โดย วลัญช์ ศรัทธา
หมูเถื่อนเข้ามาเบียดเบียนตลาดหมูไทยขายหมูตัดราคาสร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทยทั่วประเทศมาตั้งแต่ต้นปี 2565 หมูเหล่านี้ไม่ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยทางอาหาร เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคไทยอย่างยิ่ง ขณะที่ภาครัฐลงมือตรวจสอบจับกุมและติดตามเส้นทางหมูเถื่อนอย่างใกล้ชิด โดย “ห้องเย็น” เป็นหนึ่งในห่วงโซ่มิจฉาชีพ โดยทำหน้าที่เป็น “แหล่งพัก” หมูเถื่อนหลังขึ้นจากท่าเรือ ก่อนส่งกระจายขายสู่ตลาดทั่วไทย จึงทำการตรวจค้นห้องเย็นหลายแห่ง
หากยังจำกันได้เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2565 กรมปศุสัตว์แถลงข่าวการสนธิกำลังกับ ปคบ.เข้าตรวจสอบ “อนุสรณ์ห้องเย็น” ในจังหวัดสมุทรสาคร และพบ “หมูเถื่อน” ถูกเก็บสต๊อกอยู่ในห้องเย็นแห่งนี้จำนวนมากถึง 439,599 กิโลกรัม
ในที่สุดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2566 ศาลจังหวัดสมุทรสาครได้พิจารณาคดีดังกล่าว โดยพิพากษาตามฐานความผิด “นำเข้า ส่งออก หรือ นำผ่านราชอาณาจักร ซึ่งสัตว์ หรือซากสัตว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตฯ และเคลื่อนย้ายซากสัตว์เข้า ออก ผ่าน หรือภายในเขตพื้นที่ประกาศเขตกำหนดโรคระบาด หรือเขตเฝ้าระวังโรคระบาด ตามมาตรา 21 โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามมาตรา 22, 31 ต้องระวางโทษตามมาตรา 65, 68 แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558”
กล่าวโดยสรุปคือ จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ไม่มีใบอนุญาตนำเข้า พ.ร.บ.ไม่มีใบเคลื่อนย้าย โดยศาลตัดสินลงโทษจำคุกจำเลย 2 ราย เป็นเวลา 15 เดือน และ 9 เดือน รวมจำคุก 2 ปี โทษปรับ 35,000 บาท และ 25,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และคุมประพฤติ 1 ปี นับเป็นความสำเร็จในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดได้อย่างเป็นรูปธรรม
กรณีนี้ต้องปรบมือให้กับความพยายามและจริงจังของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน แม้ “ห้องเย็น” จะเป็นเพียงห่วงโซ่มิจฉาชีพส่วนหนึ่งของการกระทำผิด เพราะหมูเถื่อนเป็นเรื่องของ ”กระบวนการ” ที่ยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายขั้นตอน ตั้งแต่ผู้นำเข้า การผ่านแดน ชิปปิ้ง การขนส่ง ห้องเย็น ผู้กระจายสินค้าสู่ผู้บริโภค และอื่นๆ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่เอาจริงเอาจัง การกวาดล้างทั้งขบวนการก็ไม่น่าจะเกินวิสัยที่จะทำได้ ซึ่งจะส่งผลดีโดยตรงต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและป้องกันโรคระบาดสัตว์แล้ว ยังจะส่งผลดีต่อสุขอนามัยของผู้บริโภคชาวไทยด้วย
คดีนี้เป็นกรณีตัวอย่างสำหรับคนที่เกี่ยวข้องอยู่ใน “ขบวนการลักลอบนำเข้าหมูผิดกฎหมาย” ที่ควรต้องตระหนัก และยุติการกระทำทันที การเป็นคนดีๆ ทำการค้าปกติก็ไม่ต้องมีชนักติดหลัง ไม่ต้องมีประวัติผู้ร้ายติดตัวย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ ขณะที่ปัจจุบันยังมีอีกหลายคดีที่อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งคงได้เห็นความผิดตาม พ.ร.บ.กรมศุลกากร ที่มีโทษหนักโดยไม่รอลงอาญาในเร็วๆ นี้ และเชื่อว่าสังคมจะค่อยๆ ได้เห็นหน้าตาผู้เกี่ยวข้องที่จะถูกกระชากหน้ากากออกมาทีละคน และในที่สุดจะได้เห็น “ตัวบงการ” ที่ทำร้ายคนไทยอย่างเลือดเย็นมานานปี