“สนธิ” จับโกหกโฆษกสถานทูตอเมริกา อ้างสหรัฐฯ ไม่เคยคิดตั้งฐานทัพในไทย และไม่เคยแทรกแซงกิจการภายในของไทย แต่ไม่พูดถึงยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกที่ระบุชัดว่าอเมริกาต้องเข้าถึงสนามบินอู่ตะเภา-ท่าเรือสัตหีบของไทย รวมทั้งเรื่อง “คุกลับ CIA” ที่จังหวัดอุดรธานี
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่จะแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยโดยเมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้นำข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพยายามแทรกแซงทางการเมือง การเลือกตั้ง และความมั่นคงของไทย โดยใช้ยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Hybrid War หรือ "สงครามพันทาง" โดยมีคนไทยบางส่วนรู้เห็นเป็นใจกับอเมริกา โดยเฉพาะบุคลากรระดับแกนนำพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และกลุ่มม็อบสามนิ้วที่พรรคก้าวไกล และพรรคอนาคตใหม่ สนับสนุนมาตลอด
ในช่วงหลังก็ส่งคนอย่างนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล พยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า การแทรกแซงของอเมริกานั้นเป็นเรื่องแต่ง เป็นจิตวิทยาหมู่ เรื่องมอมเมา แต่เรื่องมาเฟียจีนสีเทา เป็นเรื่องจริง
สัปดาห์ที่แล้ว ในรายการได้เปิดหลักฐานให้ดูชัดๆ เกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของทั้งทำเนียบขาว และของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ของกระทรวงกลาโหมอเมริกาหรือเพนตากอน เขาระบุชัดมานานแล้วว่าประเทศไทยนั้นเป็น 1 ใน 5 หมากสำคัญของเขาในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก โดยประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ร่วมกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์
รายงานยุทธศาสตร์ของอินโด-แปซิฟิก ของกระทรวงกลาโหมอเมริกานั้น เผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2562 (4 ปีที่แล้ว) เขายังระบุลงรายละเอียดเกี่ยวกับความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยด้วย ในรายงานฉบับดังกล่าวของเพนตากอน หน้าที่ 29-30 ระบุชัดเจนจนถึงว่า ตำแหน่งแห่งที่ของประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยข้อความระบุว่า ในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่แนบจุดศูนย์กลางอาเซียน ตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์ระหว่างเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีบทบาทเป็นกุญแจสำคัญในเชิงภูมิยุทธศาสตร์ของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
การสามารถเข้าถึงท่าเรือและฐานทัพอากาศที่อู่ตะเภา รวมไปถึงท่าเรือน้ำลึกสัตหีบนั้น เป็นช่องทางที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางกำลังกองกำลังสหรัฐฯ ซึ่งรายงานดังกล่าวระบุและยืนยันว่าปัจจุบันอเมริกาพึงพอใจต่อการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารกับทหารไทย
“เอกสารและหลักฐานข้างต้นนั้น ผมไม่ได้เพิ่งนำเสนอเป็นครั้งแรก ผมเสนอมาเป็นปีๆ แล้ว ตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ แต่พอวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ก้าวไกลชนะเลือกตั้ง ได้เสียงเป็นอันดับหนึ่ง ผมก็ชี้ให้เห็นว่า จุดนี้เป็นจุดอ่อนและอดีตพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งปัจจุบันคือพรรคก้าวไกล ที่จากพฤติกรรมและท่าทีที่ผ่านมาดำเนินนโยบายตามก้น รับใช้ชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา และยุโรป มาตลอด
“ผมเอาภาพให้ดูนะครับ เปิดให้ดูหลายรอบแล้ว แต่ฉายตัวอย่างให้ดูอีกรอบหนึ่ง คือภาพที่นายธนาธรไปรับทราบข้อกล่าวหาที่โรงพัก แล้วก็มีตัวแทนของชาติตะวันตก ทั้งอียู และอเมริกา ไปให้กำลังใจ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความคิดและจุดยืน ท่าทีชัดเจนของบุคลากรระดับแกนนำของพรรคก้าวไกล ที่แสดงให้เห็นถึงช่วงความคิดที่โปรตะวันตก และต่อต้านจีนอย่างชัดเจน”
นายสนธิกล่าวต่อว่า วันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล และว่าที่รัฐมนตรีฯ คลังของพรรค บรรยายพิเศษเปิดวิสัยทัศน์นโยบาย SMEs จากพรรคก้าวไกล สร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตด้วยธุรกิจขนาดย่อม ในหัวข้อ "ห่วงโซ่ตลาดโลก 2023 การตั้งเป้าหมายเศรษฐกิจประเทศใหม่ๆ" โดยเนื้อหาหลักที่ น.ส.ศิริกัญญา พูด มติชนได้มาพาดหัวคลิป ระบุว่า "เศรษฐกิจไทยโตช้าเพราะยึดติดกับตลาดจีนมากเกินไป"
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในมติชน ที่ใหญ่กว่าานายขรรค์ชัย บุนปาน คือ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องประหลาดใจว่าทำไมมติชนถึงเชียร์พรรคก้าวไกลอย่างเต็มที่
นายสนธิ กล่าวต่อว่า หลังจากที่ตนพยายามชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการแทรกแซงการเมือง การเลือกตั้ง ความมั่นคงของไทย โดยสหรัฐอเมริกามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยกหลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ว่าจะกรณีของสถานทูตสหรัฐฯ ประจำเชียงใหม่ ที่อเมริกาทุ่มเงินนับหมื่นล้านบาทและกำลังก่อสร้างอยู่ กรณีพยายามแทรกแซงการเมือง เศรษฐกิจของไทย โดยเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย คือ นายโกเดค ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ตอนเข้าไปชี้แจงต่อกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ประกาศว่า จะแทรกแซง กดดัน ให้ไทยร่วมกดดันรัฐบาลทหารพม่า ผลักดันเรื่องกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะปรับปรุงเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และจะบีบให้ไทยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและพลังงานจากพม่า
ด้วยเหตุนี้ จึงมีพวก IO พวกคอนด้อมส้ม พวกแกนนำพรรคก้าวไกล รวมทั้งสื่อไทยจำนวนมากที่พยายามออกมาบอกว่าเรื่องที่พูดนั้นเป็นเรื่องมโน ทั้งๆ ที่มีหลักฐานทนโท่คาตา และเอกสารเหล่านี้ก็มีเป็นภาษาอังกฤษ เป็นเอกสารทางการ เป็นข่าว สามารถอ่านได้จากอินเทอร์เน็ต เสิร์ชจากกูเกิลเอาก็เจอ
ล่าสุดมีกรณีสื่อทางช่องโทรทัศน์ PPTV ของ หมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของเครือข่ายโรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งที่ผ่านมาทีมข่าว PPTV ได้พยายามเกาะติดคำโกหกของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ตลอดเวลา รายงานข่าวคำโกหกของนายชูวิทย์อย่างหน้าตาเฉย โดยไม่ดูว่าคำพูดนั้นเป็นคำโกหกหรือไม่
วันที่ 26 พฤษภาคม PPTV รายงานว่า ทีมข่าว PPTV ได้สอบถามไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีมีการส่งข้อมูลในโลกออนไลน์ว่าอเมริกาจะเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยจริงหรือไม่ ต่อมา น.ส.นิโคล ฟ็อกซ์ โฆษกสถานทูตอเมริกา ได้อัดคลิปตอบ PPTV ว่า อเมริกาไม่มีฐานทัพในไทย และไม่มีการหารือเกี่ยวกับการตั้งฐานทัพในไทย โดยยืนยันว่า ตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อร้อยปีก่อน ความร่วมมือทวิภาคีทุกด้านได้ดำเนินการผ่านการปรึกษาหารือกับรัฐบาลไทย โดยมีเป้าหมายพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไทยและอเมริกา
“แต่คุณนิโคล ฟ็อกซ์ ไม่ได้บอกว่า แต่ถ้ารัฐบาลไทยซึ่งเป็นสุนัขรับใช้อเมริกา ยินดีเปิดประตูให้อเมริกามาใช้อู่ตะเภา และใช้ท่าเรือน้ำลึกสัตหีบ อเมริกาก็ยินดีที่จะตอบสนองด้วยความเต็มใจ เพราะรอมานานแล้ว นี่คือคำพูดของผม ซึ่งไม่ผิด” นายสนธิกล่าว
นอกจากนี้ โฆษกสถานทูตอเมริกายังปฏิเสธว่าอเมริกาไม่ได้ให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะอเมริกาสนใจเพียงกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย และเฝ้ารอจะทำงานกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
นายสนธิ กล่าวว่า ประเด็นนี้ น.ส.นิโคล ฟ็อกซ์ โฆษกสถานทูตอเมริกา ออกมายืนยันว่า ไม่ได้มีฐานทัพในไทย ที่มาต้องทำการปรึกษารัฐบาลไทยก่อน ความจริงของเอกสารของเพนตากอน กระทรวงกลาโหม มันระบุชัดเจนแล้วว่า ท่าเรือสัตหีบ กับสนามบินอู่ตะเภา มันพร้อมใช้อยู่แล้ว มันมีซ้อมรบ ปฏิบัติการทางทหารร่วมกันทุกปี คอบร้าโกลด์ก็จัดกันทุกปี สัตหีบ แหลมฉบัง อู่ตะเภา อ่าวไทย พัทยานั้น กองทัพอเมริกา ทหารอเมริกันรู้ทุกซอกทุกมุม ทะลุปรุโปร่ง แทบจะเป็นบ้านที่สองอยู่แล้ว จะเข้ามาเมื่อไรก็ได้ จะบินออกไปเมื่อไรก็ได้ จะเอาเรือเข้ามาจอดเมื่อไรก็จอด ทหารไทยเปิดทางสะดวกให้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2566 ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี กองทัพเรืออเมริกามีการมาเยือนของเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกา USS-Nimitz ได้ข่าวว่านอกจากมาเยือนแล้ว ยังขนอาวุธออกมาเต็มเลย แล้วก็ผ่องถ่ายออกจากเรือ แต่ไม่รู้ว่าขนไปไหน แต่มีคนกระซิบบอกว่ามันไปอยู่ที่ชายแดนไทย-พม่าเรียบร้อยแล้ว
การที่โฆษกหญิงสถานทูตอเมริกาบอกว่าอเมริกาไม่ได้ให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองไทย แต่คุณโฆษกจะปฏิเสธหรือไม่ว่าช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ใช้กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NED : National Endowment for Democracy ซึ่งเป็นหน่วยงานสาขาของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา ที่แม้กระทั่งผู้อำนวยการ NED ในยุคนั้น สารภาพว่า NED คือองค์กร CIA ภาคพลเมือง
“คุณจะปฏิเสธไหม หลักฐานมีครับ แล้วคุณจะไม่เคยให้เงินได้อย่างไร คุณอ้างว่าไม่ได้ให้เงินสนับสนุนมูลนิธิ สื่อ องค์กรหลายต่อหลายแห่งในประเทศไทย ที่ผ่านมาฝ่ายม็อบสามนิ้วพยายามเคลื่อนไหว ยกเลิก มีการแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ บ่อนทำลายสถาบันของประเทศไทย แล้วคุณให้เงินช่วย iLaw ประชาไท Human Rights Watch และหนังสือพิมพ์ หรือบล็อก Isaan Record คุณช่วยมาแล้ว” นายสนธิกล่าว
คุกลับ CIA ที่อเมริกาไม่เคยพูดถึง
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อยากจะเดือนความจำของ น.ส.นิโคล ฟ็อกซ์ โฆษกสถานทูตอเมริกา เรื่องคุก CIA ในประเทศไทย ที่บอกว่าคุณไม่เคยยุ่ง ไม่เคยแทรกแซง เป็นการพูดไม่จริง
เรื่องคุกลับ CIA ในประเทศไทยเคยถูกพูดถึงมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2548 ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร วอชิงตันโพสต์ หนังสือพิมพ์ของอเมริกาเอง เสนอข่าวว่า หลังโศกนาฏกรรม 9/11 (11 กันยายน 2544) CIA ได้สร้างเครือข่ายคุกลับที่เรียกว่า Black Site สถานที่มืดดำ ไว้ใน 8 ประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปตะวันออก รวมทั้งประเทศไทย เพื่อใช้กักขังผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายในกลุ่มอัลกออิดะห์
สถานที่ลับนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเรือนจำลับที่ CIA ตั้งขึ้น มีที่ประเทศไทย อัฟกานิสถาน ประเทศประชาธิปไตยหลายแห่งในยุโรปตะวันออก รวมทั้งเรือนจำเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อ่าวกวนตานาโม ในคิวบา ทั้งหมดนี้อ้างอิงจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองและนักการทูต ทั้งปัจจุบันและอดีต จาก 3 ทวีป นี่คือข่าวจากวอชิงตันโพสต์ระบุมา
ในกรณีของประเทศไทยนั้น ถูกระบุว่า คุกนี้สร้างขึ้นเมื่อกลางปี 2545 และปิดลงเมื่อกลางปี 2546 หลังจากเรื่องแดงขึ้นมา โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่าสถานที่ตั้งสถานีวิทยุเสียงอเมริกา Voice of America หรือ VOA ที่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี น่าจะเป็นที่ตั้งคุกลับ แต่นายทักษิณตอนนั้นเป็นนายกฯ บอกว่าไม่มีคุกลับในไทยแต่อย่างใด ตอนหลังเรื่องนี้ถูกสื่อตะวันตกนำมาเอ่ยอ้างถึงอีกหลายครั้ง แต่ไม่มีหลักฐานชี้ชัด ซึ่งรัฐบาลและกองทัพไทยทุกสมัยให้การปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เคยอนุญาตให้ CIA ตั้งคุกลับในไทย แต่รัฐบาลอเมริกาและสื่อต่างประเทศหลายสำนัก รายงานยืนยันข้อมูลดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
แต่ความจริงที่มีหนึ่งเดียวก็ปรากฏออกมาในปี 2561 ในสมัยนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาได้เสนอชื่อนางจีน่า แฮสเปล ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน CIA แทนนายไมก์ พอมเพโอ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในยุคนายทรัมป์ แต่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่านางจีน่า แฮสเปล เธอมีประวัติด่างพร้อย กระแสต่อต้านจากการที่เรื่องนี้ต้องผ่านการยอมรับของวุฒิสภาของอเมริกา สมาชิกวุฒิสภาเขาแจ้งออกมาเลยว่า นางจีน่า แฮสเปล มีประวัติด่างพร้อยจากการที่เคยดูแล Black Sites หรือสถานที่ดำ ก็คือคุกลับในไทย ซึ่งมีผู้ถูกคุมขัง ตกเป็นเหยื่อการทรมานและการอุ้มหาย
นอกจากนั้น คณะกรรมาธิการวิสามัญด้านข่าวกรองของวุฒิสภา SSCI : Senate Select Committee on Intelligence จัดทำรายงานความยาว 6,000 หน้า ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2557 ระบุว่า คุกลับแห่งนี้มีชื่อว่า สถานกักกันเขียว "Detention Site Green"
ตามรายงานนี้ในปี 2557 แสดงความร่วมมือการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างไทยกับอเมริกา ปรากฏอยู่ในรายงานของคณะกรรมาธิการ ภายหลังเหตุการณ์ 9/11 มีปฏิบัติการร่วมกันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง การส่งตัวผู้ต้องสงสัยจากไทยให้กับ CIA
รายงานของ SSCI ระบุถึงเหตุผลหลายข้อที่ CIA เลือกไทยเป็นที่ตั้งคุกลับ คือ แนวคิดการคุมตัวผู้ต้องสงสัยในฐานทัพสหรัฐฯ ถูกปฏิเสธ เพราะว่าพวกเขาต้องแจ้งให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศทราบ สอง เรือนจำขนาดใหญ่ที่อ่าวกวนตานาโม ในคิวบา ไม่เหมาะสม เพราะว่าเก็บความลับได้ยาก และเจ้าหน้าที่ FBI หรือกองทัพอเมริกา อาจจะพยายามควบคุมการสอบสวน
ขณะที่อุดรธานีของไทย เป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผลด้วยเหตุผลหลายข้อ คือ หนึ่ง ทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญา สอง มีการร่วมมือทางกองทัพและข่าวกรองระหว่างสองประเทศอย่างใกล้ชิด สาม นับตั้งแต่ช่วงสงครามเย็น ในช่วงทศวรรษที่ 1960 ไทยอนุญาตให้อเมริกาใช้ฐานทัพอากาศสำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีกลุ่มคอมมิวนิสต์ในประเทศเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ข้อสี่ อุดรธานีเป็นหนึ่งในฐานทัพหลักของอเมริกา มีฝูงบินประจำการเป็นของตัวเอง ถูกใช้งานอย่างมากโดย CIA ในเวลานั้น ในช่วงปี 2545-2546
“นี่ล่ะครับข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องสหรัฐอเมริกาไม่เคยแทรกแซงประเทศไทย ที่หลายๆ คนออกมาพยายามแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ทุกวันนี้ ผมอยากจะถาม PPTV ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่ทำข่าวต่างประเทศที่พึ่งพาข้อมูลจากตะวันตกอย่างเดียว และผมถามคุณนิโคล ฟ็อกซ์ ว่า คุกลับ CIA ที่อยู่ในประเทศไทย ที่อุดรธานี ไม่กี่ปีมานี่เอง เรื่องก็เพิ่งจะมาแจ่มแจ้งแดงแจ๋สมัยที่นายทรัมป์เป็นประธานาธิบดี คนรายงานข่าวกันทั่วโลก ค้นหาข้อมูลในกูเกิลก็ขึ้นมาเป็นพรืด อย่างนี้ทั้งหมดมันเป็นข่าวปลอมหรือข่าวลวงโลกครับ
“แล้วที่คุณโฆษกหญิงพยายามออกมาตอบว่า นับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อ 190 ปีก่อน ความร่วมมือทวิภาคีทุกด้านได้ดำเนินการผ่านการปรึกษารัฐบาลไทย แสดงว่าคุกลับ CIA ที่อุดรธานี รัฐบาลไทยยุคนั้นต้องรู้เห็นเป็นใจ เห็นชอบด้วยกับ CIA ล่ะสิ เพียงแต่งุบงิบปกปิดกัน ไม่ให้คนไทยทั้งประเทศรู้หรือระแคะระคายแม้แต่น้อย ใช่ไหม”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ไม่แปลกใจที่โฆษกสถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทย จะออกมาแก้ข่าวเรื่องอเมริกาใช้ไทยเป็นหมากสำคัญในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก เพื่อปิดล้อมจีน เพราะเป็นหน้าที่ของเขา เป็นผลประโยชน์ เป็นความมั่นคงของประเทศเขา แต่ที่น่าสงสัยคือสื่อไทย นักการเมืองไทย และคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะสื่ออย่าง PPTV ที่ตีข่าวนี้ อยากถามว่าเดี๋ยวนี้ทางทีมข่าว PPTV ทำข่าวง่ายๆ อย่างนี้จริงๆ หรือ ใครพูดอะไร ก็เอาออกมาออกอากาศเหมือนกับที่นายชูวิทย์พูดอะไร PPTV ก็เกาะติดออกอากาศสด สัมภาษณ์พิเศษ ใครก็ตาม โกหกอย่างไร นักข่าว PPTV พร้อมจะเป็นกระบอกเสียงให้ เอาอย่างนี้จริงๆ หรือ ? จริงๆ แล้วนักข่าวต่างประเทศ PPTV สามารถจะกดดเข้าไปในกูเกิล แล้วเช็ก "คุกลับ CIA" ได้ ก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่นิโคล ฟ็อกซ์ พูดนั้นเป็นเรื่องโกหก
“ผมถามพี่เสริฐหน่อย เรารู้จักกันดี สนิทสนมกันมาก ผมสนิทกับครอบครัวพี่เสริฐเยอะมาก พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ซึ่งเป็นหลานพี่เสริฐ ก็สนิทกับผม พี่่แบงค์ ซึ่งเป็นน้องสาวพี่เสริฐ ก็สนิทกับผม ผมอยากถามว่าเดี๋ยวนี้ PPTV ที่พี่เสริฐให้เงินสนับสนุนและเป็นเจ้าของอยู่ กลายเป็นกระบอกเสียงให้คุณชูวิทย์ และกลายเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกาไปตั้งแต่เมื่อไร เพราะว่าในที่สุดแล้ว PPTV ก็จะเป็นสถานีโทรทัศน์ที่ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน เช่นกัน” นายสนธิกล่าว