“สนธิ” ย้อนรอยความผิดพลาดของ “ก้าวไกล” จนส่งผลให้ “พิธา” ได้เป็นแค่นายกฯ ทิพย์ เคยเตือนไว้แล้ว 3 ข้อที่รับไม่ได้ คือ หมกมุ่นเรื่อง ม.112 นโยบายต่างประเทศเข้าทางอเมริกา และหัวหน้าพรรคชอบโกหก ทั้งหมดไม่ใช่เพราะทุกคนรุมปิดสวิตช์ก้าวไกล แต่เป็นก้าวไกลที่ปิดสวิตช์ตัวเอง ทำตัวเป็นคนรุ่นใหม่ที่น้ำเต็มแก้ว ดูถูกดูแคลนผู้อื่น หยิ่งยะโสโอหัง ผูกขาดความถูกต้อง
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงความผิดพลาดของพรรคก้าวไกลที่ทำให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีจริง ๆ ดังที่ได้ประกาศตัว คุยโวโอ้อวดทั้งทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง ของพรรคก้าวไกล ตามหน้าสื่อ รวมไปถึงวิ่งไล่ติดต่อไปหาสื่อมวลชนต่างประเทศให้มาสัมภาษณ์ตัวเอง
แต่สุดท้ายเป็นได้แค่ “นายกทิพย์” เพราะเมื่อวันอังคารที่ 22 สิงหาคม 2566 ประเทศไทยได้นายกรัมนตรีคนที่ 30 ตัวจริง นั่นคือนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี ส.ส. และ ส.ว. ลงคะแนนให้ถึง 482 เสียงเทียบกับนายพิธาที่มีการลงมติเมื่อ 13 กรกฎาคม ได้เพียง 324 เสียง
ภายหลังที่รู้ว่านายเศรษฐา ได้คะแนนเสียงโหวตจาก ส.ส. และ ส.ว.เพียงพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้แล้ว นายพิธาก็รีบโพสต์ข้อความแก้เกี้ยวบนเฟซบุ๊ก และโซเชียลมีเดียของตัวเองทันที ว่าพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่มีจำนวนผู้แทนราษฎรเป็นอันดับหนึ่ง โดยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุดถึง 14 ล้านเสียง
อ้างว่า 3 เดือนที่ผ่านมา ทุกองคาพยพทางการเมืองของไทย พร้อมใจกัน “ปิดสวิตช์ก้าวไกล” จนได้รัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งขัดแย้งกับความรู้สึกพี่น้องประชาชน
จากนั้น นายพิธา ก็แช่งด้วยว่าเมื่อพรรคเพื่อไทยติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็ไม่มีวันที่รัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วที่นำโดยพรรคเพื่อไทยนี้จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี หรือมีเกียรติมีศักดิ์ศรีใดๆ ได้
ประโยคถัดมานายพิธาก็เริ่มยกหางตัวเองกับพรรคพวกทันที โดยระบุว่า “ท่ามกลางความสิ้นหวัง ความเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อการเมืองการปกครองที่เป็นอยู่ ก้าวไกลภายใต้การนำของผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะเป็นตัวแทนพลังใหม่ เป็นความหวัง เป็นที่หนึ่งในดวงใจของพี่น้องประชาชน ด้วยการทำงานทันสมัย มีประสิทธิภาพ ทั้งตรวจสอบการทำงานของผู้มีอำนาจ และทั้งเสนอแนะทางออกของประเทศในประเด็นต่าง ๆ รวมทั้งการผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้า อภิปรายวาระที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย"
นายพิธาทิ้งท้ายเอาไว้โดยกล่าวอ้างว่า “เหล่าด้อมส้ม” ต้องช่วยกันยืนยันว่า “การเมืองวิถีก้าวไกล คือสิ่งที่ทุกคนถวิลหา, วิถีก้าวไกล เป็นไปได้ และ อำนาจสูงสุดของประเทศนี้ เป็นของประชาชน”
นายสนธิ กล่าวว่า ถ้านายพิธา กับ เหล่าผู้มีอำนาจที่แท้จริงในพรรคก้าวไกล ที่เชิดนายพิธาอยู่ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่บินไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกงเป็นเดือนแล้วก็ยังไม่ออกมาปริปากว่าคุยอะไรกัน จนนายทักษิณบินกลับมาประเทศไทยแล้วนายธนาธรก็ยังเงียบอยู่ ไม่ปริปากใด ๆ , นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่มีความหมกมุ่นเรื่อง ม.112 , การปฏิวัติ 2475, การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จากฝรั่งเศสโมเดล หรืออะไรก็แล้วแต่ รวมถึงไปเกี่ยวพันกับเรื่อง“ตั๋วปารีส”ด้วย ซึ่งยังมีข้อมูลอีก และจะมาเปิดเผยในตอนต่อๆ ไป
หรือ “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช ที่ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิกนิสัย พูดจาบิดเบือน โกหกได้แบบหน้าตาย จน“สาวกด้อมส้ม”ที่ไม่ประสีประสา เข้าใจผิดเอาไปท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง
ล่าสุดคือ วันที่ 2 สิงหาคม 2566 น.ส.พรรณิการ์ ได้ไปออกรายการทางไทยรัฐทีวี อ้างว่า พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ที่ยืนยันว่าจะไม่เอาพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรค ที่นำโดยพรรคก้าวไกล มิใช่ พรรคก้าวไกลแต่อย่างใดที่ปฏิเสธการจับมือกับพรรคภูมิใจไทย
พอ น.ส.พรรณิการ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ออกมาพูดบิดเบือน โยนขี้ให้คนอื่น ดังกล่าว ก็มีเสียงโต้แย้งออกมาจากพรรคเพื่อไทย ทันทีว่า “นายพิธา และพรรคก้าวไกล” นั่นแหล่ะที่หยิ่งยโส โอหัง ปฏิเสธการจับมือกับพรรคภูมิใจไทย โดยนายพิธาเป็นผู้ประกาศเอง พร้อมกับชี้แจง Timeline คือ วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม – เลือกตั้ง วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม – นายพิธาแจ้งต่อสื่อว่าไม่จำเป็นต้องคุยกับพรรคภูมิใจไทย วันพุธที่ 17 พฤษภาคม – พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ ไม่สนับสนุนพรรคก้าวไกล
ท้้ง ๆ ที่ รู้ทั้งรู้ว่า หากได้ 71 เสียงของพรรคภูมิใจไทยเพิ่มอีก 1 พรรค มารวมกับคะแนนเสียงของ 8 พรรคร่วมเดิม 313 เสียง ก็จะเป็น 384 เสียง ซึ่งเกิน 376 เสียง นายพิธาก็จะเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่ง ส.ว.
เพราะฉะนั้นหากวิถีของ “พรรคก้าวไกล” คือความยะโสโอหัง ความโกหกตอแหล การตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ การด้อยค่าผู้อื่น ไม่นับรวมกับ ความกักขฬะ ยกตัวอย่างที่เห็นได้เช่น หลอกใช้ “น้องหยก” กับ“แก๊งทะลุวัง”เป็นมือไม้ให้ตัวเองในการส่งไปแสดงความถ่อยสถุลให้คนอื่น ปั่นป่วนคนโน้นที คนนี้ทีเพื่อให้ทำตามใจของแกนนำพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่าเป็น “เสียงและเจตจำนงของประชาชน” ล่ะก็ เวลา และความจริงที่มีหนึ่งเดียวก็จะพิสูจน์ว่า “พิธา-พรรคก้าวไกล” นั้นเป็นของจริง หรือของปลอม และมีธาตุแท้เป็นเยี่ยงไร
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว หลายคนน่าจะยังพอจำได้ว่า หลังเลือกตั้ง วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ระหว่างที่นายพิธากำลังวุ่นวายกับการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ และคนายพิธากำลังเดินสายโปรโมตตัวเอง “รายการสนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 เคยชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อน 3 ข้อของนายพิธา และพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็น 3 ข้อที่รับไม่ได้เลย และต้องเร่งแก้ไข หากพรรคก้าวไกลจะจัดตั้งรัฐบาล และนายพิธาต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี
รายการในตอนนั้น มีผู้ชมหลายล้านคนทั้งใน YouTube(คนเข้าชมประมาณ 1 ล้านครั้ง)Facebook(เข้าถึงคนมากกว่า 1 ล้านคน)ไม่นับรวมกับ Tiktok และ แอปฯ สนธิทอล์ค อีกซึ่ง“สาวกด้อมส้ม” ที่ยังลุ่มหลงหลงใหลในภาพฝัน และคำโกหกอยู่ก็เข้ามาท้วงติง และด่าทอว่า “ผมรับไม่ได้ แต่คนอื่นรับได้” โดยหารู้ไม่ว่า 3 ข้อที่พูดถึงนั้นล้วนแล้วแต่เป็น “จุดบกพร่อง-ปัญหาใหญ่” ที่ทั้งนายพิธา และพรรคก้าวไกลจะต้องแก้ไขหากประสงค์จะเข้าสู่อำนาจจริง ๆ
3 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง
ข้อแรก ไม่ยอมถอยเรื่อง มาตรา 112 : ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงอันดับที่หนึ่งของพรรคก้าวไกลคือการไม่ยอมถอยเรื่อง มาตรา 112(ตอนหลังเมื่อมีกระแสต่อต้านมากเข้า ก็อ้างว่าไม่ได้ยกเลิก แค่แก้ไข)
ซึ่งความประสงค์ในการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทย นั้นแม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นความประสงค์ดั้งเดิมของนายพิธา แต่เป็นความใฝ่ฝัน เป็นอุดมการณ์แต่อ้อนแต่ออก ของ “คณะผู้กุมอำนาจพรรคก้าวไกลตัวจริง” ที่อยู่เบื้องหลังนายพิธา นั่นคือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล, “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช รวมไปถึงนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และผู้อยู่เบื้องหลังคนอื่น ๆ อยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ทำให้แม้ว่าในบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU จำนวน 23 ข้อ ของ 8 พรรคร่วมเดิมที่นำโดยพรรคก้าวไกล จะไม่ได้ระบุเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะพรรคอื่นไม่เอาด้วย แต่พรรคก้าวไกลกลับยืนยันว่าจะเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อเองในนามพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่าเป็นฉันทมติของประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง
ทว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากข้อมูลต่าง ๆ ก็ปรากฎชัดว่า ในการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีเป้าหมายสุดท้ายคือ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น สังคมไทยไม่เอาด้วย พรรคร่วมไม่เอาด้วย สส.ไม่เอาด้วย สว.ก็ไม่เอาด้วย หรือแม้แต่คนเลือกก้าวไกล 14 ล้านเสียงจำนวนมากก็ออกมาคัดค้านว่า ที่เลือกก้าวไกลนั้นไม่ได้ต้องการให้มาแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 แต่อย่างใด
จนสุดท้ายใน วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 แม้คนอย่างนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.จากพรรคภูมิใจไทย รวมถึง สส.และ สว.อีกหลายคนจะยื่นมือไปให้พรรคก้าวไกลจับแล้ว โดยบอกว่า หากยกเลิกการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็จะยกมือให้กับนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยทางภูมิใจไทยจะไม่ร่วมรัฐบาล แต่ว่าก้าวไกลก็ปฏิเสธ
สุดท้าย นายพิธาก็เลยพ่ายแพ้ในการโหวตเลือกนายกฯ แล้วสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการที่พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาลในวันนี้
ข้อที่ 2 นโยบายต่างประเทศของพรรคก้าวไกล ที่เปิดประตูให้อเมริกาเข้ามาแทรกแซงการต่างประเทศของไทย ด้วยการลากไทยเข้าสู่ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Strategy)เข้าร่วมวงการปิดล้อมจีน ซึ่งในเอกสารนโยบายพรรคก้าวไกลระบุชัดครับว่า“จะเป็นพันธมิตรทางด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา และตั้งเป้าในการเพิ่มทรัพยากรสำหัรบการฝึกร่วมคอบร้าโกลด์ที่จัดขึ้นในไทย”
“ตอนนั้น ผมพูดชัดเจนว่า “2 นโยบายข้างต้นนี้ของคุณพิธา และพรรคก้าวไกล” จะทำให้ประเทศไทยล่มสลายโดยที่มิอาจแก้ไขกลับคืนได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการที่กระทบกระเทือนกับสถาบันเบื้องสูงที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งนโยบายต่างประเทศที่เอื้อให้กับสหรัฐฯ เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพ หากสงครามในช่องแคบไต้หวัน หรือ ทะเลจีนใต้ ปะทุขึ้นมาในวันใดก็ตาม
“ผมถามว่า“พรรคก้าวไกล”เดินหน้านโยบายเหล่านี้ต่อไป หากสถาบันล่มสลายไปแล้ว, อาณาเขตของไทยถูกใช้เป็นฐานการปล่อยจรวด ปล่อยเครื่องบิน หรือประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวพันกับสงครามที่เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเลยไม่ว่าจะเป็นในพม่า ในช่องแคบไต้หวัน หรือในทะเลจีนใต้ก็ตาม แล้วประชาชนคนไทยทั้งหมดถูกลากเข้าไป มีความเสี่ยงในการเป็นคู่ขัดแย้งกับชาติใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะประเทศจีน หากเกิดอะไรขึ้นแล้ว ทั้งคุณพิธา, คุณธนาธร, คุณปิยบุตร, คุณช่อ พรรณิการ์, คุณชัยธวัช, คุณวิโรจน์, คุณรังสิมันต์, คุณเจี๊ยบ อมรัตน์ รับผิดชอบได้ไหม ?!?
“คำตอบก็คือ ไม่ได้อย่างแน่นอน” นายสนธิกล่าว
ข้อที่ 3 คือการที่หัวหน้าพรรคคือนายพิธาชอบโกหก โกหกจนเป็นนิสัย วันนี้พูดอย่างอีกวันพูดอีกอย่าง แต่ก็ดันถูกจับโป๊ะได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ข้อเท็จจริงในปี 2549 เกี่ยวกับการรัฐประหาร และ เรื่องการเดินทางกลับมาร่วมงานศพของพ่อ
ปัญหาในอดีต เรื่องภรรยาและครอบครัว การสร้างภาพว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่กลับมีปัญหาหนี้สินของธุรกิจครอบครัวที่อ้างว่าตัวเองเข้ามาบริหารจนสามารถล้างหนี้ และได้กำไรมากมาย เรื่องการยกเลิก/แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมไปถึงประเด็นเรื่อง “หุ้นไอทีวี” ที่กลายเป็นจุดตายที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้คุณ หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.
ทั้งหมดทั้งมวล ที่ไล่เรียงมาอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะ “คนโกหกไม่ทำชั่วไม่มี” การโกหกเล็กๆ จะนำไปสู่การโกหกใหญ่ แค่เปิดมาแค่นี้ คุณยังมีเรื่องให้จับผิดยิบย่อยเต็มไปหมด
ทั้งนี้ทั้งนั้น “ความผิดมหันต์” ของนายพิธาจากการชอบโกหก และคบคนชอบโกหกของพวกคุณอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การที่นายพิธา และพรรคก้าวไกล ตกหลุมพรางของมหาโจร “แฉไปไถไป” อย่างนายชูวิทย์ ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง มาถึงหลังเลือกตั้งก็ยังสลัดไม่หลุด ตกอยู่ในเกมการปั่นกระแส ป่วนประสาท ซึ่งสุดท้ายก็พิสูจน์แล้วว่า ล้วนแล้วแต่เป็น “ละครลิง” ฉากหนึ่งทั้งสิ้น
ทำไมบอกว่าถึงพลาดมหันต์
วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 - ก่อนการเลือกตั้ง ปล่อยให้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เอาไมค์ไปจ่อปาก นายพิธา ในประเด็นต่อต้านกัญชา ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคภูมิใจไทย แล้วนายพิธาก็พูดแบบเต็มปากเต็มคำว่า “จะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด” ... โดยไม่สนเลยว่านายพิธาเองก็เคยเป็นผู้ป่วยที่ได้รับประโยชน์จากการรักษาด้วยกัญชา และเคยพูดเองว่าอยากส่งเสริมกัญชาในเชิงสันทนาการเสียด้วยซ้ำ
ต่อมา ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ในการแถลงข่าว 8 พรรคลงนามข้อตกลงร่วม MOU 23 ข้อในการจัดตั้งรัฐบาล นายพิธาลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าพรรคก้าวไกลพูดถึง MOU ข้อที่ 16 นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษผ่านการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขโดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา ทำให้นายชูวิทย์ที่มาร่วมสังเกตการณ์ถึงกับปรบมือ ชูสองนิ้ว ด้วยความดีใจ
นั่นคือ อีกจุดสำคัญที่ทำให้ พรรคก้าวไกล ผลัก พรรคภูมิใจไทย ออกห่างออกไปอีก และไม่สามารถดึงกลับเข้ามาร่วมรัฐบาล 8 พรรคได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
แล้ววันนี้นายพิธาและพรรคก้าวไกลจะว่าอย่างไร ในเมื่อตอนนี้ นายชูวิทย์ ไปประกาศในรายการ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดาแล้ว เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมาว่า เรื่องกัญชาและพรรคภูมิใจไทย จบไปแล้ว นายชูวิทย์รณรงค์ต่อต้านกัญชา นายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย เฉพาะในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น หลังจบเลือกตั้งต่างคนต่างก็ทำงานของตัวเอง
มาถึงวันนี้ มาถึงจุดนี้แล้วนายพิธา พรรคก้าวไกลจะว่าอย่างไร? เมื่อคุณหวังจะเกาะกระแสนายชูวิทย์ แต่จริง ๆ แล้วเขาหลอกใช้คุณจนสุดท้ายพรรคก้าวไกลก็กลายเป็นฝ่ายค้าน นายพิธาก็กลายเป็น “นายกทิพย์” ทั้ง ๆ ที่อีกก้าวเดียว อีกนิดเดียวก็จะเดินไปถึงเป้าหมายแล้ว
ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่มาจากการที่ทุกคนต้องการ “ปิดสวิตช์ก้าวไกล” หรอก แต่พวกคุณเองต่างหากที่ “ปิดสวิตช์ตัวเอง” ทำตัวเป็น “คนรุ่นใหม่ที่น้ำเต็มแก้ว” ดูถูกดูแคลน เหยียดหยามผู้อื่น หยิ่งยะโสโอหัง คิดว่าตัวเองเท่านั้นที่เป็น “เสียงของประชาชนที่แท้จริง”, เป็น “เสียงของความถูกต้อง”, กูคิดอะไรพูดอะไรคนอื่นห้ามเถียง ไม่งั้นกูจะจัด “ทัวร์คอนด้อมส้ม” ไปถล่ม
“พวกคุณอาจจะอ้างเสียง 14 ล้านเสียงได้ แต่พวกคุณไม่ใช่ตัวแทนของเสียงประชาชนทั้งหมด 70 ล้านคน อย่าผูกขาดประชาธิปไตย ผูกขาดความถูกต้อง ผูกขาดอนาคตเอาไว้คนเดียว เพราะพวกคุณไม่ใช่
“ที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมขอเตือนอีกครั้งที่คุณพูดว่าคุณจะพา “คอนด้อมส้ม” ของพวกคุณเดินทางไกลอีกครั้ง ไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งคราวหน้า จะแลนด์สไลด์ หรือ แลนด์ไถลผมก็ไม่ทราบ แต่พฤติกรรม และนโยบาย 3 ข้อที่ผมเตือนไป ถ้าคุณยังไม่ออกมายอมรับ แก้ไข และปรับปรุงเสีย สุดท้ายหายนะจะมาเยือน จำคำผม สนธิ ลิ้มทองกุล เอาไว้ให้ดี” นายสนธิกล่าว