Source: https://apnews.com/article/teen-vaping-smoking-cdc-survey-d1f44bd3d8df6960215a14454f5e2e6e
โดย ไมค์ สตอบบี และแมทธิว เพอร์โรน
ปรับปรุงเมื่อ 1:33 AM GMT+7, 3 พฤศจิกายน 2566
นิวยอร์ก (AP) - เมื่อวันพฤหัสบดี รายงานจากรัฐบาลระบุว่านักเรียนมัธยมปลายใช้บุหรี่ไฟฟ้าน้อยลงในปีนี้ การสำรวจพบว่านักเรียนมัธยมปลาย 10% ระบุว่าตนใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งลดลงจากปีที่แล้วที่ 14% การใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดอื่นๆ รวมถึงบุหรี่และซิการ์ ก็ลดลงในหมู่นักเรียนมัธยมปลายด้วยเช่นกัน ตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC)
“ผมว่ามีข่าวดีเยอะมาก” เคนเนธ ไมเคิล คัมมิงส์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาท์แคโรไลนา ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาของ CDC กล่าว
ในบรรดานักเรียนมัธยมต้น มีประมาณ 5% ที่ระบุว่าตนใช้บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งตัวเลขนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว
การสำรวจในปีนี้ดำเนินการสำรวจกลุ่มนักเรียนมากกว่า 22,000 คน ซึ่งกรอกแบบสอบถามทางออนไลน์ในฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว ทางหน่วยงานถือว่าการสำรวจประจำปีเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวัดแนวโน้มการสูบบุหรี่ของเยาวชน เหตุใดการใช้บุหรี่ไฟฟ้าจึงลดลงในหมู่นักเรียนมัธยมปลาย...เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเชื่อว่ามีปัจจัยหลายประการที่อาจส่งเสริมการลดลงนี้ รวมถึงการขึ้นราคาผลิตภัณฑ์และจำกัดการจำหน่ายให้กับเยาวชนโดยการเพิ่มอายุขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดเป็น 21 ปี
“เป็นเรื่องน่ายินดีที่เราได้เห็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าลดลงอย่างมากในหมู่นักเรียนมัธยมปลายภายในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นชัยชนะทางสาธารณสุข” ไบรอัน คิง ผู้อำนวยการศูนย์ยาสูบขององค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) กล่าว
FDA ได้อนุญาตบุหรี่ไฟฟ้ารสยาสูบบางรุ่นที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้สูบบุหรี่วัยผู้ใหญ่ลดการสูบบุหรี่ลง แต่ประสบปัญหาในการปราบปรามการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เถื่อน ผลการวิจัยที่สำคัญอื่นๆ ในรายงาน ได้แก่
- ในบรรดานักเรียนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบัน ราวหนึ่งในสี่ระบุว่าตนใช้บุหรี่ไฟฟ้าทุกวัน
- นักเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายประมาณ 1 ใน 10 ระบุว่าตนเพิ่งใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบเมื่อไม่นานนี้ นั่นหมายถึงเยาวชน 2.8 ล้านคนในสหรัฐฯ (จากประชากรทั้งหมดกว่า 340 ล้านคน)
- บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบที่เป็นที่นิยมใช้มากที่สุด และบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่วัยรุ่น
- นักเรียนเกือบ 90% ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบแต่งกลิ่น โดยมีรสผลไม้และลูกกวาดเป็นอันดับต้นๆ
ในปี 2020 หน่วยงานกำกับดูแลของ FDA ได้สั่งห้ามรสชาติที่วัยรุ่นชื่นชอบสำหรับบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้ซ้ำได้ เช่น Juul และ Vuse ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายเพียงรสเมนทอลและยาสูบเท่านั้น แต่ข้อจำกัดด้านรสชาตินี้ไม่ได้บังคับใช้กับผลิตภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้ง และบริษัทอย่าง Elf Bar และ Esco Bar ก็เข้ามาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าวอย่างรวดเร็ว รสชาติที่หลากหลายมากขึ้น เช่น รสกัมมีแบร์และแตงโม ส่วนใหญ่ล้วนมาจากอุปกรณ์ใช้แล้วทิ้งราคาถูกที่นำเข้าจากประเทศจีน ซึ่ง FDA ถือว่าผิดกฎหมาย ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายบุหรี่ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ตามตัวเลขที่ระบุโดยรัฐบาล
ในการสำรวจล่าสุด ประมาณ 56% ของวัยรุ่นที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าระบุว่าตนใช้ Elf Bar ตามมาด้วย Esco Bar และ Vuse ซึ่งเป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่ใช้ซ้ำได้ที่ผลิตโดย R.J. Reynolds ในขณะที่ Juul ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ถูกกล่าวโทษอย่างกว้างขวางว่าทำให้เกิดกระแสการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของวัยรุ่น ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่สี่ โดยมีวัยรุ่น 16% ที่ใช้แบรนด์นี้
FDA พยายามปิดกั้นการนำเข้าทั้ง Elf Bar และ Esco Bar ในเดือนพฤษภาคม แต่ยังคงมีผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจำหน่ายอย่างแพร่หลาย Elf Bar ได้หลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ศุลกากรด้วยการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ รวมถึงใช้วิธีอื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ
เมื่อวันพฤหัสบดี FDA ได้ประกาศโทษปรับร้านค้า 20 แห่งที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Elf Bar อีกรอบหนึ่ง โดยทางองค์การฯ ได้ส่งจดหมายเตือนไปยังผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่ได้รับอนุญาตมากกว่า 500 ฉบับในปีที่ผ่านมา แต่การส่งจดหมายเหล่านั้นไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายและบางครั้งก็ถูกเพิกเฉย
ในรายงานล่าสุด CDC ได้เน้นย้ำถึงผลวิจัยข้อหนึ่งที่น่ากังวลแต่ก็น่างุนงงด้วย คือ นักเรียนมัธยมต้นที่ระบุว่าตนใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบอย่างน้อยหนึ่งชนิดในเดือนที่ผ่านมานั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่อัตราดังกล่าวลดลงในหมู่นักเรียนมัธยมปลาย เคิร์ต ริบิสล์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนากล่าวว่า โดยปกติแล้วตัวเลขเหล่านี้จะเคลื่อนไหวแบบตามลำดับกัน ริบิสล์และคัมมิงส์ออกมาเตือนว่าไม่ควรให้ความสำคัญต่อผลการวิจัยนี้มากเกินไป โดยระบุว่ามันอาจเกิดขึ้นชั่วคราวเพียงปีเดียว
------
เพอร์โรนรายงานจากกรุงวอชิงตัน
___
ฝ่ายวิทยาศาสตร์และสุขภาพของ Associated Press ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มสื่อวิทยาศาสตร์และการศึกษาของสถาบัน Howard Hughes Medical Institute และ AP เป็นผู้รับผิดชอบต่อเนื้อหาทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว