xs
xsm
sm
md
lg

“เจ้าสัวสหพัฒน์” ห่วงไทยเหมือนยูเครน ตอกย้ำ “พิธา” ส่อเป็น “เซเลนสกี ไทยแลนด์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” ยกคำพูด “บุณยสิทธิ์” ประธานเครือสหพัฒน์ ห่วงไทยจะเป็นเหมือนยูเครน ตอกย้ำ “พิธา” กำลังจะเป็นเหมือน “เซเลนสกี” ถ้ายังเดินตามนโยบายที่วางไว้เพื่อเปิดประตูให้อเมริกาเข้าแทรกแซงไทย



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงความเหมือนระหว่างนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายโวโลดีมีร์ เซเเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน โดยนายพิธา กำลังทำตัวเหมือนผู้นำยูเครน ด้วยนโยบายที่เปิดประตูให้อเมริกาเข้ามา เหมือนกับที่อเมริกาเข้าไปสนับสนุนเซเลนสกี โดยเบื้องหลังเซเลนสกีนั้นคือผลพวง ผลผลิตในการเป็นรัฐบาลจากการหนุนหลังของอเมริกา


“ผมคิดว่าคุณพิธากำลังจะกลายร่างเป็นเซเลนสกีของประเทศไทย เพราะเมืองไทยอีกไม่นาน ถ้ายังเดินตามนโยบายต่างประเทศของคุณพิธา และพรรคก้าวไกล เมืองไทยเป็นยูเครน 2 แน่นอน คุณอย่ามาพูดว่าเรื่องมันยังไม่เกิด คุณเตรียมตัวให้มันเกิดแล้วไม่ใช่หรือ เพียงแต่ว่า ใครเผลอปั๊บ ถ้าไม่มีคนอย่างผมอยู่ หรือถ้าไม่มีคนสนใจเรื่องนี้อยู่ คุณก็เปิดประตูให้อเมริกาเข้ามา คุณไม่รู้หรอกหรือว่าพวกคุณกำลังจะทำความพินาศฉิบหายให้กับชาติ”


นายสนธิกล่าวต่อว่า ในประเด็นนี้ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานบริหารบริษัทสหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน) ได้แสดงความเป็นห่วงเช่นเดียวกัน ทั้งที่โดยปกตินายบุณยสิทธิ์ เป็นคนที่ไม่เคยยุ่งและไม่เคยพูดเรื่องการเมืองไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้นายบุณยสิทธิ์พูดออกมา โดยบอกว่า ห่วงว่าที่รัฐบาลชุดใหม่บริหารงานไม่เป็น หวั่นพาประเทศเป็นเหมือนยูเครน

นายบุณยสิทธิ์ยอมรับว่าเป็นห่วงนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 450 บาท เพราะถ้าค่าแรงพุ่งสูง จะทำให้นักลงทุนเบนเข็มย้ายการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่น เวียดนาม อุตสาหกรรมเสื้อผ้า แม้ไม่ได้ขึ้นค่าแรงก็ยังมีการย้ายออกไปที่เวียดนามแล้ว ในค่าแรงปัจจุบัน อีกอย่าง การขึ้นค่าแรงกระทบต่อธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว

ส่วนนโยบายการทลายทุนผูกขาดและเก็บภาษีความมั่งคั่งที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบต่อความมั่นใจของผู้ประกอบการนี้ นายบุณยสิทธิ์บอกว่าไม่เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะเป็นแนวทางที่เหมือนกันทั้งโลก


ส่วนรัฐบาลพรรค 8 พรรค ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 7 คณะ หนึ่งในปัญหาคือการแก้เรื่องเศรษฐกิจ มองว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่ยังไม่รู้ว่าดีหรือไม่ เพราะไม่รู้แนวทางการแก้ปัญหารูปแบบไหน การตั้งรัฐบาลอาจจะมีความล่าช้า ไม่น่ากังวล ไม่กระทบต่อการลงทุน

นายบุณยสิทธิ์บอกว่าประเทศไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ฝากการบ้านไปให้รัฐบาลชุดใหม่ ให้เร่งพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องพัฒนาเศรษฐกิจ ให้คนมีการศึกษา ให้คนมีงานทำ เช่น พัฒนาด้านการเกษตรให้มีราคาสูงขึ้น คนที่ทำการเกษตรจะได้มีรายได้เทียบเท่ากับคนที่ทำงานอุตสาหกรรม จะทำให้เศรษฐกิจไม่มีคนว่างงาน ตรงกันข้าม ถ้าราคาสินค้าเกษตรลดลง คนจะหนีจากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพมหานคร จะมีปัญหาเรื่องค่าแรงอีก


ส่วนการที่ประเทศจะมีนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุด นายบุณยสิทธิ์บอกว่า คนรุ่นใหม่จะมีไอเดียแบบใหม่ ทำอะไรเร็วขึ้น ส่วนคนอายุมากจะรอบคอบ อาจจะทำงานช้า เพราะฉะนั้นแล้ว มีคนรุ่นใหม่ก็จะเป็นจุดเด่น ในต่างประเทศเขามีนายกรัฐมนตรีรุ่นใหม่ รวมทั้งบางประเทศก็มีผู้หญิง ทั่วโลกก็มีการเปลี่ยนแปลง ถือว่าอายุไม่เกี่ยวอะไร

นายบุณยสิทธิ์พูดต่อว่า อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศในปีนี้เปรียบเสมือนขับรถหรู รถเร็ว รถมัสแตง แต่ยังต้องให้ความสำคัญและระวังภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ขณะที่การทำธุรกิจยุคนี้ต้องรู้จักปรับตัว บริษัทเอกชนก็สามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนมาก็พร้อมให้ความร่วมมือปรับตัวเช่นกัน


“คุณบุณยสิทธิ์พูดเจ็บมาก ปัจจัยเสี่ยงอันดับแรกของการทำธุรกิจปีนี้ คือ คุณพิูธาฟังให้ดีๆ นะครับ ปัจจัยเสี่ยงอันดับแรกคือของการทำธุรกิจปีนี้คือ “ความมั่นคงของประเทศ” ความมั่นคงของประเทศ ผมห่วงคนผู้นำประเทศ บริหารไม่เป็น และทำให้เป็นเหมือนประเทศยูเครน”


“ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมรู้ไหม สหพัฒนพิบูลไม่ใช่ธุรกิจผูกขาด เป็นการทำมาค้าขายแข่งขันกันโดยเสรี การที่คุณบุณยสิทธิซึ่งระมัดระวังในการพูดออกมาพาดพิงทางการเมือง ออกมาพูดแบบนี้ ท่านผู้ชมเดาเอาแล้วกันว่า ความคิดลึกๆ แล้ว นักธุรกิจระดับคุณบุณยสิทธิ์เขาคิดอย่างไรบ้าง” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น