“สนธิ” มองการเมืองโลก สัญญาณสงครามในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสหรัฐฯ รุกเปิดศูนย์ประสานงานนาโต้ที่ญี่ปุ่น ทุ่มหมื่นล้านสร้างสถานกงสุลที่เชียง เร่งแผ่อิทธิพลปิดล้อมจีน โดยมีไทยเป็น 1 ใน 5 พันธมิตรอันดับหนึ่ง และชัยชนะของพรรคก้าวไกลก็เข้าทางปืนอเมริกัน จนรัฐบาลทหารเมียนม่าสั่งเฝ้าระวังตามแนวชายแดน ขณะที่คนสนิท “ปูติน” ก็เยือนลาว และมีแผนซ้อมรบ ชี้ถ้าไทยยังเดินตามก้นตะวันตก สุ่มเสี่ยงจะเป็นยูเครน 2 เตือน “วิโรจน์” อย่าโชว์โง่ เอาไปเทียบทุนจีนสีเทา ท้า “ก้าวไกล” ยกก๊วนมาดีเบตเพื่อประโยชน์สาธารณะ ช่วยเบิกเนตรให้ใครหลายคน และอาจช่วยป้องกันสงครามไม่ให้เกิดขึ้น
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญ 2 เรื่องเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่สะท้อนสงครามภูมิรัฐศาสตร์การเมืองโลกนั่นคือการประชุม G7ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น และการประชุมจีน-เอเชียกลางที่เมืองซีอาน ประเทศจีน
การประชุมสุดยอดผู้นำโลก 2 วงนี้ ไม่เพียงเป็นการช่วงชิงพื้นที่สื่อที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลก แต่ยังช่วงชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางอำนาจของแต่ละฝ่ายด้วย และมีนัยสำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์โลกหลายประการ
นายสนธิ กล่าวว่า ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา จากข้อมูลข้อเท็จจริง และสัญญาณหลาย ๆ อย่างทำให้ตนต้องกล่าวเตือนไปว่าสัญญาณสงครามในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก นั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และหากไทยไม่ระมัดระวัง คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว ก็เตรียมตัวถูกม้วนเข้าสู่กระแสของความขัดแย้ง และสงครามครั้งใหญ่นี้ได้เลย อย่างที่เคยบอกว่า อย่าให้ประเทศไทยเป็นยูเครน 2
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาแกนนำพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล, ช่อ พรรณิการ์ วานิชรวมถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปวารณาตัวว่าเป็นผลผลิตจากการศึกษาของสหรัฐอเมริกาและสนิทสนมพูดคุยกับทูตและบุคลากรทางการทูตของสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
อย่างนายพิธาก็เคยพูดชัดเจนว่าทำงานกับอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย อย่างนายราล์ฟ บอยซ์ และได้พยายามนำเสนอมาตลอดว่า ถ้าเป็นนายกฯ นโยบายต่างประเทศของเขาคือ“เลิกเป็นไผ่ลู่ลม”และเปลี่ยนเป็น“ยืนหลังตรง”
ซึ่งที่คำว่า“ยืนหลังตรง”ของนายพิธา แท้จริงแล้วก็คือ การเดินตามก้นฝรั่ง อย่างสหรัฐอเมริกานั่นเอง พิสูจน์ได้จากความพยายามในการผลักดันให้ไทยเข้าแทรกแซงการเมืองภายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าให้ได้
ยกตัวอย่างก็คือวันที่ 21 ตุลาคม 2564 นายพิธาเคยโพสต์แสดงความเห็นเรื่องพม่าโดยตบท้ายว่า “ต้องไม่มีอีกแล้วประเทศไทยที่ไม่แสดงจุดยืนอะไรเลย ตอนที่อาเซียนมีมติไม่เชิญผู้นำทหารเมียนมาเข้าร่วมประชุมเพราะไม่ทำตามฉันทามติ 5 ข้อ ต้องไม่มีอีกแล้วประเทศไทยที่ไม่ยอมโหวตในมติ non-binding หรือมติที่ไม่ได้มีความผูกพันทางกฎหมายด้วยซ้ำ ของสมัชชา UN เพื่อป้องกันการไหลเวียนของอาวุธเข้าเมียนมา
“และต้องไม่มีอีกแล้วครับ ประเทศไทยที่นายกรัฐมนตรีแอบไปพบรัฐมนตรีต่างประเทศที่เพิ่งขึ้นมาจากการรัฐประหารที่สนามบิน”
นอกจากนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2566 นายพิธาก็ทวีตเรื่องพม่าอีก โดยอ้างว่าเรื่องภัยพิบัติจากไซโคลนโมคา ให้นานาชาติรีบเปิดทางให้ส่งความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในให้ชาวพม่า
นายพิธาบอกว่า “พี่น้องชาวเมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนโมคา วันนี้ผมของส่งความเห็นอกเห็นใจ และความปรารถนาดีมายังทุกท่าน
“ผมขอเรียกร้องต่อรัฐบาลและประชาคมระหว่างประเทศ ให้ส่งความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนที่สุดไปยังชาวเมียนมาที่ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนโมคา ซึ่งสิ่งนี้เป็นไปตามนโยบายต่างประเทศใหม่ของผมในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้ง
“นโยบายเกี่ยวกับประเทศเมียนมาของผม จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชน ไปพร้อมกับด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดสันติภาพ ความความเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกันทั้งประเทศไทย เมียนมา อาเซียน และนานาประเทศ”
“ท่านผู้ชมครับผมไม่มีคำตอบอะไรหรอก นอกจากผมพูดสั้นๆก็แล้วกันคุณพิธาครับคุณไปเสือกเรื่องอะไรกับพม่าเขาสั้นๆแค่นี้เอง” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า แต่พวก“ด้อมส้ม เด็กอมมือ” พอเห็นข้อความของนายพิธาก็เข้าไปปรบมือเชียร์กันลั่นว่า เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์จิตใจดี เหมาะแล้วสำหรับว่าที่นายกฯ คนหนุ่ม ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว นัยและความระหว่างบรรทัด ในการเรียกร้องให้มีการส่งความช่วยเหลือ(โดยที่รัฐบาลทหารพม่าไม่ได้ร้องขอ) ของนายพิธานั้นจริง ๆ ก็คือ การเรียกร้องให้ต่างชาติเข้าแทรกแซงกิจการภายในของพม่าอย่างเปิดเผยนั่นเอง
ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันชาติตะวันตก ก็ใช้ประเทศไทยเป็นฐานอย่างลับๆ ผ่านทั้งทางภาคเหนือ และภาคตะวันตกของเราไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ แม่สอด กาญจนบุรี ฯลฯ เพื่อเข้าไปสนับสนุนกองกำลังของชนกลุ่มน้อย และกลุ่มกบฏติดอาวุธ ในพม่าเพื่อสู้รบกับรัฐบาลทหารพม่าอยู่แล้ว
วันที่ 13 กมภาพันธ์ 2566 เพจข่าวฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าเผยแพร่ภาพพิธีปิดการฝึกหลักสูตรรบพิเศษให้แก่กำลังพล PDF ในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยง ระบุชัดครูฝึกเป็นอดีต “นาวิกโยธิน” จากกองทัพสหรัฐฯ
วันที่ 6 มีนาคม 2566 - กระทรวงมหาดไทยและตรวจคนเข้าเมือง รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) หรือรัฐบาลเงาที่ตั้งขึ้นโดยพรรค NLD ได้เผยแพร่ภาพชุดการฝึกพลแม่นปืน สังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (S.O.F. Snipers) ของกองกำลังติดอาวุธฝ่ายต่อต้าน (PDF) ณ สถานที่แห่งหนึ่งไม่ห่างจากชายแดนทางภาคตะวันตกของประเทศไทย โดยระบุชัด ครูฝึกสไนเปอร์เหล่านี้คือนาวิกโยธินจากกองทัพสหรัฐอเมริกา
มกราคม 2565(หรือปีครึ่งที่แล้ว) องค์กร Free Burma Rangers ของอดีตทหารหน่วยรบพิเศษสหรัฐอเมริกา ที่อ้างมาตลอดว่ามีบทบาทให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่กลุ่มชาติพันธุ์ในพม่า แต่แท้จริงแล้วเป็นภารกิจฝึกชาวบ้านให้จับอาวุธสู้รบ โดย เพจ Free Burma Rangers ได้เผยแพร่ภาพชุดกิจกรรมล่าสุด เป็นภาพของเหล่าผู้ที่เพิ่งสำเร็จการฝึกในหลักสูตรผู้นำและการบรรเทาทุกข์ ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาว ทั้งชาวพม่าและชาติพันธุ์ต่างๆ โดย Free Burma Rangers ระบุว่า ผู้เข้ารับการฝึกรุ่นนี้มีจำนวนมากที่สุดในประวัติการณ์ที่องค์กร NGO ซึ่งมักอ้างภารกิจหลักด้านมนุษยธรรมแห่งนี้เคยฝึกให้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม จากภาพที่ปรากฏ ดูเหมือนเป็นการฝึกรบ ฝึกการใช้อาวุธ และการดำรงชีพในป่า ซึ่งเป็นภารกิจทางทหารมากกว่าภารกิจด้านมนุษยธรรม
ในโพสต์ให้รายละเอียดว่า กลุ่มผู้ที่เพิ่งสำเร็จการฝึกเมื่อ วันที่ 3 มกราคม 2565 ประกอบด้วย ทหารป่า (Rangers) 198 นาย ในนี้เป็น ทหารใหม่ 32 ทีม และอีก 30 ทีม เป็นผู้ที่มาเข้ารับการฝึกเพิ่มเติม ทั้งหมดเป็นคนจาก 9 ชาติพันธุ์ ได้แก่ ชาวพม่า อารกัน คะฉิ่น กะเหรี่ยง กะเหรี่ยงแดง ปะโอ โป ไทใหญ่ และทวาย หลังเสร็จสิ้นการฝึก คนเหล่านี้จะลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจให้ความช่วยเหลือประชาชนใน 3 จุด ซึ่งกำลังมีการสู้รบกันอย่างหนักกับกองทัพพม่าอยู่ในขณะนี้
สำหรับ Free Burma Rangers เป็นองค์กรเอกชน (NGO) ที่ถูกตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี 2550 โดยอ้างภารกิจให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คนในพม่า ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ โดยการส่งอาสาสมัครเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้านในรัฐชาติพันธุ์ต่างๆ เน้นที่ รัฐกะเหรี่ยง และ กะยา (กะเหรี่ยงแดง) ซึ่งมีพื้นที่ติดกับชายแดนภาคตะวันตกของประเทศไทย เป็นระยะทางยาวตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ลงไปจนถึงระนอง
ล่าสุด The Irrawaddy ตีข่าว “กองทัพพม่า” สั่งเฝ้าระวังชายแดน หลังรู้ผล "ก้าวไกล" ชนะเลือกตั้งในไทย
วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2566 - ที่ผ่านมา The Irrawaddy สำนักข่าวที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) หรือฝ่ายนางอองซาน ซูจีน ก็นำเสนอข่าวว่า พล.อ.อาวุโส โซวิน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเมียนมา รองจาก พล.อ.อาวุโส มิน อ่องหล่าย ได้มีคำสั่งถึงกำลังพลในกองทัพพม่าให้เฝ้าระวังสถานการณ์บริเวณชายแดนเมียนมา-ไทย อย่างใกล้ชิด หลังรู้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยว่าพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่ง และกำลังเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่อยู่ในขณะนี้
โดย ปัจจุบัน พล.อ.อาวุโส โซวิน เป็นรองประธานสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) และรองนายกรัฐมนตรี เมียนมา และยังรั้งตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพพม่า อยู่ด้วย โดยผู้ที่ดำรงตำแหน่งเหนือจากเขาทั้ง 3 ตำแหน่ง คือ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย
ทั้งนี้ ตามข่าวของ The Irrawaddy ได้อ้างเนื้อความในคำสั่งของ พล.อ.อาวุโส โซวิน ซึ่งระบุชัดเจนว่า “พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่โปรตะวันตก และให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย จึงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์บริเวณชายแดน และติดตามข้อมูล กิจกรรม และความเคลื่อนไหวของพวกเขา”
อย่างไรก็ตาม The Irrawaddy อธิบายคำว่า “ผู้ก่อการร้าย” ในเนื้อความของ พล.อ.อาวุโส โซวิน ว่าหมายถึงกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารที่เคลื่อนไหวอยู่บริเวณชายแดน
ในเนื้อข่าวของ The Irrawaddy ยังให้ข้อมูลอีกว่า ความวิตกกังวลของ พล.อ.อาวุโส โซวิน มาจากคำพูดของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ได้ออกมากล่าวถึงสถานการณ์ในเมียนมาหลายครั้ง หลังรู้ผลเบื้องต้นของการเลือกตั้ง
ไม่แต่เพียงเรื่องพม่า พรรคอนาคตใหม่ มาถึงก้าวไกล เดินเรื่องต่างประเทศไปในแนวทางเดียวกัน หรือ สอดคล้องกับสหรัฐอเมริกา และชาติตะวันตกมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฮ่องกง ไต้หวัน ซินเกียง ทิเบต ปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้ อิหร่าน
ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว วันที่ 6 เมษายน 2562 ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไปรับทราบข้อกล่าวหากระทำผิด ม.116 ตามหมายเรียกข้อกล่าวหา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น และมาตรา 189 ช่วยเหลือหรือให้ที่พำนักผู้ต้องหากรณีช่วยนายรังสิมันต์ โรม นักกิจกรรมทางการเมืองหลบหนีระหว่างการชุมนุมประท้วง คสช. เมื่อปี 2558 นายธนาธรก็มีการเชิญ ตัวแทนขององค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และตัวแทนจากสถานทูต 12 ประเทศ ยกตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ แคนาดา สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เบลเยียม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชาติสมาชิกกลุ่ม Five Eyes และนาโต้ มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
ต่อมา เมื่อตุลาคม 2562 นายธนาธร พบกับโจชัว หว่อง แกนนำม็อบฮ่องกงต่อต้าน รัฐบาลปักกิ่ง ที่ฮ่องกง พร้อมระบุว่า ม็อบฮ่องกงเป็นแรงบันดาลใจในการก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ จนทำให้สถานทูตจีนในไทยต้องออกมาแถลงการณ์แสดงจุดยืนคัดค้าน
วันที่ 25 กรกฎาคม 2565 นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลทหารพม่า
ในช่วงเดือนตุลาคม 2563 ม็อบคณะราษฎรที่ทางบุคลากรของพรรคก้าวไกลสนับสนุน โบกธงเรียกร้องเอกราชในฮ่องกง, ไต้หวัน, ทิเบต และ เตอร์กิสถานตะวันออก (ซินเกียง)
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ทวิตสนับสนุนม็อบอิหร่านในการต่อต้านรัฐบาล ตามการชี้นำของ Freedom House NGO ในความควบคุมของรัฐบาลวอชิงตัน ดี.ซี จนทำให้สถานทูตอิหร่านประจำประเทศไทยต้องออกมาตอบโต้
“ท่านผู้ชมครับพรรคก้าวไกลไม่ว่าจะเป็นนายพิธานายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจหรือที่ปรึกษาหรือช่อ-พรรณิการ์หรือปิยบุตรนั้นท่านผู้ชมสังเกตสิประท้วงประเทศต่างๆที่มีปัญหากับสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้นแต่มันไม่เคยประท้วงอเมริกาเลยแม้แต่นิดเดียวทั้งๆที่อเมริกาสร้างสงครามทั่วโลกฆ่าคนอิรักตายกันเป็นล้านๆคนเข้าไปปฏิวัติในลิเบียฆ่านายกัดดาฟีซึ่งประชาชนชาวลิเบียซาบซึ้งถึงคุณงามความดีที่นายกัดดาฟีได้ทำให้ไม่เคยประท้วงอิสราเอลซึ่งรังแกชาวปาเลสไตน์ไม่เคยทำ” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตนเคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่า ยูเครนนั้น ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองและถูกปฏิวัติโดย CIA และกลุ่มหัวรุนแรง พวกนีโอนาซีในยูเครน เพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาจากโปรรัสเซีย ตอนนั้นมีรัฐบาลเป็นรัฐบาลผสมอยู่ร่วมกัน แต่เขาไม่พอใจที่มีรัฐบาลจากพรรคการเมืองโปรรัสเซียขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี แล้วตัวพวกเขาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เลยหาเรื่องประท้วง มีการปฏิวัติส้ม
คนที่ยืนยันเรื่องนี้คือ นางวิคตอเรีย นูแลนด์ (Victoria Nuland) Under Secretary ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่พูดอย่างภูมิใจในการให้สัมภาษณ์กับสื่อตะวันตกว่า การเปลี่ยนแปลงในยูเครนยุคนั้นที่ผลักดันเอาคนโปรอเมริกาขึ้นมา ต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงนายเซเลนสกีนั้น เป็นฝีมือของเธอกับ CIA
“ท่านผู้ชมครับ ฟังด้วยความเป็นธรรมท่านจะเห็นว่าผมไม่ได้มโนเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว หลักฐานมีให้หมด คุณพิธาครับ และติ่งพวกคุณครับ ผมพูดเรื่องการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกา ชาติตะวันตก ในภูมิภาคนี้ มาหลายต่อหลายปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพูด ไม่ใช่เพิ่งพูดตอนนี้ แล้วทำให้คุณและชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาเฮ้าเลี่ยน หาว่าเรื่องการแทรกแซงของทางตะวันตกนั้นเป็นอุปทานหมู่ คุณนี่เรียนจบวิศวะมา น่าจะมีสติปัญญาสักนิด
“ผมเคยวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมไม่ได้เพิ่งมาพูด ผมพูดเรื่อง Hybrid War สงครามพันทาง การวางหมากกลยุทธ์ทางยุทธศาสตร์หมากรุก-หมากล้อม การปิดล้อมจีนตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นการสู้รบกันระหว่างอเมริกากับจีน ผมพูดมาเป็นปีๆ แล้ว”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ได้เคยเตือนแล้วว่าถ้านายพิธา พรรคก้าวไกล ยังเดินไปในแนวทางเดิม คือตามก้นอเมริกาและตะวันตก ซึ่งพวกนี้ไม่สนใจใยดีหรอกว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร สถาบันกษัตริย์จะเป็นอย่างไร ถ้าสถาบันกษัตริย์เอากับมัน มันก็เทิดทูน แต่ถ้าสถาบันกษัตริย์วางตัวเป็นกลางและมีแนวโน้มที่จะเตือนสติคนไทยไม่ให้ก้าวสู่สงคราม มันก็ต้องหาทางล้มสถาบันกษัตริย์ นี่คืออเมริกา สถาบันหลักของชาติจะเป็นอย่างไร สถาบันกษัตริย์ถ้าอยู่แล้วดีกับมัน มันก็ปล่อยให้อยู่ ถ้าไม่ส่งผลดี มันก็พร้อมจะล้ม แล้วมันล้มอย่างไร ? มันก็ใช้พรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และอีกหลายๆ คน ปิยบุตร แสงกนกกุล พรรณิการ์ (ช่อ) วานิช ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีพ่วงแถมเข้ามาคือ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร คนล่าสุด
สถานการณ์การเมืองเมืองไทยนั้นมีความสุ่มเสี่ยง ทิศทางกำลังเริ่มไปในทางยูเครนแล้วทีละนิดๆ ถ้าเราถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสงครามแล้ว ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา พวกคุณและติ่งส้มทั้งหลาย ไม่สนใจความจริงที่มีหนึ่งเดียว สนใจคำโกหกพกลม พวกคุณประกาศเป็นรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี จะกลายเป็นเครื่องมือให้เขาบรรลุเป้าหมายโดยปริยาย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น คุณบอกว่าคุณมีนโยบายต่างประเทศแบบยืนหลังตรง จะกลับลำเอาคืนก็ไม่ทัน เพราะสถาบันล้มไปแล้ว สงครามเกิดขึ้นแล้ว ประชาชนล้มตายไปแล้ว ประเทศชาติก็ล่มสลายไปแล้ว
“เมื่อดูลิสต์รายชื่อคนที่คุณตั้งใจให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายฟูอาดี้ พิศสุวรรณ) นายดอน ปรมัตถ์วินัย ว่าห่วยแตกแล้ว แต่คนหนุ่มคนนี้ ผมจำเป็นต้องพูด ด้วยความเคารพ บิดาเขาคือคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ ซึ่งผมรู้จักดีมาก ทำไมผมถึงบอกว่าห่วยแตกมาก แย่ยิ่งกว่านายดอน ปรมัตถ์วินัย เพราะผมรู้จักคุณสุรินทร์ดี
“คุณสุรินทร์ก็อดีตนักศึกษาฮาร์วาร์ดเหมือนกับคุณพิธา คุณสุรินทร์ตอนมีชีวิตอยู่ ด้วยความเคารพ ผมจะเจอคุณสุรินทร์ในร้านกาแฟ คอฟฟี่ช้อปหลายๆ แห่ง ก็ทักทายกัน รักกันดี แล้วจะมีฝรั่งนั่งคุยด้วย 2-3 คน ตลอดเวลา ตอนนั้นคุณสุรินทร์ก็ดีกับผม ผมก็ดีกับคุณสุรินทร์ ผมก็แอบถามทุกครั้ง เฮ้ย พวกนั้นใครน่ะสุรินทร์ - คุณสนธิ พวกนี้ CIA ผมอนุมานได้ว่าคุณสุรินทร์สนิทกับ CIA มาก อย่างน้อยที่สุดก็พูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง เพราะคุณสุรินทร์จบฮาร์วาร์ด
“คุณเอาลูกชายของคุณสุรินทร์มาเป็นรัฐมนตรีฯ ต่างประเทศ แค่นี้ ผมไม่ต้องอธิบายมากแล้ว ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Q.E.D. (ซ.ต.พ.) ผมเอาการ์ตูนของบัญชา คามิน ซึ่งเจ็บมาก ออกมาให้ท่านผู้ชมดู มีรูปคุณพิธาชูมือ "เลือกก้าวไกล ประเทศไทยเปลี่ยน..." รูปต่อมาคือ โจ ไบเดน พูดต่อให้ประโยคสมบูรณ์แบบ "...เป็นยูเครน"
“วิโรจน์” อย่าโชว์โง่
นายสนธิ กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสมาชิกพรรคก้าวไกลที่เรียกว่า “พวกตัวตึง” ชอบแสดงท่าทีก้าวร้าว นึกว่าตัวเองเป็นเจ้าแห่งเกรียนคีย์บอร์ด แต่อ่อนด้อยทางปัญญา ขาดความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ทั้งด้านการเมือง การทูต การด้านต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ออกมาโชว์โง่ บอกว่าที่ปั่นกันเรื่องการแทรกแซงการเมืองไทยของสหรัฐอเมริกานั้นเป็นแค่อุปทานหมู่
รวมถึงปล่อยข่าวไปยังสื่อ และ Influencer หลายคนบอกว่า“สหรัฐฯ ไม่ยอมขายเครื่องบินขับไล่ F-35 ให้ไทยดังนั้น เรื่องที่บอกว่าอเมริกาจะมาตั้งฐานทัพในไทยก็คงไม่มีมูลความจริง”
วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม 2566 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก รัวๆ ด้วยข้อความเหล่านี้
"เรื่องทาสอเมริกา เป็นเรื่องแต่งมอมเมา เรื่องมาเฟียจีนสีเทา นี่สิ! เป็นเรื่องจริง"
"อุปาทานหมู่ กลัวอเมริกา จะแทรกแซง แต่ 9 ปี ดันปล่อยให้จีนเทา มาแทรกซึม"
"ลืมตากี่ที ประเทศไทย ก็ยังเป็นของเรา แต่พอรับสายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รู้สึกว่าประเทศนี้เป็นของจีนสีเทาทันที"
ดูเหมือนนายวิโรจน์ กำลังพยายามจะโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าเรื่องที่พรรคก้าวไกลจะเปิดทางให้อเมริกาเข้ามาแทรกแซงประเทศไทยนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ขณะเดียวกันนายวิโรจน์ก็แถไปว่า ที่มีอยู่ในไทยตอนนี้มีแต่ “ทุนจีนสีเทา”
นายสนธิ กล่าวว่า นายวิโรจน์จะเอา 2 เรื่องมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ การที่ทุนจีนสีเทาเข้ามาครอบงำประเทศไทย ต้องถามว่า ใครเปิดประตูให้ทุนจีนสีเทาเข้ามา ใครรับเงิน ใครเอื้อประโยชน์
ที่ “ทุนจีนสีเทา” เข้ามาได้เพราะเขารู้ว่า นักการเมืองไทย ตำรวจไทย ข้าราชการไทยซื้อได้ เอาเงินยัดได้ ไม่เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลจีน เพราะถ้าคนของเราแข็งเขาก็เข้ามาไม่ได้ แล้วที่สำคัญจีนเขาไม่ได้เข้ามาแทรกแซงการเมือง-การเลือกตั้งของไทย ไม่ได้ปล่อยให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร หรือนักการทูตของเขามาเดินสายแทรกแซงนักการเมือง หรือ การเลือกตั้งของไทย
ไม่เหมือนกับกรณีสหรัฐอเมริกา ที่รอยเท้า กับ หลักฐานในการแทรกแซงการเมืองไทย การเลือกตั้งไทยนั้นเต็มไปหมดเลย
นายวิโรจน์น่าจะเป็นคนที่มีสติปัญญา เรียนสูง จบวิศวฯ จบปริญญาเอก ดุษฎีบัณฑิต นิด้า จบปริญญาโทจุฬาฯ ทำงานมาสิบกว่าปี
“พวกติ่งส้มครับ ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีให้ข้อมูลมันเข้าสมองพวกคุณ ทุกวันนี้คุณไปดูสถานกงสุลสหรัฐฯ คุณไปแหกตาดูได้ รวมทั้งคุณวิโรจน์ด้วย ที่กำลังสร้างใหม่ที่เมืองเชียงใหม่ใช้เงินไปหมื่นล้านบาท แล้วคุณไปเปรียบเทียบดูว่า ไม่ต้องกงสุล มีสถานทูตไหนในไทยบ้างใช้เงินหมื่นล้านสร้าง แล้วนี่เป็นแค่กงสุล เพราะฉะนั้นมันไม่ได้ไม่เข้ามาหรอก มันเข้ามาแล้ว คุณวิโรจน์ แล้วมันจะแทรกซึมขยายเพิ่มเติมต่อไปเรื่อยๆ
“เพื่อเป็นหลักฐานประจักษ์ให้คุณเข้าใจเรื่องราวต่างๆ สถานทูตอเมริกันได้เปิดสถานกงสุลที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ซึ่งถ้าคุณลากเส้นจากเชียงใหม่ขึ้นไป ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ก็ถึงเมืองเฉิงตู ที่สถานทูตอเมริกันเคยเปิดกงสุลไว้
“อเมริกาใช้กงสุลอเมริกาที่เมืองเฉิงตู เป็นแหล่งดักฟังโทรศัพท์ เป็นแหล่งแทรกซึมเข้าไปในประเทศจีน เพราะติดกับเสฉวนคือทิเบต ข้างๆ ทิเบตขึ้นไปคือซินเจียง-อุยกูร์ จีนอยากจะปิดสถานกงสุลที่เฉิงตูใจแทบขาด แต่กลัวว่าผิดมารยาททางการทูต เพราะไม่มีเรื่องให้ปิด แต่โชคดีของจีนที่นายทรัมป์บ้ามันอาละวาดใส่จีน ในยุคที่มันเป็นประธานาธิบดี แล้วมันปิดกงสุลจีนที่เมืองฮูสตัน จีนเลยได้โอกาสปิดสถานกงสุลของอเมริกาที่เมืองเฉิงตู ทำให้อเมริกาหูหนวกตาบอด มองอะไรไม่เห็นเลย ดักฟังอะไรก็ดักฟังไม่ได้ ในที่สุดก็เลยมีการตกลงกันว่าถ้าอย่างนั้นต้องใช้เชียงใหม่ ทำไมถึงต้องเป็นเชียงใหม่ ? เพราะเชียงใหม่นั้นไปทางตะวันตกนิดเดียวคือพม่า ขึ้นไปข้างบนก็คือจีน แล้วมีความเป็นไปได้สูงที่จะเชื่อมระหว่างกงสุลอเมริกาที่เชียงใหม่ กับสำนักงานนาโต 2 ที่ญี่ปุ่น เชื่อมเข้าหากัน”
นายสนธิ กล่าวต่อ ว่า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ นอกจากจะมีการประชุม G7 ที่ฮิโรชิมา ญี่ปุ่น ซึ่งประเด็นหลักคือเรื่องยูเครน และการปิดล้อมจีน โดยอาศัยความร่วมมือจากนานาประเทศ รวมถึง กรณีนาโต้กำลังจะไปเปิดสำนักงานภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกที่ญี่ปุ่นแล้ว ทั้ง ๆ ที่นาโต้ (NATO) มันย่อมาจากNorth Atlantic Treaty Organization หรือ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือคือ ประเทศในแถบตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น แต่วันนี้มันมาจุ้นจ้านในเอเชีย ตั้งสำนักงานในญี่ปุ่นแล้ว
“แล้วผมไม่แน่ใจว่าคุณวิโรจน์ กับ พวกด้อมส้มของคุณเคยเปิดอ่าน แผนยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ หรือเปล่า ซึ่งผมพูดมานานแล้ว เอาเอกสารมาให้ดูเลยว่าเขาเขียนถึงไทยไว้ว่าอย่างไรบ้าง ผมจะคัดบางตอนเอามาฉายซ้ำให้ฟัง”
ไทยกลายเป็น“1 ใน 5 หมาก”ของสหรัฐฯ ในยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก
สำหรับ สหรัฐฯ นั้น เขาเล่นเกมหมากรุกของเขาด้วยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Strategy)ที่มีจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดคือ การปิดล้อมจีน โดยคำที่เขาใช้บ่อย ๆ ก็คือ“อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง” ซึ่งไทยนั้นมีความสำคัญมาก หรืออาจจะเรียกได้ว่าเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และเชิงการทหารแล้ว ประเทศไทยนั้นมีความสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ว่าได้
ทั้งนี้ใน รายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ Ep.54 เดือนตุลาคม 2563 เคยเอาเอกสารมาเปิดเผยให้ดูแล้วว่า 2 หน่วยงานหลักในสหรัฐฯ คือ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้จัดทำรายงาน มีการกำหนดประเทศเป้าหมายด้วยว่าประเทศที่สหรัฐให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินยุทธศาสตร์ คือประเทศในกลุ่มใดบ้างโดยสหรัฐจำแนกพันธมิตรออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มประเทศที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย
“แล้วคุณวิโรจน์รู้หรือเปล่า คุณเบิกเนตรหน่อยว่า ตอนนี้ญี่ปุ่นจะให้อเมริกาไปติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางที่ญี่ปุ่นแล้ว เกาหลีใต้พร้อมที่จะส่งอาวุธไปช่วยยูเครน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลียเป็นกลุ่ม QUAD ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคานอำนาจจีน และฟิลิปปินส์ ทำไมฟิลิปปินส์ ? ฟิลิปปินส์พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า นายมาร์กอส จูเนียร์ ลูกของพ่อซึ่งเป็นอดีตเผด็จการฟิลิปปินส์ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส อนุญาตให้ฟิลิปปินส์เป็นที่ตั้งของฐานทัพอเมริกา 4 ฐานทัพ และคุณวิโรจน์รู้ไหม ประเทศสุดท้ายในกลุ่มประเทศที่ให้ความสำคัญที่สุดของอเมริกา คือใคร ? ประเทศไทยครับ นี่มันระบุในเอกสารเลย คุณวิโรจน์ ผมจะไปมโนมาจากไหนล่ะ อุปทานหมู่หรืออย่างไร”
2. กลุ่มที่ต้องกระชับความสัมพันธ์ ได้แก่ สิงคโปร์ ไต้หวัน นิวซีแลนด์ มองโกเลีย
3. กลุ่มที่ต้องสร้างและขยายความร่วมมือในมหาสมุทรอินเดียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟ บังกลาเทศ เนปาล เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย
4. กลุ่มที่สหรัฐต้องเข้าไปร่วมวางพื้นฐานความสัมพันธ์ ได้แก่ บรูไน สปป.ลาว และกัมพูชา โดยพันธมิตรของสหรัฐในการเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับอินโด-แปซิฟิก คือ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และแคนาดา
เพนตากอนชี้ชัด "ไทย" จุดสำคัญทางภูมิยุทธศาสตร์ของอินโด-แปซิฟิก
นอกจากนี้เมื่อเจาะลึกรายประเทศ รายงานฉบับดังกล่าวของเพนตากอนในหน้าที่ 29-30 ยัง ระบุชัดเจนถึงตำแหน่งแห่งที่ของประเทศไทยด้วยว่า เป็น “จุดยุทธศาสตร์สำคัญ” ของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
"ในฐานะของพันธมิตรของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของอาเซียน และตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์ระหว่างเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีบทบาทเป็นกุญแจสำคัญในเชิงภูมิยุทธศาสตร์ (Geostrategic) ของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การสามารถเข้าถึงท่าเรือและฐานทัพอากาศที่อู่ตะเภา รวมไปถึงท่าเรือน้ำลึกสัตหีบนั้นเป็นช่องทางที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับการวางกำลังของกองกำลังสหรัฐฯ" รายงานดังกล่าวระบุ และยืนยันด้วยว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ พึงพอใจต่อการแบ่งปันข้อมูลกับทางการไทย ผ่านข้อตกลงในการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองทางการทหาร
ต่อมา เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ยังมีการเผยแพร่เอกสารสำคัญของทางทำเนียบขาว ซึ่งระบุ ข้อความสำคัญที่ระบุถึงบทบาทของประเทศไทยในแผนการของสหรัฐฯ ที่กำลังจะดำเนินการต่อต้านจีน
เอกสารชิ้นนี้มีความยาว 19 หน้า ใช้ชื่อว่า“ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐฯ (Indo-Pacific Strategy of The United States)” เผยแพร่โดยทำเนียบขาว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565
ในหน้าที่ 3 ของเอกสารดังกล่าว หัวข้อ“The Indo-Pacific’s Promise (คำมั่นสัญญาเกี่ยวกับอินโด-แปซิฟิก)” ระบุว่า “สหรัฐฯ คือ ขุมกำลังของอินโดแปซิฟิก ภูมิภาคซึ่งเชื่อมโยงจากชายฝั่งแปซิฟิกของสหรัฐฯ ไปถึงมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีประชากรมากกว่าครึ่งโลก, ระบบเศรษฐกิจประมาณ 2 ใน 3 ของโลก และกำลังทางทหารที่ยิ่งใหญ่ 7 อันดับต้นของโลก โดยภูมิภาคนี้สนับสนุนงานของชาวอเมริกันประมาณ 3 ล้านคน และเป็นแหล่งเงินลงทุนทางตรงของสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
“นอกจากนี้ในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้า ภูมิภาคนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกมากกว่า 2 ใน 3 และอิทธิพลก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกา”
ย้ำชื่อ “ประเทศไทย” 3 จุด ยืนยันความเป็นพันธมิตรใกล้ชิดทางความมั่นคงกับสหรัฐฯ
ในรายงานดังกล่าวหน้าที่ 4 ย่อหน้าที่ 2 ยังระบุข้อความสำคัญข้อความหนึ่งไว้ด้วยว่า
“… สงครามโลกครั้งที่ 2 ย้ำเตือนสหรัฐอเมริกาว่า ประเทศของเราจะมีความมั่นคงได้ หากเอเชียก็มีความมั่นคงด้วยเช่นกัน และหลังจากยุคหลังสงครามโลก สหรัฐฯ ก็กระชับสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคนี้ ด้วยสนธิสัญญาที่แข็งแกร่งกับพันธมิตร อย่าง ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์ และไทย .”
ขณะที่ ในย่อหน้าต่อมายังกล่าวด้วยว่า“หลังการสิ้นสุดของสงครามเย็น หลังผ่านการพิจารณาแล้วสหรัฐอเมริกาจึงปฏิเสธความคิดที่จะการถอนกำลังทหาร (Military Presence) ออกจากภูมิภาคนี้ เพราะทราบดีว่าภูมิภาคนี้จะทวีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์เพิ่มขึ้นในศตวรรษที่ 21”
“ท่านผู้ชมครับ คุณวิโรจน์ครับ ถ้าคุณเข้าใจตรงพารากราฟนี้ คุณจะรู้ว่านัยของอเมริกาก็คือว่า อย่างไรกูก็ไม่ออกไป กูต้องมายึดภูมิภาคนี้ให้เป็นของกูให้ได้ คำว่า "เป็นของกู" หมายความว่ารัฐบาลเป็นพวกกู กูขออะไรไปมึงก็ให้มา กูจะขอเข้ามาเพื่อใช้มึงเป็นทางผ่านไปรุกพม่า จากพม่าจะได้ขึ้นจีนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน หรือมาสร้างกงสุลราคาหมื่นล้านบาท แล้วดักฟัง ทำการจารกรรมต่อประเทศจีน มึงต้องให้กู มึงควรจะให้กู เพราะว่ากูสำคัญกับมึงมาก”
นอกจากนี้ในหน้าที่ 9 หัวข้อที่ 2 เรื่องBuild Connections within and beyond the regionยังระบุถึงประเทศไทยด้วยว่า เป็น 1 ใน 5 ประเทศพันธมิตรใกล้ชิดที่มีสนธิสัญญา
หน้าที่ 13 ในหัวข้อที่ 4 หัวข้อBolster Indo-Pacific Security หรือแปลว่าสนับสนุนความมั่นคงของอินโด-แปซิฟิกก็ยังยืนยันความสำคัญของไทยอีกด้วยว่า “เราจะพัฒนาความทันสมัย (ของกองทัพ) ในหมู่พันธมิตรที่มีสนธิสัญญากัน คือ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และ ไทย ...”
“ดมิทรี เมดเวเดฟ” อดีตผู้นำรัสเซียคนใกล้ชิด “ปูติน” เยือนลาวแบบเงียบๆ
วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม 2566 นายดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย อดีตประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีรัสเซีย และคนสนิทของนายวลาดิเมียร์ ปูติน ได้เดินทางมาเยือนลาวแบบเงียบ ๆ
“คุณวิโรจน์ครับ เขามาเยือนลาวทำไม ลาวสำคัญขนาดไหน ? สำคัญสิ สำหรับเขา เพราะเขาอ่านเกมออก เพราะว่าเขารู้ล่วงหน้าเลยว่าพวกคุณ คือพรรคก้าวไกล แล้วคุณพิธา และแกนนำพรรคก้าวไกล ก็คือสุนัขรับใช้ของอเมริกา เขาต้องมาป้องกันไม่ให้อเมริกาใช้ประเทศไทยเป็นฐาน แล้วคุณรู้ไหมว่าได้มีการตกลงกันที่จะซ้อมรบระหว่างจีน รัสเซีย และลาว
“คุณไม่เคยเอะใจบ้างเลยหรือว่าประเทศลาวจะไปรบกับใคร ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว นี่คือยุทธการหมากล้อมที่รัสเซียและจีนวางเอาไว้ ถ้าไทยพูดไม่รู้เรื่อง ถ้าไทยเข้าข้างอเมริกาเต็มตัว เขาจะมีลาว เขาจะมีเขมร และเขาจะมีพม่าเป็นหมากล้อมไว้ เขาตั้งฐานทัพเอาไว้ล้อมไทยเพื่อประจันหน้ากับอเมริกา แล้วคุณเห็นเกมหรือยังว่านี่คือการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่ารัสเซียมีฐานทัพของรัสเซียอยู่ทางเหนือของลาวตอนนี้ จีนกำลังเตรียมกำลังคนหนึ่งแสนคน ให้ลงมาประจำที่ลาว เตรียมต้อนรับการเข้ามาเป็นรัฐบาลของพรรคก้าวไกล แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าพม่า ที่คุณพิธาปากเสีย เข้าไปยุ่งเรื่องราวของเขา จีนมีทหารจีนอยู่ในพม่าหนึ่งแสนคนเรียบร้อยตั้งนานแล้ว เพื่ออะไร ? เขาเอามาปกป้องท่อส่งก๊าซ ซึ่งส่งจากบ่อก๊าซในทะเลในพม่าไปยังรัฐยูนนาน เขาไม่ต้องการให้มีการก่อการร้ายขึ้นมา แล้วทหารจีนหนึ่งแสนคนกำลังขยับออกมาจากท่อส่งก๊าซ ใกล้เข้ามาทางประะเทศไทยทุกที นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็กเล่นหมากเก็บกันนะ นี่คือความจริง” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า เรื่องสหรัฐฯ ไม่อนุมัติให้ขายเครื่องบิน F-35 ให้กองทัพอากาศไทยนั้น จริง ๆ แล้ว ต้องถือเป็นเรื่องมงคล เพราะถ้าหากติดตามข่าวอย่างใกล้ก็จะทราบดีว่า เครื่องบินรุ่นนี้นั้นเกิดอุบัติเหตุตก หรือขัดข้องบ่อยที่สุด อิสราเอลซื้อ F-35 ไป 2 ฝูง ยังสั่งว่า 1 ฝูง ไม่ให้ใช้ เพราะมีปัญหาทางเทคนิคมาก
“ผมเคยทักท้วงไปแล้ว แต่มีนายทหารอากาศจำนวนหนึ่งในกองทัพอากาศ ซึ่งอยากเท่ มีเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ไว้ประดับฝูงบิน หรืออยากได้ค่าคอมมิชชันผมก็ไม่รู้
“เพราะฉะนั้นการที่พรรคก้าวไกลมาอ้างว่าอเมริกาไม่ขายเครื่องบิน F-35 แสดงว่าความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนั้น ต้องเรียกว่าเป็นความตื้่นเขินทางต่างประเทศ เพราะแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และการดำเนินการปิดล้อม เตรียมโต้กลับจีนถ้าเกิดอะไรขึ้นนั้น ประเทศไทยได้ถูกวางเอาไว้แล้วว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“แล้วคุณวิโรจน์ คุณจะรู้หรือเปล่าว่า ทูตอเมริกาในเมืองไทย นายโกเดค มันไม่เหมือนทูตในอดีต เพราะทูตในอดีตที่มาประเทศไทยนั้น เป็นคนที่สนับสนุนพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล ได้รางวัลมาเป็นทูต เหมือนกับทูตของอเมริกาที่ไปอยู่ที่อังกฤษเช่นกัน
“ทูตคนที่แล้วของอเมริกาที่มาเมืองไทยนั้น เป็นนักธุรกิจ สนใจตีกอล์ฟ แต่งวดนี้ ตั้งแต่โจ ไบเดน ขึ้นมา และแอนโทนี บลิงเคน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เขาเลือกทูตมาประจำประเทศไทยเป็นข้าราชการประจำกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่เข้าไปป่วนประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตูนิเซีย ซึ่งนายคนนี้เคยไปมาแล้วหลายประเทศ ประเทศที่กำลังจะก่อให้เกิดการจลาจล ยุยงส่งเสริมให้ประชาชนในประเทศฆ่ากันเอง แล้วมันจะได้เข้ามา รวมทั้งแผนการล้มล้างสถาบันกษัตริย์อีกด้วย”
นายสนธิ กล่าวว่า ถ้าถามว่าสถาบันกษัตริย์สนิทสนมกับประเทศไหนมาก ประเทศจีน สมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ประกอบพระราชพิธีทรงผนวชให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งยังเป็นรัชทายาทอยู่ในขณะนั้น พระองค์ท่านเชิญนายเติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้นำต่างประเทศคนเดียวมาในงาน และอยู่ด้วย 4-5 วัน สนทนากันนาน
“รัสเซียกับราชวงศ์ไทยผูกพันกันมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ขนาดไทยไปด่าแม่รัสเซียตามคำสั่งของอเมริกา โดยนายเฮ้าเลี่ยนดอน รัสเซียยังอุตส่าห์พูดบอกว่าเข้าใจประเทศไทยดี”
นายสนธิ กล่าวย้ำว่าจากประเด็นปัญหาเรื่องสหรัฐฯ และชาติตะวันตก กำลังแทรกแซงการเมืองของไทย และภูมิภาคนี้ ถ้าทางพรรคก้าวไกลรวมถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อยากถกเถียงเรื่องนี้ อยากดีเบตเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ช่วยเบิกเนตรให้ใครหลายคน และที่สำคัญ อาจจะช่วยป้องกันสงครามมิให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ อยากให้มัดรวมกันมาเลย ทั้งนายพิธา, นายวิโรจน์, นายชูวิทย์หรือจะเอาไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุกับฟูอาดี้ พิศสุวรรณ (ลูกชายนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ) มาด้วยก็ได้
“ไสม้าเข้ามา ผม สนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมเสมอ”
“ก่อนจะจบเรื่องนี้ ผมมีข้อมูลข้อเท็จจริงอันหนึ่งให้คุณวิโรจน์ได้ทราบ ทุนจีนที่คุณพูดถึง ประเทศจีนเขาบอกว่าคนพวกนี้เป็นคนที่มีปัญหากับประเทศจีน แล้วหนีออกนอกประเทศ มีทั้งข้าราชการจีนที่คอร์รัปชันแล้วหนีมาอยู่เมืองไทย บางคนหนีไปอยู่อเมริกา ทุนจีนที่โดนหมายจับ หลอกลวงประชาชนอยู่ในจีน แล้วหนีมาเมืองไทย เขาพูดอย่างนี้
“เขาบอกว่า เขาไม่เคยสนับสนุนพวกนี้ ประเทศไทยดำเนินคดีอะไรก็ตามกับคนจีนที่ผิดกฎหมายเมืองไทย เขาเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ไปถามตำรวจไทยดู จีนส่งเรื่องให้ช่วยจับตามหมายจับของจีน แล้วตำรวจไทยก็จับไปได้หลายคนแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว จีนเขาไม่ได้รู้เรื่องด้วย และเขายินดีถ้าประเทศไทยจะปราบปรามคนพวกนี้อย่างเต็มที่ และการที่คุณมาบอกว่าทุนจีนมา ทุนสีเทามา นี่คุณมโน จีนเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ผมไม่ได้ปกป้องประเทศจีน แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“เคยมีไหมที่เขาจับคนจีนมา แล้วมีเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนโผล่ไปที่โรงพัก เหมือนกับที่คุณธนาธรโดนดำเนินคดีมาตรา 116 แล้วคุณก็เชิญทูตตะวันตกมาทุกคน มาให้กำลังใจ เฮ้ย! ตลก จีนเขาไม่เคยแทรกแซง เราเข้าใจตรงกันนะ ทีหลังจะมโนเรื่องอะไรก็ตาม คิดสักนิด ศึกษามากหน่อย มองอะไรที่รอบด้านหน่อย” นายสนธิ กล่าว