ผู้นำ “ก้าวไกล” โดนจับโกหกอีกแล้ว “พิธา” อ้างเคยขึ้นแสตนด์เชียร์บอลจตุมิตร 2 ครั้ง ขัดแย้งกับที่เคยบอกไปเรียนนิวซีแลนด์ตั้งแต่อายุ 11 ปี จนด้อมส้มต้องไปแก้วิกิพีเดียวุ่น แถมโดนจับโป๊ะซ้ำอ้างได้ปริญญา 2 ใบจากธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยในอเมริกา ส่วน “ธนาธร” ก็ช็อตฟีลด้อมส้มด้วยการยอมรับว่าเคยไปพบ “ทักษิณ” ที่ฮ่องกงช่วงจัดตั้งรัฐบาล แต่อ้างว่าไม่ได้ต่อรองจัดตั้งรัฐบาล แค่พูดคุยเรื่องชีวิตตามปกติ ทั้งที่ “ช่อ-ชัยธวัช” เคยปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้ไป
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงนิสัยชอบโกหกของแกนนำพรรคก้าวไกล ซึ่งยังแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้ ได้เคยพูดถึงเรื่อง “3 ข้อที่รับก้าวไกลไม่ได้!” ใน รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ Ep.193 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 หลังเลือกตั้งหมาด ๆ กระแสความนิยมของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลนั้นกำลังขึ้นสูง แต่มี 3 ข้อที่ไม่สามารถรับได้ คือนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 2.นโยบายต่างประเทศที่เปิดประตูให้อเมริกาเข้ามาแทรกแซงในภูมิภาคนี้ และเรื่องสุดท้ายก็คือการพูดโกหกจนเป็นนิสัยเพื่อสร้างภาพ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น”
ล่าสุด ก็มีประเด็นดราม่ากับการพูดโกหกกลับกลอกไปมาของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลประเพณีจตุรมิตรสามัคคี ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลประเพณีระดับมัธยมศึกษาระหว่างโรงเรียนชายล้วน 4 โรงเรียน ประกอบด้วยโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย, โรงเรียนเทพศิรินทร์, โรงเรียนอัสสัมชัญและโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยซึ่งเริ่มจัดมาตั้งแต่ 2507 และจัดขึ้นทุก 2 ปี ปีนี้เป็นครั้งที่ 30 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 18 พฤศจิกายน 2566
นอกเหนือจากเกมในสนามแล้ว เสน่ห์ของฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคียังอยู่ที่บรรยากาศการเชียร์ของบรรดาศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน และที่ขาดไม่ได้คือ “การแปรอักษร” ที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญ โดยภาพการแปรอักษรของ 4 สถาบันในปีนี้ มีการร่วมกันแปรอักษรเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสวยงามออกมา
หลังมีการแปรอักษรเชิดชูสถาบัน ก็กลับมีคนร้อนตัว อดรนทนไม่ได้ที่มีนักเรียน ครูบาอาจารย์ สถาบันที่กตัญญูรู้คุณ แสดงความจงรักภักดี เลยมีคนเอาป้าย “เลิกบังคับแปรอักษร” ไปติดตามที่ต่างๆ โดยผู้ที่ติดป้ายดังกล่าวอ้างว่า เป็นศิษย์เก่า และกลุ่มนักกิจกรรมเยาวชน ที่ต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากเห็นว่า การแปรอักษรเป็นกิจกรรมที่“ละเมิดสิทธิ” โดยอ้างว่าเป็นการบังคับเด็กทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเด็ก ๆ กับชุมนุมเชียร์ต่าง ๆ เขาเป็นคนทำกันเอง เด็กก็ขึ้นแสตนด์แปรอักษรด้วยความสมัครใจ ไม่ได้มีใครบังคับ
เมื่อตรวจสอบไปมา คนที่อยู่เบื้องหลังก็คือนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และอดีตผู้ต้องโทษมาตรา 112 ผู้อยู่เบื้องหลังแก๊งทะลุวัง โดยร่วมมือกับ น.ส.อันนา อันนานนท์ แกนนำกลุ่มนักเรียนเลว ซึ่งทั้งคู่เป็นแนวร่วม “ม็อบ 3 นิ้ว”ที่มีจุดยืนไม่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์
จากนั้น อยู่ ๆ ส.ส.พรรคก้าวไกล กระโดดลงมารับลูก โดยนายปารเมศ วิทยารักษ์สวรรค์ ส.ส.เขต 1 กทม. พรรคก้าวไกล กับ “แก้วตา” ธิษะณา ชุณหะวัณ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ลูกของนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ หลานสาวของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนฝ่ายที่ต่อต้านการแปรอักษร
แต่ปรากฏว่ากระแสตีกลับ เพราะทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของ “จตุรมิตร” ต่างดาหน้าออกมาสวนกลับ แกนนำกลุ่ม 3 นิ้ว กับ ส.ส.พรรคก้าวไกล ในทำนองที่ว่า พรรคก้าวไกลอย่าใช้การแปรอักษรมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ถึงขั้นมีการทำเสื้อ "อย่าเสือก!! เรื่องแปรอักษรของพวกกู" ใส่แพร่หลายกันไปทั่วในหมู่ศิษย์เก่าของโรงเรียนในเครือจตุรมิตร
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ แปลว่าหลังจากนี้ พรรคก้าวไกลจะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบขึ้น เพราะคนในสังคมเริ่มตาสว่าง และเห็นธาตุแท้ ของพรรคนี้มากขึ้นแล้ว
และที่เป็นประเด็นดราม่าต่อไปอีก เมื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปเชียร์บอลจตุรมิตร ในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แล้วไปโม้ว่าได้ขึ้นแปรอักษรงานบอลจตุรมิตร 2 ครั้ง จนทั้งศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบันพากันงง นับนิ้วกันใหญ่ว่า "มันเป็นไปได้หรือ?"
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2566 ในการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี ครั้งที่ 30 ระหว่างโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยกับ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ ซึ่งนายพิธา ได้ร่วมเดินทางไปชมการแข่งขันด้วยนั้น
ปรากฏว่า ช่วงพักครึ่ง มีศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนชี้ไปที่พิธาแล้วโห่ไล่ กองเชียร์ที่นั่งอยู่ก็ร่วมกันโห่ ขณะที่อีกคนเดินมาชูเสื้อที่เขียนว่า"อย่าเสือก!! เรื่องแปรอักษรของพวกกู"ต่อหน้าพิธา ได้รับเสียงเชียร์เป็นอย่างมาก ส่วนพิธาหน้าเสีย และบอกว่า ผมไม่เกี่ยว
จับโป๊ะ “พิธา” ปั้นแต่งประวัติชีวิตตัวเองจนเป็นนิสัย
ประเด็นถัดมาอยู่ที่ วันเดียวกันนั้น นายพิธา ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวกีฬาของไทยรัฐ โดยระบุว่า “เรื่องการแปรอักษร ตัวเองขึ้นมา 2 ครั้งมีครั้งที่สนุกและบางครั้งที่ไม่ได้เห็นเวลายิงประตูบ้างอะไรบ้าง และดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของจตุรมิตร”
หลังจากนั้นคนก็เลยพากันตั้งข้อสงสัย ว่าหรือนี่จะเป็นการโกหกอีกครั้ง เนื่องจากอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์สื่อ ที่นายพิธาเคยพูดออกจากปากเองว่า ตัวเองนั้นไปเรียนต่อยังต่างประเทศตั้งแต่อายุ 11 ปี
“...สมัยยังเด็ก ได้เข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย แต่เกเร พ่อก็เลยส่งไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ ตอนอายุ 11 ปี ...ตอนไป 3 เดือนแรกร้องไห้ทุกคืน ยังเด็กอยู่ 11 ขวบ"
ทีนี้คนก็เลยมานั่งนับ เพราะเด็กอายุ 11 ปี ถ้าเรียนตามเกณฑ์ก็อยู่ ป.5 แต่ถ้าเรียนเร็วหน่อยก็อยู่ ป.6 ส่วนคุณพิธา บอกว่าตัวเองขึ้นมัธยมแล้ว แถมยังขึ้นแปรอักษร 2 ครั้ง ศิษย์เก่าก็เลยงง ว่า ไปขึ้นตอนไหน เพราะปกติแปรอักษรใช้แต่เด็กมัธยม และบอลจตุรมิตร 2 ปีเตะครั้ง นับยังไงก็ไม่ลงตัว
แต่นับไปนับมา ไม่ทันไร ในเว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี มีคนไปแก้ไขประวัตินายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรณีไปศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยแก้ไขจากของเดิมอายุ 11 ปี เป็นอายุ 16 ปี แต่พอเรื่องบานปลาย มือดีที่แอบแก้ประวัติ คงจะอาย ก็เลยต้องแก้ไขข้อมูลกลับไปเป็นอายุ 11 ปีเหมือนเดิม
พอเรื่องเริ่มจะไปกันใหญ่ ก็มีฮีโร่ขี่ม้าขาวออกมาหวังแก้ต่างให้นายพิธา โดยบอกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าห้องสมัยพิธาเรียนอยู่ ม.2 - ม.3 ที่กรุงเทพคริสเตียน และพิธาร่วมแปรอักษรจริง ส่วนประเด็นไปเรียนเมืองนอกทับซ้อน ก็คือไปเรียนจริง แต่ไปเรียนซัมเมอร์เข้าแคมป์ตามประสาปิดเทอม จนพร้อมถึงไปเรียนเต็มรูปแบบ
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่าตอนอายุ 11 ขวบไปแค่ Summer Camp แต่เที่ยวไปให้สัมภาษณ์สร้างภาพ โกหกว่าไปเรียนต่อต่างประเทศที่ประเทศนิวซีแลนด์ ตั้งแต่ตอนอายุ 11 ขวบ ให้คนเข้าใจว่าคุณใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนาน ตั้งแต่เด็กจนโต ก็ไม่เป็นความจริง?
ต่อมาเรื่องไปเรียนนิวซีแลนด์ตั้งแต่ชั้นประถมอายุ 11 ขวบยังไม่ทันจบ แต่มีโอกาสขึ้นแสตนด์เชียร์บอลจตุรมิตรถึง 2 รอบ ยังไม่ทันจบ ก็มีเรื่องอีกแล้ว
ปูดกรณีดราม่า 2 ปริญญา
เมื่อนักสืบโซเชียลทำหน้าที่สืบประวัติ กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้สัมภาษณ์ไว้ตามสื่อต่างๆ อีกแล้ว ว่าจบ “ปริญญาตรี” สองใบ หรือที่เขาเรียกว่า Dual Degree คือ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ประเทศไทย และ The University of Texas at Austin ที่มลรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา
บรรดานักสืบโซเชียลจึงออกมาแฉว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจริง แต่ไม่ได้จบจากUT at Austinตามที่ให้สัมภาษณ์ไว้ เพราะโปรแกรม BBA ภาคภาษาอังกฤษของธรรมศาสตร์ได้ปริญญาตรีใบเดียวของธรรมศาสตร์ ไม่ใช่ Dual degree แต่อย่างใด
ข้อมูลที่แฉกันออกมาคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เรียนบัญชีที่ ธรรมศาสตร์ 2 เทอม (รหัส 41) แล้วได้ทุนไปเป็นแค่นักเรียนแลกเปลี่ยนที่ UT at Austin ช่วงหนึ่ง จากนั้นโอนผลการเรียนกลับมาเทียบหน่วยกิตที่ธรรมศาสตร์ แล้วจบที่ธรรมศาสตร์ อาจจะได้ใบ Certificate หรืออะไรที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนแต่ไม่ใช่ปริญญา 2 ใบตามที่กล่าวอ้าง
จริง ๆ ไม่ได้อยากจะมาจับผิดคุณเรื่องพวกนี้ อย่างที่พวก“ติ่งส้ม”หรือ“คอนดอมส้ม”ที่ออกมาปกป้องว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ปัญหาของนายพิธาคือการโกหกในเรื่องที่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจนกลายเป็นนิสัย คงคอนเซปต์"พลิกลิ้น"เมื่อวานพูดอย่างหนึ่ง วันนี้พูดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง ไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ
นับตั้งแต่
- โกหกว่า บินกลับมางานศพพ่อไม่ทันในช่วงที่มีการรัฐประหารปี 2549 ทั้ง ๆ ที่คุณกลับมาช้าเอง
- โกหกว่าโดน คมช. ยึดทรัพย์จนไม่มีเงินจัดงานศพคุณพ่อ
- โกหกว่า ไม่เคยสนับสนุนให้ยกเลิก ม.112
- โกหกว่า ไม่เคยสนับสนุนกัญชาเสรี
- โกหกว่า กลับมาแก้หนี้สินของบริษัทของครอบครัวคุณ 100 ล้านบาท ให้หมดไป ปรากฏว่าหลักฐานที่ปรากฏออกมามันไม่ตรงกับสิ่งที่คุณพูด ยังไม่ต้องพูดถึงเงินกู้ยืมบริษัทกงสีครอบครัวที่หายไปอย่างปริศนาในช่วงที่คุณเป็ฯกรรมการอยู่
- ไม่นับเรื่องที่ คุณแสร้งว่าสนับสนุน เรื่องความหลากหลายทางเพศ LGBTQ และ การสมรสเท่าเทียม แต่เมื่อมีคนย้อนคำให้สัมภาษณ์และพฤติกรรมในอดีตนั้นก็พบว่าคุณเอง ก็เคยห้ามอดีตภรรยาคบเพื่อนทอม เพื่อนเกย์ หรือเพศที่ 3 !?!
จนมาถึงเรื่องล่าสุด คือ ไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งแต่อายุ 11 ปี, เรื่องปริญญา 2 ใบ และ เชื่อว่ายังมีเรื่องอื่น ๆ อีกที่สาธารณชนยังไม่รู้
แต่ก็ไม่น่าสงสัยว่าทำไม นายพิธา ถึงคิดว่าการโกหกเป็นเรื่องปกติ เพราะย้อนกลับไปดู นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้นำทางความคิดของพรรคก้าวไกล ก็ไม่ต่างกัน
ความจริงมีหนึ่งเดียว! “ธนาธร” ยอมรับบินไปพบ “แม้ว” ที่ฮ่องกงจริง
ในช่วง เดือนกรกฎาคม 2566 หลังการเลือกตั้ง ช่วงที่มีการเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลมีข่าวลือว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคระก้าวหน้า บินไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง เพื่อขอพูดคุย ตกลงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล
ตอนนั้น พอข่าวนี้แพร่กระจายออกไป “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า คนสนิทของนายธนาธร ก็รีบออกมาแก้ตัวว่าข่าวดังกล่าวเป็นไปไม่ได้ โดยระบุว่า นายธนาธร อยู่เมืองไทย อยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ไปพบทักษิณที่ฮ่องกงตามข่าวลือ
ขณะเดียวกัน “ต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ตอนนั้นยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ออกมาพูดปฏิเสธแบบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่าไม่น่าจะใช่
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน เมื่อ วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ให้สัมภาษณ์ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ตอนหนึ่ง ยอมรับว่า ในช่วงก่อนการจัดตั้งรัฐบาลได้เดินทางไปพบ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เกาะฮ่องกง จริง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นายธนาธร ยอมรับในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม นายธนาธร อ้างว่า เป็นปกติที่เราพบปะพูดคุยกับนักการเมืองทั่วไป แต่ยอมรับว่า ก่อนจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ได้มีการพบปะพูดคุยกันจริง แต่คุยเรื่องชีวิต เช่น ชีวิตมีหลานแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ไปต่อรองเรื่องจัดตั้งรัฐบาล
“ผมได้ฟังแล้วผมก็หัวเราะแทบตกเก้าอี้เพราะ สิ่งที่คุณธนาธรพูดใครจะเชื่อ?
“ไหนก่อนหน้านี้ คนก้าวไกล - คณะก้าวหน้า ทั้ง ช่อ พรรณิการ์, ต๋อม ชัยธวัช ต่างออกมาเรียงหน้าปฏิเสธเสียงแข็งไงล่ะว่าธนาธรไม่เคยไปพบทักษิณ
“นี่ผมยังไม่พูดถึงเรื่องที่ “คุณช่อ” ซึ่งทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่างประเทศ ข่าวต่างประเทศ เรียนจบรัฐศาสตร์จุฬาฯ แล้วไปต่อโทที่ LSE ที่อังกฤษ แต่แท้จริงแล้วความคิด และพฤติกรรมต่างๆ นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากการเป็น“เอเจนต์” ของฝรั่งผมยกตัวอย่างให้ก็ได้อันนี้เห็นได้ชัดที่สุด ความเห็นของคุณช่อ ออกมาโกหกเรื่องสงครามยูเครน บอกว่า รัสเซียแพ้แน่ๆ”
“พวกคุณกำลังทำเสมือนว่าการโกหกเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคม การพูดไม่จริงเพื่อนำไปสู้เป้าหมายเป็นเรื่องไม่ผิด บรรดาแฟนคลับโง่ๆ ก็รู้ไม่เท่าทัน ใครพูดเก่ง เล่นละครเก่ง แสดงเก่ง บิดเบือนเก่ง ก็หลงลมไปกับสิ่งที่เขาพูดอย่างไม่ลืมหูลืมตา
“แต่พวกคุณให้จำคำพูดผมวันนี้เอาไว้ ผมยังเชื่อมั่นในพระธรรม และในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า “คนพูดเท็จ ไม่ทำชั่ว นั้นไม่มี” นายสนธิ กล่าว