1."ทักษิณ" ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ "ในหลวง" พระราชทานอภัยลดโทษจากจำคุก 8 ปี เหลือ 1 ปี ด้าน "วิษณุ" ชี้ วันพ่อแห่งชาติ อาจได้ลดโทษอีก!
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระแสสังคมไม่เชื่อว่า นายทักษิณ ชินวัตร ป่วยอยู่ที่ รพ.ตำรวจ จริงว่า ถ้าตนยังพอมีเครดิตอยู่ ขอให้คำยืนยันว่า นายทักษิณ อยู่ รพ. จริง ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จริง หลังจากได้พักจนถึงเที่ยงคืน และนายทักษิณป่วย ความดันขึ้นเกือบ 200 มีกินยาสลายลิ่มเลือดและมีภูมิแพ้ ประกอบกับสลด หดหู่ใจ ทำให้อาการทรุดหนักลง แต่จะทรุดหนักขนาดไหนตนไม่ทราบ และได้ส่งตัวไป รพ. ซึ่งตนได้พูดกับนายแพทย์ใหญ่ ผู้อำนวยการ รพ.ตำรวจ ก็ฝากฝังให้ช่วยดูแลช่วงที่อยู่ รพ.ตำรวจ
เมื่อถามว่า การขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณถึงมือท่านหรือยัง นายวิษณุ กล่าวว่า “ถึงแล้ว” และว่า ขั้นตอนนี้เป็นการขอส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับการขอพระราชทานอภัยโทษส่วนรวม ที่ขึ้นอยู่กับวันสำคัญ หรือรับโทษมาแล้วเท่าไหร่ ทั้งนี้ การขอพระราชทานอภัยโทษส่วนตัวเป็นพระมหากรุณาธิคุณเท่านั้น
เมื่อถามว่า นายทักษิณอยู่ที่โรงพยาบาล จะถือว่าจำคุกด้วยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า นับ อยู่ในกำหนดระยะเวลาด้วย ถือว่าอยู่ในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ตลอด เราถึงต้องส่งพนักงานกรมราชทัณฑ์ 4 คนไปเฝ้า และมีอำนาจออกระเบียบว่าใครเข้าเยี่ยมบ้าง และเข้าเยี่ยมได้กี่คน คนละกี่นาที
วันต่อมา (1 ก.ย.) เว็บไชต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พระบรมราชโองการพระราชทานอภัยลดโทษ ความว่า ตามที่นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร ยื่นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำนวน ๓ คดี คดีที่ ๑ คดีหมายเลขแดง ที่ อม. ๔/๒๕๕๑ ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก ๓ ปี คดีที่ ๒ คดีหมายเลขแดง ที่ อม. ๑๐/๒๕๕๒ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก ๒ ปี ซึ่งคดีที่ ๑ กับคดีที่ ๒ นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก ๓ ปี
และคดีที่ ๓ คดีหมายเลขแดง ที่ อม. ๕/๒๕๕๑ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม กำหนดโทษจำคุก ๕ ปี รวมกำหนดโทษจำคุก ๘ ปี รับโทษมาแล้ว ๑๐ วัน เหลือโทษจำคุก ๗ ปี ๑๑ เดือน ๒๐ วัน อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกดังกล่าว ด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา ขณะนี้อายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้น
ซึ่งความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไป อีก ๑ ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา เพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคมและประชาชน สืบไป
วันเดียวกัน (1 ก.ย.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย บุตรสาวนายทักษิณ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณว่า “ข้าพระพุทธเจ้า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และนายทักษิณ ชินวัตร จะใช้ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ทั้งชีวิต ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคม ประชาชน และรับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์สืบไป ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวของนายทักษิณ กล่าวถึงคดีอื่นของนายทักษิณที่ยังค้างอยู่ว่า เรื่องใดที่อยู่ในชั้นสอบสวน ก็จะร้องขอความเป็นธรรมเเละขอให้สอบสวนต่อพนักงานอัยการ เนื่องจากต้องให้โอกาสผู้ต้องหาต่อสู้คดีอาญาอย่างเต็มที่ ส่วนคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาล หากมีคดีที่สามารถถอนฟ้องหรือยอมความได้ ก็ต้องดำเนินการเพื่อหาข้อยุติตามกฎหมายต่อไป ซึ่งตนจะเดินทางไปเยี่ยมนายทักษิณ อีกครั้งในสัปดาห์หน้า
ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในวันเดียวกัน (1 ก.ย.) ว่า เมื่อมีพระราชทานอภัยลดโทษนายทักษิณแล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้ก็จะดำเนินการตามปกติกับนักโทษทั่วไป เมื่อนายทักษิณ หายป่วยก็กลับเข้าเรือนจำ ถ้าอาการป่วยไม่ดีขึ้น ก็ต้องรักษาตัวต่อไป และว่า เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็บังคับใช้ได้ทันที ตั้งแต่วันที่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมา ซึ่งนายทักษิณไม่สามารถที่จะขอพระราชทานอภัยโทษได้อีก เพราะเป็นพระมหากรุณาธิคุณลงมาแล้ว และนายทักษิณต้องโทษจำคุกอีก 1 ปี ไม่มีลดหย่อนโทษอีกแล้ว เพราะเป็นพระราชอำนาจเด็ดขาดแล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า คำให้สัมภาษณ์ของนายวิษณุ เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ทำให้สังคมเข้าใจว่า หลังจากนี้ นายทักษิณต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี โดยไม่สามารถขอพระราชทานอภัยโทษหรือลดหย่อนโทษได้อีก แต่ปราฏว่า นายวิษณุได้ออกมาพูดใหม่ในวันต่อมา (2 ก.ย.) ว่า ตนไม่เคยให้ความเห็นว่า นายทักษิณไม่สามารถลดหย่อนโทษได้อีก จากที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ จาก 8 ปี เป็น 1 ปี เพียงแต่ให้ความเห็นว่า ถือเป็นพระราชอำนาจเด็ดขาดเท่านั้น
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า กรณีของนายทักษิณ ถือว่าเป็นนักโทษที่ถูกจำคุก 1 ปี ซึ่งนักโทษจำคุก 1 ปีคนอื่นได้รับสิทธิ์ประโยชน์อย่างไร นายทักษิณก็จะได้รับสิทธิ์เช่นนั้น รวมถึงการได้รับการลดหย่อนโทษเมื่อถึงเวลาลดหย่อนทั่วประเทศ ถ้ามีการลดกันก็จะได้สิทธิ์เหมือนกับนักโทษคนอื่นๆ “ยังลดโทษได้อีก แต่จะลดไหมไม่รู้ บางคนคาดหมายว่าวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ วันพ่อแห่งชาติ อาจลดได้อีก”
2.โปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่แล้ว "เศรษฐา" นายกฯ ควบ รมว.คลัง "อนุทิน" รองนายกฯ ควบ รมว.มท. "พีระพันธุ์" รองนายกฯ ควบ รมว.พลังงาน!
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 1 ก.ย. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้นำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่มี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ขึ้นทูลเกล้าฯ วันต่อมา (2 ก.ย.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ แล้วนั้น บัดนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เลือกสรรผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรองนายกรัฐมนตรี, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายสุทิน คลังแสง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อีกตำแหน่งหนึ่ง, นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายจักรพงษ์ แสงมณี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
นายวราวุธ ศิลปอาชา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นางสาวศุภมาส อิศรภักดี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายไชยา พรหมา เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายอนุชา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นางมนพร เจริญศรี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายนภินทร ศรีสรรพางค์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายเกรียง กัลป์ตินันท์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายทรงศักดิ์ ทองศรี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายชาดา ไทยเศรษฐ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม, พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายชลน่าน ศรีแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ “ครม.เศรษฐา 1” มีรัฐมนตรีทั้งสิ้น 34 คน จากที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้สามารถแต่งตั้งรัฐมนตรีรวมนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 36 ราย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีชื่อนายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐมนตรี หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เนื่องจากเคยมีประวัติด่างพร้อยเป็นทนายถุงขนม 2 ล้าน ถูกศาลพิพากษาจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล 6 เดือน ไม่รอลงอาญา และถูกลบชื่อออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งหลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เจ้าตัวได้ประกาศขอไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังไม่มีชื่อ นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกวางตัวเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ อีกด้วย
ล่าสุด (2 ก.ย.) นายเศรษฐา เผยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ในวันที่ 5 ก.ย. จากนั้นจะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เบื้องต้นจะเป็นวันที่ 8 หรือ 11 ก.ย. โดยก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จะมีการนัดประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษในวันที่ 6 ก.ย. ก่อน เพื่อหารือกับ 11 พรรคร่วมรัฐบาล ในการเตรียมการแถลงนโยบาย
ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเมื่อวันที่ 30 ส.ค. หลังหารือกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ถึงการส่งมอบงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งนายสุพัฒนพงษ์ ได้ฝากฝังไว้หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ ขั้นตอนในการลดราคาค่าไฟกับค่าน้ำมันดีเซล โดยนายเศรษฐา กล่าวว่า จะมีประกาศหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกแน่นอน
เมื่อถามย้ำว่า หลังการประชุม ครม. นัดแรกจะสามารถลดได้ทันทีแน่นอนใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ทันทีครับทันที ประกาศทันทีและขอดูขั้นตอนนิดหนึ่ง”
3. ปิดฉากนายกฯ 9 ปี "บิ๊กตู่" ร่วมทานข้าวอำลาสื่อทำเนียบฯ ด้าน ขรก.-จนท.-เอฟซี มอบดอกไม้ให้กำลังใจ น้ำตาคลอหลัง "พีระพันธุ์-ธนกร" สวมกอดร่ำลา!
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. เวลา 12.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินลงจากห้องทำงาน บนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. สาธารณสุข นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ทันทีที่นายกฯ เดินมาถึงบริเวณที่จะร่วมรับประทานอาหารกับสื่อมวลชน หน้าตึกบัญชาการ 1 ได้ถอดเสื้อสูท และมีท่าทีผ่อนคลายอารมณ์ดี พร้อมกล่าวทักทายว่า “ระวังติดโควิดนะ สบายดีกันไหม วันหน้าก็ทำกับรัฐบาลใหม่เขาให้ดีๆ ก็แล้วกันนะ” จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับประทานผัดไทย หมูย่างปลาร้า ส้มตำ หอยทอด ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ และของหวานเป็นไอศกรีมกะทิ
เมื่อถามว่า จากนี้นายกฯ จะไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็คงซักระยะ ให้มันนิ่งๆ เงียบๆ เรียบร้อยก่อน จะไปถูกหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้เลย เพราะตนนั่งแค่รถจากบ้านมาทำเนียบฯ ทุกวัน ก็ฝากไปถึงครอบครัว ขอให้อยู่กับครอบครัว เพราะเวลาก็หายไป 9 ปี หรือเยอะกว่านั้น ที่เรามาอยู่ตรงนี้ มาบริหารสถานการณ์สภาวะต่างๆ ซึ่งวันนี้ก็สงบเรียบร้อยเป็นไปอย่างน่าภูมิใจ ถ้าเราช่วยกันรักษาไว้ ประเทศก็เดินต่อไปได้ เพราะทุกอย่างตั้งเอาไว้แล้ว จะปรับปลี่ยนอะไรก็ต้องทำให้ต่อเนื่องกันบ้าง ตนไม่ขอวิจารณ์ ให้เขาทำงานไป ซึ่งการที่ตนตัดสินใจออกจากทำเนียบฯ ไปนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน เพราะเป็นการให้เกียรติคณะรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งคาดว่า น่าจะเร็วๆ นี้ เขาจะได้มาจัดสถานที่ในการทำงาน
เมื่อถามว่า ถ้าไม่ได้เป็นนายกฯ จะเหงาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะเหงาอะไร ตนเป็นคนช่างคิด ช่างอ่าน นิสัยนี้เลิกไม่ได้ ไม่มีอำนาจอะไรก็นั่งคิดไปเฉยๆ คิดในฐานะประชาชนคนหนึ่ง คนเราต้องวางบทบาทที่เหมาะสม เมื่อถามว่า งานอดิเรกจากนี้ไป พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า จะอ่านหนังสือและเลี้ยงสุนัข พล.อ.ประยุทธ์ จะเขียนหนังสือสักเล่มหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่หรอก ขอพักสมองสักเดี๋ยว เจอกับหนังสือมา 9 ปี ท่วมหัวไปหมดแล้ว
เมื่อถามว่า จะฝากอะไรถึงชาวโซเชียล ที่วันข้างหน้าจะไม่ได้เป็นนายกฯ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ฝากความรักความคิดถึงและไม่โกรธเคืองใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะรักจะชอบไม่ชอบจะด่าจะว่า เพราะเป็นโลกของโซเชียล เพียงแต่ท่านต้องมีภูมิคุ้มกันบ้าง บางทีไม่รู้จักกัน เห็นเขาเกลียดก็เกลียดด้วย ซึ่งตนคิดว่ามันต้องมีเหตุมีผล ถ้าทุกคนบิดเบี้ยวไปหมด กฎหมายอยู่ตรงไหนไม่รู้ มันไม่ได้ เป็นอันตรายสำหรับประเทศ สื่อด้วยต้องช่วยกัน
เมื่อถามว่า ประทับใจอะไรกับเรือลำนี้ที่พายมาจนถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เกิดจากความรักความสามัคคีความเข้าใจ เราทำหน้าที่เพื่อใคร เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน เพื่อสถาบันอะไรต่างๆ ที่ทำได้โดยเร็วก็เร่งดำเนินการไป อันไหนที่ยังต้องรอขั้นตอนก็ต้องทำต่อ หลายอย่างติดข้อกฎหมาย ก็ยังทำไม่เรียบร้อย ก็ต้องทำกันต่อไป มีแค่นี้
เมื่อถามว่า หลังจากนี้ ไม่ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ แล้ว หวังอะไรกับเรือลำใหม่ที่จะมาดูแลประเทศต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แล้วสื่อหวังอย่างไร ก็หวังแบบสื่อที่ต้องการให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า ตนตอบแบบนี้ ใช้ได้ไหม
เมื่อถามว่า หลังจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงความเห็นเรื่องชาติบ้านเมืองหรือไม่ เมื่อไม่มีตำแหน่งแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องดูว่าควรหรือไม่ควร เราไม่อยากให้ความขัดแย้งมันมากกว่านี้ ซึ่งมันก็ดีอยู่แล้ว อยู่ที่พวกเราจะช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบ แต่ก่อนมันไม่มากเท่านี้ แต่วันนี้มีโซเชียลอะไรต่างๆ ทุกคนแสดงความคิดเห็นกันได้หมด เมื่อถามว่า มองดูแล้วบรรยากาศจากนี้จะสงบดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราก็ต้องหวังอย่างนั้นมั้ง
เมื่อถามว่า 9 ปีที่ผ่านมา ทำงานได้พึงพอใจสำเร็จตามที่มุ่งหวังหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เกินครึ่งนะ แต่บางอย่างมันยาก ติดกฎหมาย เสนอไปหลายอย่างไม่ออก ซึ่งเป็นเรื่องของสภา แต่อย่างน้อยก็เกิน 50-60 บางอย่างก็ 80-90 อย่างเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การแพทย์สาธารณสุข ก็เดินหน้าไปเยอะ สำหรับนโยบายที่ประทับใจถือว่าทุกโครงการที่ทำ เพราะเป็นผลประโยชน์ของประชาชน วันนี้ทำไม่ได้ ก็ต้องรอวันหน้า บางแผนการโครงการ ประชาชนไม่เห็นชอบ ก็ต้องสร้างความเข้าใจ จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับมอบดอกไม้ และร่วมถ่ายรูปกับสื่อมวลชน ที่ร่วมเดินไปส่งจนถึงตึกไทยคู่ฟ้า
ต่อมาเวลา 13.09 น. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นไปสักการะท่านท้าวมหาพรหม บนดาดฟ้าตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนลงมาพบปะข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯ จำนวนมากที่นำดอกกุหลาบแดงมามอบให้ ทั้งนี้ กรมประชาสัมพันธ์ได้นำวงดนตรีมาบรรเลงเพลงให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยเพลงแรกได้บรรเลงเพลง "ความฝันอันสูงสุด"
กระทั่งเวลา 13.30 น.ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบฯ รวมทั้งแฟนคลับ ได้เข้ามาร่วมให้กำลังใจมอบดอกไม้ ถือป้ายเชียร์ และร่วมส่ง พล.อ.ประยุทธ์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับทุกคนว่า อะไรก็ตามที่ทำให้พวกเราไม่สบายใจ ไม่พอใจ ก็ขอบอกว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่ตั้งใจแบบนั้น ขอบคุณทุกคนและทุกหน่วยงานทั้งรัฐและรัฐวิสาหกิจทุกคน ขอให้เดินหน้าได้อย่างปลอดภัย ขอฝากแค่นี้ พวกเราไม่ว่าใครจะมา ใครจะไป หน่วยงานต้องอยู่ให้ได้ ทั้งตัวเองและครอบครัว จะทำอะไรต้องไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อน ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เจอกันข้างนอกขอให้ทักบ้าง อาจจะจำไม่ได้ หน้าผมอาจจะเปลี่ยนไปเยอะ หลายคนบอกว่าจะพาผมไปเที่ยว แต่จะไปได้อย่างไร เพราะทุกคนก็จำหน้าผมได้ในขณะนี้
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เชิญชวนให้ทุกคนร่วมร้องเพลง "คำสัญญา" ของอินโดจีน เพลง "ด้วยรักและผูกพัน" ของเบิร์ด ธงไชย และเพลง "ศรัทธา" ของหินเหล็กไฟ จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินลงจากตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อมารับดอกไม้ และร่วมถ่ายรูปกับทุกคนที่มาส่ง ก่อนจะขึ้นรถเดินทางออกจากทำเนียบฯ ในเวลา 14.00 น.ตามฤกษ์ยามที่วางไว้ โดยมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมสวมกอดร่ำลา ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกับน้ำตาคลอ ก่อนจะส่งสัญลักษณ์ไอ เลิฟ ยู และเดินทางออกจากทำเนียบฯ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
4. ศาลสั่งจำคุก 3 โจ๋ "กลุ่มทะลุแก๊ส" 3 ปีไม่รอลงอาญา วางเพลิงเผารถตำรวจ ส่วนอีกคนเจอคุก 1 ปี 4 เดือนไม่รอลงอาญา ฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน!
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาคดีเผารถยนต์ตำรวจ ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายวัชรพล นาคสวย, นายพลพล จิตรสุภาพ, นายจตุพล บุญพูล และนายณัฐพล เหล็กแย้ม ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป มั่วสุมชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
โดยอัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2565 ต่อเนื่องกัน ถึงเวลากลางคืน จำเลยกับพวกประมาณ 50-80 คน ซึ่งรวมเยาวชนชายอีก 2 คน ซึ่งถูกแยกตัวดำเนินคดีได้ร่วมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปมั่วสุมชุมนุมก่อความวุ่นวาย ทำกิจกรรมทางการเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต บริเวณใต้ทางด่วนดินแดง ถนนวิภาวดี ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัย นอกจากนี้พวกจำเลยยังร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์รถยนต์ตราโล่ และรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่ จนได้รับความเสียหายเป็นเงิน 91,692 บาท ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 215, 216 พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (9) ด้านจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 คน ที่อยู่ในเหตุการณ์เบิกความในข้อเท็จจริงมีรายละเอียดสอดคล้องกันว่า ในวันเกิดเหตุ มีการชุมนุมปราศรัยที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเสร็จแล้ว เวลาประมาณ 18.00 น ต่อมาหลังจากตรวจสอบภาพวงจรปิดและภาพจากสื่อออนไลน์แล้วพบว่า มีผู้ชุมนุมประมาณ 50-80 คนขี่รถจักรยานยนต์มาร่วมกันมั่วสุมชุมนุมก่อความวุ่นวายที่บริเวณใต้ทางด่วนดินแดงโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 โดยมีการขว้างปาสิ่งของ ยิงลูกแก้วหนังสะติ๊ก ประทัด ฯลฯ ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เป็นการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ที่จำเลยที่ 1, 3 และ 4 อ้างว่า แค่ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น ไม่ได้เผาทำลายรถยนต์ 2 คันของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ฟังไม่ขึ้น เห็นว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 3 และ 4 กระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำคุกฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นบทหนักสุด ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1, 3 และ 4 มีอายุ 18-19 ปีเศษ ย่อมรู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว เห็นควรให้จำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 4 ปี คำเบิกความของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้คนละ 1 ใน 4 คงจำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 3 ปี ไม่รอลงอาญา
ส่วนจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้เพียงว่า กระทำผิดฐานขัดขืนคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจที่บอกให้หยุด แต่ไม่ยอมหยุดเท่านั้น ไม่ปรากฏภาพว่า จำเลย ที่ 2 ร่วมวางเพลิงเผาทรัพย์รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ให้จำคุก 2 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 1 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา
5. ตำรวจ ปอท. รวบ "กีกี้ แม็กซิม" พร้อมพวก 8 คน ร่วมแก๊งจีนเทาหลอกลงทุนคริปโตฯ ยึดบ้าน-รถหรูนับพันล้าน ด้านเจ้าตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา!
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. นำกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป. บก.ปอศ. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. และเจ้าพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด รวมกว่า 200 นาย บุกเข้าตรวจค้นเป้าหมาย เพื่อจับกุมและยึดทรัพย์แก๊งคนร้ายชาวจีน ที่ร่วมมือกับคนไทยและชาวต่างชาติอื่นๆ ตั้งเป็นแก๊งหลอกลงทุนเงินดิจิทัล แก๊งโรแมนซ์สแกม และฟอกเงิน โดยนำหมายศาลเข้าตรวจค้นทั้งหมด 30 เป้าหมายในกรุงเทพฯ สมุทรปราการ และอุดรธานี
รายงานแจ้งว่า หนึ่งในจุดที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้น เป็นหมู่บ้านหรูย่านถนนกรุงเทพกรีฑา พร้อมอายัดบ้านพักหรูจำนวน 12 หลัง มูลค่าหลังละประมาณ 50 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเข้าตรวจค้นหมู่บ้านหรูอีก 4 หมู่บ้านในย่านเดียวกันด้วย โดยเชื่อว่า บ้านพักทั้งหมดใช้เงินที่ได้จากการกระทำความผิดซื้อไว้ผ่านบริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่มีคนจีนเป็นเจ้าของ และในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังได้เข้าค้นบริษัทกฎหมายดังกล่าวด้วย เพื่อหาหลักฐานเพื่อเติม และเชื่อว่า เป็นบริษัทที่รับฟอกเงินให้กับแก๊งคนร้ายชาวจีนแก๊งนี้ โดยมีคนไทยเป็นตัวเชื่อมและให้ความช่วยเหลือในการเปิดบริษัทนอมินี
การเข้าตรวจค้นครั้งนี้ ชุดสืบสวนยังมีเป้าหมายในการจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมด 14 หมายจับ ซึ่งในจำนวนนี้มี น.ส.จักรีณา ชูขาวศรี หรือ กีกี้ แม็กซิม นางแบบชื่อดัง รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ปฏิบัติการดังกล่าว เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม น.ส.จักรีณา และผู้ร่วมขบวนการได้อีกจำนวนหนึ่ง พร้อมยึดทรัพย์เป็นบ้านและรถหรูได้จำนวนมากรวมมูลค่าเกือบหนึ่งพันล้านบาท
มีรายงานด้วยว่า การตรวจค้นเป้าหมายครั้งนี้ สืบเนื่องจากชุดสืบสวน บก.ปอท. ได้แกะรอยแก๊งคนร้ายที่มีพฤติกรรมเป็นแก๊งโรแมนซ์สแกมได้หลอกลวงเหยื่อผู้หญิงคนไทยให้ร่วมลงทุนเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี หลังมีผู้เสียหายแจ้งความไว้ที่ สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ จากการแกะรอยบัญชีคริปโตฯ ทำให้พบว่า กลุ่มคนร้ายได้ยักย้ายถ่ายเทเงินไปหลายขั้นตอน ก่อนที่จะเปลี่ยนเงินอิเล็กทรอนิกส์เป็นสกุลเงินบาท จากนั้น ได้นำเงินไปซื้อทรัพย์สินหลายรายการ รวมทั้งบ้านพักและคอนโดหรูในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีเงินหมุนเวียนทั้งเงินสดและเงินดิจิทัลนับพันล้านบาท
พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. กล่าวว่า คดีนี้ตำรวจสอบสวนกลางร่วมกับอัยการสูงสุด และ ป.ป.ง. สืบสวนขยายผลจับกุมแก๊งคนร้าย เป็นแก๊งโรแมนซ์สแกมและคอลเซ็นเตอร์ หรือที่เรียกว่าไฮบริดสแกม โดยเอาเงินที่หลอกคนไทยมาฟอกในระบบบริษัทที่มีคนไทยเป็นนอมินี เพื่อให้นำไปซื้อบ้านและครอบครองที่ดินในไทยได้ โดยบ้านเป้าหมายที่ตรวจค้นทั้งหมด มีเส้นสายการเงินและความสัมพันธ์กันโดยมีหลักฐานชัดเจน และว่า ขบวนการนี้จะไม่สามารถเติบโตในไทยได้ หากไม่มีคนไทยเข้าไปร่วมด้วยกับการเปิดบัญชีม้า และเป็นนอมินีของบริษัทบริหารทางการเงิน
พล.ต.ต.อธิป กล่าวด้วยว่า แก๊งดังกล่าวยังมีความเชื่อมโยงกับแก๊งผู้กระทำความผิดที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยช่วงเช้าวันเดียวกัน ได้จับกุมผู้ต้องหาที่เป็นทั้งคนไทย คนจีน และคนพม่า ซึ่งผู้ต้องหาที่ถูกจับจะถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตัวเป็นบุคคลอื่น ข้อหาฟอกเงิน และที่สำคัญคือกระทำผิดข้อหาเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมฝากเตือนคนไทย อย่าเห็นแก่เงินเล็กน้อยในการเป็นนอมินีให้กับชาวต่างชาติ เพราะไม่คุ้ม เนื่องจากจะต้องถูกดำเนินคดีเทียบเท่ากับตัวการที่กระทำความผิดด้วย
ต่อมา เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ตำรวจ ปอท. ได้นำตัว น.ส.จักรีณา หรือกีกี้ แม็กซิม พร้อมพวกรวม 8 คน ออกจากห้องควบคุมผู้ต้องหา เพื่อนำตัวขอศาลอาญาฝากขัง ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้งหมด ยังคงยืนกรานปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ตำรวจไม่หนักใจ เพราะมั่นใจในพยานหลักฐานที่มีอยู่ อีกทั้งคำให้การของผู้ต้องหาบางรายค่อนข้างจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี แม้เจ้าตัวจะให้การปฏิเสธก็ตาม