่ยวยาเสพติด!



เมื่อวันที่ 23 พ.ย. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ส. เผยความคืบหน้าการติดตามยึดอายัดทรัพย์สินของนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ตนได้ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินต่างๆ อาทิ บัญชีธนาคาร 28 บัญชี เป็นเงิน 3,000,000 บาท และเมื่อวันที่ 22 พ.ย. ได้อายัดที่ดินจำนวน 29 แปลง มูลค่า 282 ล้านบาท และจะต้องทยอยอายัดอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการสืบทรัพย์สินรายการอื่นๆ ว่าอยู่ที่ใดบ้าง

“หากเป็นรถยนต์หรู ก็จะต้องหาตัวรถให้เจอ ถึงจะดำเนินการได้ และหลังจากนี้ก็จะมีการเปิดปฏิบัติการอีกครั้งหนึ่งสำหรับการสืบทรัพย์สินที่เหลือว่าอยู่ที่ไหน และทรัพย์สินเหล่านั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อวันที่ 25 ต.ค.65 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ในขณะนั้น ได้มีการออกคำสั่งอายัดทรัพย์สิน โดยอายัดเป็นเงินสดของ สว.อุปกิตไว้แล้ว จำนวน 200,000 บาท”


พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ เผยอีกว่า ได้ตรวจสอบพบว่า ยังมีทรัพย์สินที่เป็นเงินมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ที่ถูกถ่ายโอนไปยังต่างประเทศ จากนี้จะขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการทำหนังสือส่งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อประสานกองความร่วมมือระหว่างประเทศ ดำเนินการยึดอายัด พร้อมให้ความมั่นใจว่า ป.ป.ส. ยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายการทรัพย์สินอื่นๆ เพิ่มเติม และจะออกคำสั่งยึดและอายัดต่อไป เพราะจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ทรัพย์สินรายการใดบ้างที่มาจากการกระทำความผิดในเรื่องยาเสพติด หรือทรัพย์สินนั้นมาจากการประกอบอาชีพสุจริตจริงๆ

ด้านนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงกรณี พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ออกคำสั่งอายัด
ทรัพย์สินของตนว่า เป็นเรื่องดีที่มีการอายัดและตรวจสอบทรัพย์สินของตน เพราะจะเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ให้ตนเอง โดย ป.ป.ส. สามารถอายัดไว้ได้ประมาณ 2-3 เดือน หากตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ก็ต้องคืนให้ตน ซึ่งนอกจากอายัดบัญชีในต่างประเทศแล้ว ยังอายัดบัญชีในประเทศอีกหลายสิบบัญชี แม้กระทั่งบัญชีเงินเดือน สว. ดังนั้นจะเห็นว่า กระบวนการยุติธรรมได้ทำงานแล้ว และจะเป็นสิ่งที่ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองในอนาคต

นายอุปกิต กล่าวว่า ตนไม่ได้ทำการถ่ายโอนเงินไปต่างประเทศ ตนเป็นนักธุรกิจก่อนมาเป็นสมาชิก
วุฒิสภา มีที่มาที่ไปของทรัพย์สินชัดเจน และจริงๆ ไม่ใช่มีแค่ 600 ล้าน แต่เคยมีประมาณ 700 กว่าล้าน โดยเป็นเงินจากการขายหุ้นบริษัทที่เคยบริหารในตลาดหลักทรัพย์ไปประมาณ 400 กว่าล้านให้กับนักลงทุนลาว จึงต้องเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินที่ประเทศลาว หลังจากนั้นได้ขายโรงแรม อัลลัวร์ อีกประมาณ 200 กว่าล้านให้นายพันธ์ณรงค์ ขุนพิทักษ์ ซึ่งทำธุรกิจอยู่ประเทศกัมพูชา จึงต้องเปิดบัญชีธนาคารที่ประเทศกัมพูชา เพื่อรับเงินเช่นเดียวกัน

ส่วนบัญชีอื่นๆ ที่เปิดไว้ที่สิงคโปร์ก็เป็นบัญชีการลงทุน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักธุรกิจจะเปิดบัญชีในต่างประเทศ ที่สำคัญคือ ตนไม่ได้ปิดบัง และไม่ได้ไหลเงินออกไป เพราะได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.
ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวตนก็ได้ทยอยใช้ต่อเนื่อง ทั้งการสร้างบ้านพัก การสร้างอาคารสำนักงานที่ซอยอารีย์ รวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่างๆ รวมแล้วเงินเหลือไม่ถึง 100 ล้าน และตามกฏหมายจะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินทั้งก่อนและหลังดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก โดยประมาณเดือน พ.ค.นี้ก็จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินอีกครั้ง

นายอุปกิต กล่าวอีกว่า ตนขอยืนยันความบริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา เพราะได้ขายบริษัทในเครืออัลลัวร์ทั้งหมด แม้กระทั่งบริษัทอัลลัวร์ พีแอนด์อี ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีนายตุน มิน ลัต ที่ศาลกำลังจะมีคำสั่งเร็วๆนี้ ทั้งหมดทั้งปวงตนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ปัญหาที่เกิดขึ้นคือตำรวจไปจับนายตุน มิน ลัต และเกี่ยวพันมาถึงลูกเขย และอดีตเลขาของตน เนื่องจากเส้นการโอนเงินผ่าน Money Changer ช่วงที่มีการปิดด่าน 3 ปี ซึ่งไม่มีเส้นทางอื่นในการโอนเงินและไม่สามารถทราบได้ว่า Money Changer จะใช้บัญชีอะไรในการโอนเงินไปการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยตนเคยทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปถึงอดีตอัยการสูงสุดแล้วว่า มีอีกเป็นร้อยบริษัทที่ใช้ Money Changer รายเดียวกัน และเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเอาเงินสะอาดไปฟอกให้สกปรกแล้วเอาไปจ่ายค่าไฟ

นายอุปกิต กล่าวด้วยว่า ความพยายามสร้างความแปดเปื้อนให้กับตน มาจากสาเหตุทางการเมือง โดยเฉพาะนายรังสิมันต์ โรม ที่นำหลักฐานเท็จมาอภิปรายเรื่อง สว.ทรงเอ โดยตนเคยแถลงมาแล้วครั้งหนึ่งว่า เป็นทฤษฎีสมคบคิด แม้กระทั่งปัจจุบันก็ใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ เรียกตำรวจ เรียก ป.ป.ส.ไปเร่งรัดคดีของตน ในขณะที่เรื่องของตัวเองอย่างกรณีตั๋วปารีสกลับไม่มีการชี้แจงหรือดำเนินการอะไร

5. "ธรรมนัส" นำทีมแถลงทลายแก๊งหมูเถื่อน เผยมีทั้ง ขรก.-นักการเมือง ร่วมขบวนการนับสิบ แต่ปัดเปิดชื่อ เหตุสำนวนอยู่ในมือ ป.ป.ช.แล้ว!



เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้แถลงความคืบหน้าการปราบปรามนำเข้าเนื้อสัตว์เถื่อน ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรมสรรพากร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมปศุสัตว์ และกรมประมง โดยระบุว่า ตอนนี้กลุ่มผู้กระทำผิดที่เราออกหมายจับ หมายค้น และมีการมอบตัว ดีเอสไอได้ทำสำนวนส่งไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งมีการซัดทอดไปถึงนักการเมืองใหญ่ และถึงต้นตอ ส่วนรายละเอียดชื่อนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะมีกฎหมายคุ้มครอง

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า สรุปแล้วหมูเถื่อน 161 ตู้ที่จับได้ สาวถึงต้นตอทั้งหมด ส่วนความผิดรายย่อยนั้นจะดำเนินการทุกคดี "เอาเป็นว่า มีนักการเมืองใหญ่ และกลุ่มนักการเมือง กลุ่มพ่อค้า กลุ่มชิปปิ้ง ระดับลูกจ้าง"

เมื่อถามว่า นักการเมืองใหญ่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวระบุว่า ชื่อ ป. สามารถเปิดเผยได้หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เราอย่าไปเอ่ยอย่างนั้น มันผิดกฎหมาย เดี๋ยวจะได้ไปขึ้นศาลด้วยกัน แต่ตนขอปกป้องคนที่แถลงข่าวด้วยกันก่อน เพราะต้องทำงานด้วยกันต่อไป

ส่วนการขยายผลต่อนั้น ตนได้ตั้งทีมพญานาคราชเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษ และเริ่มทำงานเชิงรุกแล้ว อีกทั้งตนได้รับนโยบายจากนายกฯ ให้เซ็ทซีโร่ห้องเย็นทั้งหมดทั่วประเทศ รวมถึงห้องเย็นที่อยู่ตามรถบรรทุกต่างๆ ให้ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใหม่ทั้งหมด หากไม่มาขึ้นทะเบียนภายในวันที่ 15 ธ.ค. จะถือว่าเป็นผู้ประกอบการเถื่อนทั้งหมด และจะดำเนินคดีอาญาทันที

เมื่อถามอีกว่า การทำลายเนื้อสัตว์ผิดกฎหมายที่จับได้ทั้ง 161 ตู้คอนเทนเนอร์นั้น หลังมีกระแสว่าชาวบ้านกลัวเรื่องโรคระบาด และเนื้อหมูจะหายโดยไม่มีการทำลายจริง ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า พอรู้ว่าเราจะทำลาย ผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นขบวนการจะเข้ามาขัดขวางไม่ให้เราทำลายได้ ที่ผ่านมาที่เราเงียบไป ตนได้ดำเนินการและให้มีการบันทึกวีดีโอ และภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ เมื่อมีการทำลายและฝังกลบทั้งหมด จะเปิดเผยให้สังคมรับทราบ รับรองว่ามีคณะกรรมการตรวจสอบทั้งหมด

ด้าน พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการเปิดเผยรายชื่อนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังขบวนการหมูเถื่อนที่ดีเอสไอส่งให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบว่า ตัวละครรายชื่อต่างๆ ต้องขอสงวนไว้จริงๆ แต่เชื่อว่า แต่ละท่านก็มีข้อมูลที่มีการสื่อสารอย่างเปิดเผยไปแล้วบางส่วน แต่เมื่อเราส่งเรื่องไปที่ ป.ป.ช.แล้ว เราไม่ส่ามารถเปิดเผยได้ แต่ขอยืนยันข้อเท็จจริงทุกรายละเอียดได้นำเรียนผู้บริหารสูงสุดไปแล้ว

ส่วนจำนวนผู้ร่วมขบวนการที่เป็นทั้งข้าราชการ และอดีตข้าราชการนั้น ตัวเลขอยู่ในหลักสิบ และข้าราชการฝ่ายการเมืองเบื้องต้นมีไม่ถึง 10 คน และยังมีกลุ่มนายทุน กลุ่มขบวนการบริษัท ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องชั้นต้นที่ดีเอสไอนำส่ง ป.ป.ช.จำนวน 161 ตู้ แต่ความผิดในลักษณะแบบนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าความต้องการหมูไม่เกิดขึ้น ในคดีที่เราทำอยู่ซึ่งจะต้องสานต่อให้จบ ก็คือกลุ่มที่มีดีมาน เชื่อมไปยังกลุ่มแรก เพราะว่ากลุ่มข้าราชการ และนักการเมืองคงไม่เอาหมูเข้ามาขายเอง มันจะต้องมีกลุ่มบุคคลที่ต้องการสั่ง ซึ่งดีเอสไอจะดำเนินการให้ครบทั้งวงจร เพราะมองว่าเป็นกลุ่มอาชญากรขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับความมั่นคงด้านอาหาร และอาชีพเกษตรกร

"เราต้องการจับตัวคนผิดไปให้ถึงตัวและต้นตอ เป็นความประสงค์ของนายกฯ เราคิดว่าภายในต้นปีนี้ เรื่องทุกอย่างจะคลี่คลาย ฉะนั้นหากใครมีข้อมูล เบาะแส แจ้งมาโดยตรงที่กระทรวงเกษตรฯ และดีเอสไอ"



กำลังโหลดความคิดเห็น