1.เกิดเหตุสยอง ผู้โดยสารหญิงถูกทางเลื่อนสนามบินดอนเมืองดูดขาซ้ายขาด พบ ทางเลื่อนใช้งานมา 27 ปี เปลี่ยนใหม่แล้ว 6 ยังเหลือของเก่า 14 ตัว!
เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. เวลาประมาณ 08.30 น. พ.ต.ท.จิระโรจน์ ประสานเศรษฐชัย สว.(สอบสวน) สน.ดอนเมือง ได้รับแจ้งจากการท่าอากาศยานดอนเมือง หรือสนามบินดอนเมืองว่า เกิดเหตุผู้โดยสารหญิงขาหลุดเข้าไปติดทางเลื่อนบาดเจ็บสาหัสถึงกับขาขาด เหตุเกิดบริเวณทางเลื่อนที่ 2 ระหว่างสะพานเทียบเครื่องบินหรืองวงช้าง 4 และ 5 ขาออก อาคาร 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง กทม. จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ที่เกิดเหตุพบ น.ส.สุพรรณี กิตติรัตนา อายุ 57 ปี นั่งร้องขอความช่วยเหลือด้วยความเจ็บปวดอยู่ช่วงปลายทางเลื่อน ขาซ้ายหลุดเข้าไปติดใต้ทางเลื่อน พบบาดแผลฉกรรจ์ขาซ้ายถูกเครื่องจักรด้านล่างตัดขาดช่วงเลยหัวเข่าเล็กน้อย ใกล้กันพบกระเป๋าสะพายสีขาวและกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สีชมพูแบบมีล้อเลื่อนของผู้บาดเจ็บล้มอยู่ มุมกระเป๋าด้านล่างขวาพังเสียหายล้อหน้าหลังหลุด นอกจากนี้ยังพบซี่หวีสีเหลืองยึดบริเวณพื้นหัวสะพานกับทางเลื่อนหลุดออกมา 2 ชิ้น ทำให้พื้นทางเลื่อนทรุดลงไป ทำให้ขาผู้บาดเจ็บลอดลงไปติดอยู่ ทีมแพทย์ท่าอากาศยานดอนเมืองรีบเข้าดูแลผู้บาดเจ็บอย่างโกลาหล ใช้เวลากว่า 20 นาที จึงพาเหยื่อออกมาได้ รีบนำตัวส่ง รพ.ภูมิพลฯ
ด้านเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบใต้ทางเลื่อนที่เกิดเหตุ พบภาพสยองเป็นชิ้นส่วนขาซ้ายตั้งแต่ช่วงเหนือเข่าเล็กน้อยถึงปลายเท้า 1 ท่อน และล้อกระเป๋าเดินทางตกอยู่ 2 ล้อ เจ้าหน้าที่รีบนำชิ้นส่วนขาข้างซ้ายแช่ถังน้ำแข็งตามไปส่งให้แพทย์ที่โรงพยาบาลภูมิพลฯ ทันที
จากการสอบพยานในที่เกิดเหตุทราบว่า ขณะที่หญิงดังกล่าวกำลังเดินไปขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาตินครศรีธรรมราช เพื่อกลับบ้าน ระหว่างเดินลากกระเป๋ามาตามทางเลื่อนที่ 2 ระหว่างงวงช้างที่ 4 และ 5 ขาออกอาคาร2 ภายในประเทศ เกือบสุดทางเดินอยู่แล้ว แต่พื้นทางเลื่อนช่วงท้ายเกิดทรุดตัวลง ทำให้หญิงดังกล่าวล้ม ขาหลุดลงไปด้านล่างจนถูกหนีบตัดขาด
ขณะที่ผู้โดยสารคนหนึ่งที่เดินอยู่นอกทางเลื่อน เผยว่า ขณะที่หญิงดังกล่าวยืนอยู่บนทางเลื่อนจะสุดทางอยู่แล้ว ทางเลื่อนทำงานผิดปกติสะดุดติดขัด ทำให้หญิงดังกล่าวและกระเป๋าเดินทางล้มลงไปด้วยกัน ขาข้างซ้ายถูกดูดลงไปติดอยู่ใต้ทางเลื่อน ร้องขอความช่วยเหลือด้วยความตกใจ แต่ระบบทางเลื่อนยังไม่หยุดทำงานทันที ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าเจ้าหน้าที่จะมาตัดการทำงานของทางเลื่อน
พนักงานสอบสวนตรวจสอบหาภาพกล้องวงจรปิดภายในท่าอากาศยานดอนเมืองที่เห็นเหตุการณ์ชัดๆ แต่ปรากฏว่า มีแต่ภาพระยะไกล เห็นหญิงดังกล่าวยืนอยู่บนทางเลื่อน มีกระเป๋าตั้งอยู่ด้านหน้า จนใกล้สิ้นสุดทางเลื่อน แล้วทันใดนั้นทางเลื่อนเกิดอาการสะดุด ทำให้หญิงดังกล่าวและกระเป๋าเดินทางล้มลงพร้อมกัน ขาข้างซ้ายถูกสายพานทางเลื่อนดูดลงไปจนถูกตัดขาดดังกล่าว
หลังเกิดเหตุ นายการันต์ ธนกุลจีรพัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง พร้อมผู้บริหารท่าอากาศยานดอนเมือง ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบหาสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยปิดการใช้ทางเลื่อนชั่วคราว เร่งนำทีมวิศวกรเข้าสำรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด และตรวจสอบความปลอดภัยใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง
หลังจากนั้น นายการันต์ ได้เดินทางไปเยี่ยม น.ส.สุพรรณี ที่โรงพยาบาล เพื่อสอบถามอาการและขั้นตอนการรักษา พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมรับผิดชอบดูแลค่ารักษาและค่าชดเชยต่างๆ อย่างเต็มที่
ต่อมา ช่วงบ่าย นายการันต์ และนายชยาศิส บำรุงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายไฟฟ้าและเครื่องกล ร่วมกันแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เหตุเกิดขึ้นช่วงเวลา 08.27 น. น.ส.สุพรรณี ประสบอุบัติเหตุรุนแรงที่ปลายทางเลื่อนระหว่าง Pier 4-Pier 5 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 ทำให้ขาซ้ายตั้งแต่เหนือหัวเข่าลงไปติดอยู่ในทางเลื่อนถึงขั้นขาขาด เบื้องต้นรีบนำตัวส่ง รพ.ภูมิพลทันที
“แต่ผู้โดยสารมีความประสงค์จะไปรักษาตัวที่ รพ.บำรุงราษฎร์ เบื้องต้นทีมแพทย์ชุดแรกของ รพ.ภูมิพลแจ้งว่าขาไม่สามารถต่อได้ และผู้ป่วยเสียเลือดมาก จึงให้เลือดก่อน ส่วนแพทย์ชุดที่สองของ รพ.บำรุงราษฎร์ ยืนยันว่า จะพยายามรักษาอย่างเต็มที่ จากการดูแลสภาพจิตใจของผู้โดยสารพบว่า ผู้โดยสารค่อนข้างเข้มแข็ง ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างสืบสวน ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความชัดเจนมากที่สุด ใช้ทีมงานนอกร่วมตรวจสอบด้วย คือวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดความชัดเจนและปลอดภัยว่าอุปกรณ์ตัวนี้เกิดความผิดพลาดจากอะไร”
นายการันต์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นอุปกรณ์ทางเลื่อนมีการตรวจเช็กทั้งรายวัน รายเดือน ราย 3 เดือน และรายปี บริษัทต้นทางที่ติดตั้งคือ ฮิตาชิเจแปน มีบริษัทสยามฮิตาชิเป็นผู้ตรวจเช็กซ่อมบำรุง เป็นการบริการหลังการขายของประเทศญี่ปุ่นโดยตรง มีความเชี่ยวชาญและตรวจเช็กอย่างรอบด้าน ยืนยันว่า ทางเลื่อนสามารถใช้งานได้หากตรวจเช็กบำรุงตามรอบและเปลี่ยนอะไหล่ หลังเกิดเหตุ ฮิตาชิเจแปนเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว ทางเลื่อนถูกติดตั้งใช้งานมาตั้งแต่ปี 2539 หรือประมาณ 27 ปีแล้ว เท่าที่ตรวจสภาพอุปกรณ์รวมถึงหวีไม่ชำรุดเลยก่อนเกิดเหตุ ตรวจสอบครั้งล่าสุดคือ วันที่ 21 มิ.ย. ตามปกติแล้ว ถ้าร่องหวีหักติดกัน 2 ซี่จะเปลี่ยนทันที แต่จากภาพที่ปรากฏในสื่อเห็นว่า มีร่องหวีหักหลายซี่ ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด
“ขณะที่ภาพวงจรปิดในที่เกิดเหตุตรวจสอบแล้ว แต่เบื้องต้นเป็นภาพระยะไกล ต้องขอดูรายละเอียดและสืบสวนก่อนว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ยังไม่สามารถตอบได้ว่ามีการสะดุดของผู้โดยสารหรือตัวสายพานทางเลื่อน แต่จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบล้อกระเป๋าของผู้โดยสารติดอยู่ใต้ทางเลื่อนถึง 2 ล้อ และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สำหรับทางเลื่อนมีทั้งหมด 20 ตัว เป็นของใหม่ 6 ตัว ของเก่า 14 ตัว ขณะนี้ยุติการใช้งานชั่วคราว ทางเลื่อนนี้ไม่มีเซ็นเซอร์เหมือนรุ่นใหม่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เทคนิคในเรื่องอุปกรณ์เซฟตี้จะเป็นการเช็กความตึงของโซ่ ถ้ามีอะไรไปขืน ตัวเซฟตี้จะตัดการทำงานทันที ต่างกับแบบใหม่มีตัวเซ็นเซอร์ใต้หวี หากมีอะไรมากระทบเซ็นเซอร์จะตัดทันที แต่ขณะเกิดเหตุเซ็นเซอร์ตัวนี้ทำงานแต่ช้า ต้องกลับไปตรวจสอบว่าเพราะอะไร”
เมื่อถามว่า ทางเลื่อนจุดนี้คล้ายกับเหตุที่เกิดเมื่อปี 2562 ที่ชายถูกทางเลื่อนดูดจนรองเท้าขาดหรือไม่ (ซึ่งเคสดังกล่าว โชคดีที่เจ้าตัวถอดรองเท้าทัน ขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ) นายการันต์กล่าวว่า เหตุการณ์นั้นเป็นบันไดเลื่อน ไม่ใช่ทางเลื่อน และว่า เดิมทีทางท่าอากาศยานดอนเมืองมีแผนจะเปลี่ยนทางเลื่อนในปีงบประมาณ 2568 แต่เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ต้องของบฉุกเฉินเร่งด่วนในปี 2567 เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ส่วนหลังจากเกิดเหตุ ได้พูดคุยและสอบถามตัวผู้โดยสารแล้ว แต่ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เพราะยังอยู่ในสภาวะที่ยังไม่พร้อมให้ข้อมูล แต่ทางท่าอากาศยานดอนเมืองพูดคุยกับญาติและผู้ประสานงานใกล้ชิดตลอดเวลา รวมถึงดูแลค่ารักษาพยาบาลอย่างดีที่สุด
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ลูกชายของหญิงผู้บาดเจ็บดังกล่าว ให้ข้อมูลเบื้องต้นหลังแม่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลว่า คุณแม่เพิ่งเข้าไปผ่าตัด ตอนประมาณ 4 โมงเย็น โดยแผลขาดเลยหัวเข่าขึ้นไป 10 ซม. สภาพจิตใจถ้าเต็ม 10 ก็คือ 5 และว่า แพทย์ไม่แนะนำให้ต่อขา เพราะหากต่ออาจจะมีอาการแทรกซ้อน
2."บิ๊กโจ๊ก" แถลงปิดคดี "แอม ไซยาไนด์" ส่งอัยการฟ้อง 15 คดี 75 ข้อหา "ตร.อดีตสามีแอม-ทนายพัช" โดนด้วย ฐานช่วยทำลายหลักฐาน!
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะได้แถลงปิดคดีนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ “แอม ไซยาไนด์” ผู้ต้องหาวางยาฆ่าเจ้าหนี้ 15 คดี ในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยคดีแรกเกิดในปี 2558 ต่อเนื่องปี 2566 มีผู้เสียชีวิต 14 ราย รอดชีวิต 1 ราย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ศพแรกคือ น.ส.มณฑาทิพย์ ขาวอินทร์ เสียชีวิตวันที่ 7 กรกฎาคม 2558 ในคอนโดฯ ย่านทองหล่อ ศพที่ 2 คือ น.ส.นิตยา แก้วบุปผา เสียชีวิต 23 สิงหาคม 2553 ในห้องพักที่จังหวัดนครปฐม ศพที่ 3 น.ส.สาวิตรี บุตรศรีรักษ์ เสียชีวิตวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ในจังหวัดมุกดาหาร ศพที่ 4 น.ส.ดาริณี เทพทวี เสียชีวิตวันที่ 13 ธันวาคม 2563 ในบ้านพักพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ศพที่ 5 นายสุรัตน์ ทรพับ เสียชีวิตวันที่ 6 มกราคม 2564 ที่บ้านพัก ในจังหวัดกาญจนบุรี รายที่ 6 คือ ร.ต.อ.หญิง กานดา โตไร่ เสียชีวิตวันที่ 9 สิงหาคม 2565 เสียชีวิตในรถยนต์ตัวเองในพื้นที่จังหวัดนครปฐม รายที่ 7 คือ น.ส.รสจรินทร์ นิลน้อย เสียชีวิต 10 สิงหาคม 2565 ที่แผงขายผักตลาดมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร
รายที่ 8 นางจันทร์รัตน์ วงศ์ไกรสิน เสียชีวิต 15 สิงหาคม 2565 ในบ้านพัก จังหวัดเพชรบุรี รายที่ 9 นางมณีรัตน์ พจนารถ เสียชีวิตวันที่ 10 กันยายน 2565 ที่ตลาดนครปฐม รายที่ 10 น.ส.กะณิกา ตุลาเดชารัตน์ เสียชีวิต 12 กันยายน 2565 ที่ร้านกาแฟในปั๊มน้ำมัน จ.ราชบุรี รายที่ 11 น.ส.กานติมา แพสะอาด เจ็บป่วยวันที่ 23 กันยายน 2565 ที่หน้าร้านหมูกระทะ หลังนางสรารัตน์ ให้กินยาแคปซูลอ้างเป็นยาแก้ไอ แต่ท้ายสุดรอดชีวิต เนื่องจากแพทย์ให้การช่วยเหลือได้ทัน
รายที่ 12 น.ส.ผุสดี สามบุญมี เสียชีวิต 20 พฤศจิกายน 2565 ใน จ.นครปฐม และรายที่ 13 นายสุทธิศักดิ์ พูนขวัญ อดีตสามีนางสรารัตน์ หลังหย่าร้างกับรองอ๊อฟ เสียชีวิตวันที่ 12 มีนาคม 2566 ใน จ.อุดรธานี รายที่ 14 พ.ต.ต.หญิงนิภา แสงจันทร์ เสียชีวิต 1 เมษยายน 2566 หน้าองค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม รายสุดท้าย รายที่ 15. น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย เสียชีวิต 14 เมษายน 2566 ที่ศาลาประชาคมบ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งผู้เสียชีวิตทั้งหมด มีความเกี่ยวพันกับนางแอม ในฐานะเจ้าหนี้เงินกู้ นายหน้าขายรถมือสอง และลูกวงแชร์
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีนี้ พนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดี ประกอบด้วย ตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการปราบปราม ตำรวจภูธรภาค 7 ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รวบรวมพยานหลักฐานจากพื้นที่เกิดเหตุเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด พยานแวดล้อมและพยานใกล้ชิดผู้เสียชีวิต และพยานที่ใกล้ชิดกับนางแอม พร้อมสอบปากคำแพทย์ผู้ชันสูตร รวมกว่า 918 ปาก นอกจากนี้ยังมีเอกสารเกี่ยวกับคดีถึง 26,500 แผ่น ใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานมากกว่า 3 เดือน ถือเป็นคดีที่ระดมชุดสืบสวนสอบสวนมากที่สุดในประเทศไทย จนสามารถสรุปสำนวนดำเนินคดีนางสรารัตน์ รวม 15 คดี
ประกอบด้วย ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น, ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ, ชิงทรัพย์โดยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และปลอมปนอาหาร ยา หรือเครื่องอุปโภค บริโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย รวมกว่า 75 ข้อหา
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังสรุปสำนวนดำเนินคดีกับบุคคลใกล้ชิดนางแอมอีก 2 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายพยานหลักฐาน ได้แก่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีนางแอมคนล่าสุด และ น.ส.ธันย์นิชา ทนายความส่วนตัวของนางแอม โดยดำเนินคดีฐานช่วยผู้อื่นมิต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหาย หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิด
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า คดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ผู้ต้องหาวางแผนฆาตกรรมต่อเนื่องยาวนานกว่า 8 ปี โดยวางยาพิษให้เหยื่อกินจนเสียชีวิตในลักษณะเหมือนการเจ็บป่วย ด้วยภาวะการทำงานของหัวใจล้มเหลว เพื่อให้ญาติไม่มีข้อสงสัย ก่อนหวังเอาทรัพย์สินจากเหยื่อ หรือล้างหนี้ที่เคยยืมกันมา โดยคดีนี้ได้กำชับตำรวจให้รวบรวมพยานหลักฐานด้วยความละเอียดรอบคอบและแสวงหาหลักฐานให้ได้มากที่สุด เนื่องจากคดีผ่านมาหลายปี อาจมีความยากลำบากในการรวบรวมพยานหลักฐาน แต่ตำรวจได้ทำงานอย่างเต็มที่ จนสามารถสั่งฟ้องดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (30 มิ.ย.) นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้นำสำนวน 7 เเฟ้มพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนางสรารัตน์ หรือเเอมไซยาไนด์, พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.สวนผึ้ง อดีตสามีของนางสรารัตน์ และน.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ทนายพัช ทนายของนางสรารัตน์
นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ได้ตั้งคณะทำงานรายงานขึ้นมาเพื่อรับพิจารณาสำนวน เเละรายงานไปยัง น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุดตามระเบียบ เนื่องจากเป็นคดีสำคัญประชาชนให้ความสนใจ เเละขั้นตอนดำเนินการหลังจากนี้ คณะทำงานจะทำตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่คดีนี้จะมีระเวลาครบขังจนถึงวันที่ 18 ก.ค. ซึ่งคณะทำงานอัยการจะดำเนินการเต็มที่อย่างที่เคยทำมาทุกคดีโดยไม่มีวันหยุดเพื่อให้งานเสร็จก่อนครบกำหนดฝากขัง
ด้านนางลัดดา ขาวอินทร์ แม่ของนางสาวมณฑาทิพย์ ขาวอินทร์ เหยื่อ “แอม ไซยาไนด์” ที่เสียชีวิตเป็นศพแรก เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2558 ในคอนโดฯ ย่านทองหล่อ ให้สัมภาษณ์หลังจากทราบข่าวบิ้กโจ๊กแถลงปิดคดีว่า สาสมกับผลจากการกระทำที่ผ่านมาแล้ว อยากให้แอมรับผลกรรมที่กระทำ และอยากขอบคุณบิ้กโจ๊ก-เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องในการติดตามสืบสวนคลี่คลายคดีนี้เป็นอย่างมาก
“ตำรวจไทยเก่งมาก วันนี้ตนรู้สึกโล่งใจ สบายใจแล้ว หลังจากที่เฝ้าติดตามคดีนี้มานาน หากลูกสาวตนรับรู้ อยากจะบอกว่า แม่ทำเต็มที่ แม่ได้ทวงความยุติธรรมให้ลูกแล้ว คนที่ทำกับลูกได้รับผลไปแล้ว ไม่คิดว่าจะได้รับผลกรรมเร็วขนาดนี้”
3. "บิ๊กป้อม" ปธ.โอลิมปิคไทย ฉุน บอลชายชวดเหรียญทองซีเกมส์ แถมวิวาททีมชาติอินโดฯ จี้ "สมยศ" ลาออกนายกสมาคมฟุตบอลฯ ด้านเจ้าตัว พร้อมทำตามคำสั่ง!
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ได้เป็นประธานการประชุมสมัชชาใหญ่สามัญ ประจำปี 2565 โดยมีกรรมการบริหาร, ที่ปรึกษา และผู้แทนสมาคมกีฬา เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการสรุปผลงานของทีมนักกีฬาไทย ในซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กัมพูชา และได้ยกตัวอย่างสมาคมกีฬาที่มีผลงานล้มเหลวอย่างฟุตบอลชาย ที่ไม่ได้เหรียญทอง และยังสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับประเทศไทยด้วย
โดย พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวตำหนิเหตุการณ์ที่ทีมชาติไทยวิวาทกับทีมชาติอินโดนีเซียว่า อารมณ์เป็นเรื่องสำคัญ โค้ชก็ลงไปต่อยกับเขาด้วย มันเสียหายไปหมด เสียหายทั้งประเทศชาติ และส่วนรวมด้วย เพราะทีวีถ่ายทอดสดเห็นชัดเจน ดังนั้น ต้องรับไปดำเนินการ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องของประเทศชาติ คนไทย 70 ล้านคนต้องอายประเทศอื่นเขา
พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า มันเป็นสปิริตของนายกฯ สมาคมถึงความผิดพลาดของเราเอง เป็นอย่างนี้ไม่ได้ สมาคมฟุตบอลทำประเทศชาติเสียชื่อมาก โดยเฉพาะในเรื่องอารมณ์ของนักกีฬา ฉะนั้นจะต้องไปจัดเสวนาอบรมนักกีฬาให้ชัดเจน เป็นแบบนี้มาตลอด ไม่ใช่เพิ่งเป็น การแพ้ครั้งนี้ก็แพ้ด้วยเรื่องอารมณ์ ในสนามเหลือนักเตะอยู่ 7 คน แบบนี้มันใช้ไม่ได้ ดังนั้น สมาคมฟุตบอลต้องรับเรื่องนี้ไปพิจารณา
ไม่อยากให้ประเทศชาติเสียชื่อเสียงเพราะสมาคมเดียวที่ทำให้สมาคมอื่นๆ ที่ตั้งใจทำงาน เสียหายไปด้วย เพราะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ฉะนั้นนายกฯ สมาคมจะต้องลาออก จะมาสอบสวนคนผิดแค่ 3 คนไม่พอหรอกครับ นายกฯสมาคมต้องลาออก
มีรายงานว่า ตั้งแต่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ ปี 2016 ไทยได้แชมป์ฟุตบอล ซีเกมส์ 1 จาก 3 ครั้ง แต่เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานคณะกรรมการโอลิมปิค ปี 2017 ไทยไม่เคยได้เจ้าเหรียญทองซีเกมส์
ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เผยว่า ได้รับแจ้งเนื้อหาการประชุมที่ได้มอบหมายนายพาทิศ ศุภะพงษ์ เลขาธิการสมาคม เข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่ ของคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ที่มี พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน และจากสื่อมวลชนที่นำเสนอว่า พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้ตนลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบผลงานการแข่งขันฟุตบอล และเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของนักฟุตบอลและสตาฟฟ์โค้ช ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศกัมพูชา ตามคำแนะนำของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา นั้น
ตนในฐานะนายกสมาคมฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแแล และจดทะเบียนกับการกีฬาแห่งประเทศไทย พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของ พล.อ.ประวิตร โดยจะได้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไป และจะแจ้งผลและเหตุผลแห่งการลาออกต่อสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (AFF) สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (AFC) และสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ที่มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานของประเทศสมาชิกทราบ ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของสมาคมฯ ตามลำดับต่อไปตามหน้าที่ของประเทศสมาชิก
ทั้งนี้ บางฝ่ายแสดงความกังวลว่า การประกาศลาออกของ พล.ต.อ.สมยศ จากตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยระบุว่า เป็นคำสั่งของ พล.อ.ประวิตร อาจทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ สุ่มเสี่ยงต่อการโดนแบนจากฟีฟ่า ที่มีกฎเหล็กอย่างชัดเจนว่า สมาคมฯ ห้ามมีการแทรกแซงจากบุคคลภายนอกหรือนักการเมือง สำหรับประเทศที่เคยถูกฟีฟ่าลงโทษแบนมาแล้วในข้อหามีกลุ่มการเมืองเข้าไปแทรกแซงการบริหารงาน ได้แก่ อินโดนีเซีย, อิรัก, ไนจีเรีย, คูเวต, ปากีสถาน และอินเดีย
4. เลขาฯ กกต. เผย สอบปม "พิธา" ถือหุ้นสื่อ ม.151 ใกล้แล้วเสร็จ มีผู้ยื่นสอบตาม ม.82 แล้ว หากมีหลักฐาน กกต.พร้อมส่งศาล รธน. พร้อมสอบนโยบายแก้ ม.112 อีกครั้ง!
เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เผยความคืบหน้าการตรวจสอบคดีหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิตเดนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกลว่า เรื่องนี้มีความซับซ้อนโดยเฉพาะตัวกฎหมาย เนื่องจากมีพื้นฐานมาจากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส แต่เมื่อมาปรับใช้กับเหตุการณ์สามารถดำเนินการได้หลายวิธี โดยถ้าเป็นก่อนการเลือกตั้ง การตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส. ตามกระบวนการ จะเชิญผู้สมัครมาชี้แจงหรือไม่ก็ได้ แต่สุดท้ายจะต้องส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา
แต่ถ้าหลังการเลือกตั้ง กรณีเห็นว่าผู้สมัครมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม จะดำเนินการตามมาตรา 151 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการดำเนินคดีอาญา ต้องดูเอกสารหลักฐานอย่างครบถ้วน ปราศจากข้อสงสัย ดูเจตนาประกอบด้วย เพราะเป็นการดำเนินคดีอาญา และต้องแจ้งให้กับผู้ถูกกล่าวหาเข้ามา
ส่วนหลังประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแล้ว การดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วิธีการคือตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาก กกต. เห็นและมีหลักฐานเพียงพอ ก็จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งก่อนการยื่น จะเชิญผู้ที่มีลักษณะต้องห้ามการเป็น ส.ส. มาชี้แจงหรือไม่ก็ได้
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า กกต. ออกหนังสือเชิญนายพิธามาให้ชี้แจงแล้ว นายแสวง กล่าวว่า เป็นอำนาจของคณะกรรมการไต่สวนตามมาตรา 151 จะพิจารณา โดยกรอบการพิจารณา 20 วันแรกจะครบกำหนดกรอบแรกในวันที่ 3 ก.ค. หากพิจารณาไม่เสร็จ สามารถยื่นขอขยายเวลาดำเนินการอีก 15 วันผ่านเลขาธิการ กกต. เบื้องต้นยังไม่เห็นว่ามีการยื่นหนังสือขอขยายเวลาตรวจสอบ แต่เท่าที่คณะกรรมการไต่สวนรายงานความคืบหน้าต่อ กกต. ระบุว่า สอบใกล้แล้วเสร็จ
“ก่อนที่ กกต.จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ สิ่งสำคัญ กกต.ต้องเห็นก่อน แต่ยังไม่ใช่การวินิจฉัย เพียงเห็นว่ามีข้อมูลเพียงพอเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ซึ่งอาจใช้ข้อมูลจากคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนก็ได้ หรืออาจตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูเรื่องนี้โดยเฉพาะก็ได้ เบื้องต้นขณะนี้มีผู้มายื่นร้องให้ กกต. ดำเนินการตามมาตรา 82 แล้ว ก็ต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุม กกต.ว่าจะใช้วิธีการดำเนินการอย่างไร แต่เมื่อ กกต.เห็นจะต้องมีการประชุมอย่างแน่นอน ท่านจะดูว่ามีข้อมูลพยานหลักฐาน เพียงพอส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ ต้องมีพยานหลักฐานและต้องเห็นด้วย แต่จะต้องยื่นให้ศาลฯ ก่อนมีการโหวตนายกหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ กกต. ต้องมาพิจารณา“
เลขาฯ กกต. ยังกล่าวถึงการมาพบประธาน กกต.ของคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ว่า ไม่ได้มาตามเรื่องพิธา แต่ได้มาพูดเรื่องการเมือง การเลือกตั้งเกิดปัญหาต้องการการสนับสนุนอย่างไรบ้าง และได้นำหลักฐานประกอบคดีหุ้นนายพิธามามอบให้ ซึ่งสำนักงานก็จะนำหลักฐานที่ได้ไปประกอบการพิจารณาทั้งคดีรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติแต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 151 พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 และกรณีสงสัยคุณสมบัติ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82
นายแสวง ยังกล่าวถึงกรณีก่อนหน้านี้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นไม่รับคำร้องยุบพรรคก้าวไกลจากเหตุมีนโยบายหาเสียงแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังสั่งอัยการสูงสุดชี้แจงว่า รับหรือไม่รับคำร้องของผู้ที่ยื่นร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในชั้นของกฎหมายพรรค เราจะพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีอำนาจให้พรรคกระทำหรือไม่ และกระทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ซึ่งเขียนต่างจากรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ามีผู้เห็นว่าการกระทำนั้นใช้สิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ทำให้เป็นการล้มล้างระบบการปกครอง ต้องไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 จึงเป็นคนละขั้นตอนกัน และแม้นายทะเบียนพรรคการเมืองจะมีความเห็นไม่รับคำร้องกรณีดังกล่าวไปแล้ว แต่ขณะนี้นายทะเบียนฯ ก็ได้ให้สำนักงานฯ ไปตรวจสอบเพิ่มเติมว่า การกระทำตามคำร้องนั้นๆ เป็นความผิดฐานไหนอีกหรือไม่ ตามกฎหมายพรรค ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่า จะเป็นฐานความผิดใดได้อีก ขอตรวจสอบก่อน
5. ส.ส.ก้าวไกล ฉาว ทำร้ายแฟนสาว ด้านฝ่ายหญิงแจ้งความแล้ว ขณะที่เจ้าตัวขออภัย ปชช.ที่ทำให้ผิดหวัง พร้อมรับผลที่จะตามมา!
จากกรณีที่มีข่าว ส.ส.ชายพรรคก้าวไกล ได้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายแฟนสาว อายุ 26 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร ขณะลงพื้นที่ประชุม ภายในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จนฝ่ายหญิงเข้าแจ้งความที่ สภ.บ่อวิน จ.ชลบุรีนั้น
จากการสอบถาม พ.ต.ท.ชัยพร นิตยภัตร์ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.บ่อวิน เผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยหญิงสาวได้เข้าแจ้งความตำรวจ สภ.บ่อวิน เพื่อดำเนินคดีกับแฟนหนุ่มและเป็น ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล หลังทำร้ายร่างกายต่อยหน้า และดึงศีรษะ
โดยรายละเอียดในบันทึกประจำวันระบุว่า ได้คบหาเป็นแฟนกับ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ประมาณ 1 เดือนเศษ ต่อมา วันที่ 23 มิ.ย. ผู้เสียหายได้ขับรถมากับ ส.ส.คนดังกล่าว เพื่อไปที่สนามกอล์ฟใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แต่ระหว่างที่ ส.ส.คนนี้ขนกระเป๋าใส่รถ เกิดมีอาการไม่พอใจและได้ด่าทอผู้เสียหาย
จากนั้น ส.ส. คนนี้ได้ขับรถไปกับผู้เสียหายมุ่งหน้าไปพัทยา ระหว่างอยู่ในรถ ส.ส.คนนี้ได้ต่อยหน้าแฟนสาว 1 ครั้ง และขับรถจอดริมถนน ก่อนจะดึงศีรษะแฟนสาวให้ลงจากรถ ทำให้ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ ส.ส. ยังได้แย่งโทรศัพท์มือถือไปแล้วโยนทิ้งข้างถนน ทำให้โทรศัพท์ได้รับความเสียหาย จึงมาแจ้งความไว้กับเจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.บ่อวิน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้นัดทั้ง 2 ฝ่ายมาพบในวันที่ 2 ก.ค.นี้ เพื่อสอบสวนรายละเอียดทั้งหมด
ต่อมา (28 มิ.ย.) พรรคก้าวไกล ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า จากกรณีที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล ถูกแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย พรรคฯ ถือว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง พรรคได้ติดต่อไปยังผู้แจ้งความแล้ว เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม และจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการวินัยพรรคโดยเร็วที่สุด
วันต่อมา (29 มิ.ย.) นายสิริน สงวนสิน ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล ซึ่งถูกหญิงที่คบหากันประมาณ 1 เดือนแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายและทำให้เสียทรัพย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Sirin Sanguansin-สิริน สงวนสิน" ระบุว่า "ผมขออภัยอย่างสูงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนอื่นต้องขออภัยต่อผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมด และพี่น้องประชาชน ที่ผมออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่ปรากฏเป็นข่าวล่าช้า เนื่องจากผมประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย ศีรษะแตก จึงใช้เวลาสองวันที่ผ่านมาในการรักษาตัว
"ผมเสียใจอย่างมากในสิ่งที่ได้ทำลงไป ผมขออภัยคุณเอ (นามสมมติ) คุณพ่อคุณแม่ของคุณเอ (นามสมมติ) และขออภัยพี่น้องประชาชนที่ได้เลือกผมเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส. ที่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง จากนี้ ผมยินดีเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย และการสอบสวนวินัยจากพรรคก้าวไกล และจะน้อมรับผลที่ตามมาจากการกระทำที่ปราศจากความยั้งคิดของผมโดยดุษณี
"ทั้งนี้ ผมและคุณเอ (นามสมมติ) ยืนยันว่า ข่าวที่สื่อนำเสนอรายละเอียดเหตุการณ์ และอ้างว่าผมให้ข้อมูลว่า ทำไปเพราะความเป็นห่วงคุณเอ (นามสมมติ) ทั้งหมดไม่เป็นความจริง ผมและคุณเอ (นามสมมติ) ยังไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือกล่าวถึงเหตุการณ์นี้แม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยคิดจะอ้างว่ากระทำไปด้วยความเป็นห่วง ผมขอแสดงความสำนึกผิดและขออภัยต่อผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ทุกคนด้วยใจจริง"
วันเดียวกัน (29 มิ.ย.) นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ส.ส. กทม.พรรคก้าวไกลทำร้ายผู้หญิงว่า เป็นเรื่องที่สังคมไม่ควรยอมรับและนิ่งเฉย เนื่องจากการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสังคม โดยเฉพาะเมื่อคนที่ทำร้าย คือ ส.ส. เป็นนักการเมืองที่ควรมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่สูงกว่าแค่กรอบของกฎหมายกำหนดไว้ และสังคมไทยไม่ควรนิ่งเฉยดูดายและควรมีส่วนร่วมกันประนาม กดดันไม่ให้ ส.ส.คนดังกล่าวได้หลุดรอดในบ่วงกรรมที่ตนได้กระทำต่อผู้หญิงที่ไม่สามารถต่อสู้และขัดขืนต่อการใช้ความรุนแรงได้
ดังนั้น เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม นายพิธาควรไล่ ส.ส. คนดังกล่าวออก และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการ "ขอโทษ" และชดใช้ค่าเสียหายให้กับสตรีผู้เสียหาย และชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งซ่อมที่จะต้องมีเกิดขึ้น หากต้องคำพิพากษาจำคุก
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสิริน เผยเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ว่า ไม่ได้ทำร้ายร่างกายแฟนสาว แต่ยอมรับว่าทะเลาะกันจริง มีการแย่งโทรศัพท์ ตอนเกิดเหตุไม่ได้เมา มีสติครบถ้วน ส่วนที่ไม่ได้ออกมาชี้แจงตั้งแต่เกิดเรื่อง เนื่องจากไม่อยากให้กระทบกับคดี และอยากเคลียร์กันเองมากกว่า และว่า ตอนนี้ได้พูดคุยทำความเข้าใจกันเบื้องต้นแล้ว เย็นวันนี้ (29 มิ.ย.) ตนจะพาพ่อแม่ไปหาพ่อแม่ฝ่ายหญิง เพื่อขอโทษต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และถ้าฝ่ายหญิงพร้อม อาจจะแถลงข่าวร่วมกัน ก็น่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ (30 มิ.ย.) ซึ่งแฟนสาวจะถอนแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย จากเดิมที่ตำรวจนัดสอบปากคำวันที่ 2 ก.ค.นี้ แต่หลังจากที่คุยกันแล้ว ก็จะไปพบตำรวจพร้อมกันในวันที่ 30 มิ.ย.
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ทั้งนายสิรินและฝ่ายหญิงก็ไม่ได้เดินทางมาพบตำรวจ สภ.บ่อวิน แต่อย่างใด ตำรวจจึงโทรศัพท์ไปหานายสิริน ซึ่งพบว่าเจ้าตัวปิดเครื่อง
สำหรับคดีนี้ ทางตำรวจกล่าวว่า สามารถยอมความกันได้ มีค่าปรับทำร้ายร่างกายอยู่ที่ 500 บาท หากตบ หรือเตะซ้ำ จ่ายค่าปรับ 1,000 บาท แต่ปัจจุบันได้ขึ้นค่าปรับทำร้ายร่างกายเป็น ตบ ต่อย 1 ครั้ง มีค่าปรับสูงสุด 10,000 บาท หากตบ หรือเตะซ้ำอีกที ปรับสูงสุดถึง 20,000 บาท