1.ป.ป.ช. มีมติฟ้อง "หมอพรทิพย์" จัดซื้อ GT 200 หลัง อสส.ไม่ฟ้อง ด้าน "หมอพรทิพย์" ยันไม่ได้เซ็นอนุมัติ กลับถูกฟ้อง กองทัพจัดซื้อเป็นพันเครื่องไม่ถูกฟ้อง!
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ได้มีมติเอกฉันท์ให้สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องคดีจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารเสพติด GT200 และ Alpha (อัลฟา) 6 ในส่วนของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่มี พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
นายนิวัติไชย ชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุด และได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วม แต่หาข้อยุติไม่ได้ เนื่องจากทางอัยการสูงสุด เห็นว่า ยังมีความไม่สมบูรณ์ จึงเห็นว่าไม่ฟ้อง แล้วส่งสำนวนคืนมา เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว จึงมีมติว่าจะดำเนินการฟ้องเอง เพราะเราเชื่อมั่นในหลักฐานว่าข้อเท็จจริงที่เราวินิจฉัย มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างคำฟ้อง คาดว่า จะใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จะสามารถยื่นฟ้องได้ เพราะสำนวนมีอยู่แล้ว
ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ส.ว.ในฐานะอดีต ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์เห็นควรสั่งฟ้องเองในคดีจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารเสพติด GT200 และ Alpha (อัลฟา) 6 ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ว่า เพิ่งทราบว่า ป.ป.ช. มีมติสั่งฟ้องตน ทั้งที่อัยการไม่สั่งฟ้อง หากจะมองว่าการจัดซื้อจัดจ้างของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์มีปัญหาจริง เหตุใดในระดับผู้บริหารมีเพียงตนที่ถูกชี้มูลความผิด แต่ทหารกลับไม่โดน
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เผยว่า นับตั้งแต่มีการจัดซื้อ GT 200 และ Alpha 6 เมื่อปี 2551 ส่วนตัวไม่เคยทราบเลยว่ามีการตรวจสอบเรื่องนี้ กระทั่งปี 2553 จึงทราบ และทราบว่าถูกตั้งข้อกล่าวหาในเดือน ก.พ. 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้อายุความในเดือน ก.ค. ปีเดียวกัน และเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาดอย่างหนัก ป.ป.ช.จึงให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงเป็นเอกสารเท่านั้น ทำให้เอกสารหลักฐานบางอย่างหาไม่ทัน เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานกว่า 10 ปีแล้ว ตนพยายามติดต่อขอเข้าไปชี้แจงด้วยตนเอง แต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับ และถูกชี้มูลความผิดในเดือน ก.ค.2564 แต่ ป.ป.ช. ไม่ได้ส่งเอกสารแจ้งมาที่ตนหรือผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แต่ทราบผ่านกระทรวงต้นสังกัด
โดย ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดตน 4 ประเด็น คือ 1. ไม่ตั้งผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการซื้อเครื่องมือ 2.การจัดซื้อในครั้งที่ 2 ราคาสูงกว่าครั้งที่ 1 และ 3 ประมาณ 8 หมื่นบาท/เครื่อง 3.ไม่มีการจัดส่งสำเนาสัญญาสั่งซื้อเครื่องให้กับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) 4.การตัดสินใจในการใช้เครื่องมือ ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย
โดยหลังจากที่ถูกชี้มูลความผิด คุณหญิงพรทิพย์ ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมไปยัง ป.ป.ช. อัยการ และถวายฎีกา พร้อมกับส่งพยานหลักฐานทั้งหมดไป เพื่อชี้แจงว่า สถาบันนิติวิทยาศาตร์จัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารเสพติด เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนใต้มีความเสี่ยงอย่างมาก มีเหตุระเบิดรายวัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในช่วงแรกจึงประสานขอความร่วมมือจากทหารเป็นผู้เข้ามาตรวจสอบให้
แต่ต่อมาภารกิจมีมากขึ้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถมาตรวจสอบให้ได้ สถาบันฯ จึงตัดสินใจจัดซื้อเครื่องมือเอง โดยเลือกซื้อเครื่องมือแบบเดียวกับที่กองทัพไทยและอังกฤษใช้ ส่วนประเด็นเรื่องการตั้งผู้เชี่ยวชาญนั้น ในระเบียบพัสดุไม่ได้บังคับให้ต้องตั้งเสมอไป ส่วนข้อกล่าวหาไม่เปรียบเทียบราคาจัดซื้อครั้งที่ 2 ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะในการจัดซื้อครั้งนั้น ตนไม่ได้เป็นผู้ลงนามอนุมัติจัดซื้อ เนื่องจากติดภารกิจในพื้นที่ภาคใต้ ผู้ลงนามเป็นรักษาการผู้อำนวยการ แต่บุคคลดังกล่าวกลับไม่ถูกชี้มูลความผิด รวมถึงเลขานุการฯ ที่กำกับดูแลการจัดซื้อก็ไม่ถูกชี้มูลด้วยเช่นกัน ส่วนสำเนาสัญญาการจัดซื้อนั้น มีหลักฐานการตรวจสอบภายในสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่ยืนยันว่า ได้ส่งสัญญาการจัดซื้อไปให้ สตง.แล้ว จึงไม่แน่ใจว่า ป.ป.ช.ได้เห็นหลักฐานดังกล่าวหรือไม่ เหตุใดจึงยืนยันจะฟ้องตน
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การจะใช้ผลการวิจัยของต่างประเทศที่ระบุว่า เครื่องมือไม่ได้มาตรฐานในปี 2553 มาให้โทษผู้จัดซื้อในปี 2551 เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เราไม่ควรเอาเรื่องในอนาคตมาตัดสินปัจจุบัน และเหตุใดในระดับนโนบาย มีเพียงตนคนเดียวที่ถูกดำเนินคดีจากหน่วยงานทั้งหมดที่ถูกตรวจสอบ ทั้งที่กองทัพในประเทศไทยจัดซื้อเป็น 500-1000 เครื่อง และตนเองก็ไม่ได้มีส่วนข้องกับกระบวนการจัดซื้อ แต่ ป.ป.ช. พยายามให้ตนรับผิดชอบกับการจัดซื้อบางตัวที่มีการเพิ่มราคา ทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้อนุมัติ
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ บอกว่า กังวลจนเลิกกังวลแล้ว ต้องขอบคุณอัยการที่ยังให้ความเป็นธรรมกับตน หลังจากนี้จะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อตนเองและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน
.
2.ศาลพิพากษาปรับ "นอท กองสลากพลัส" 2.6 ล้าน ขายสลากกินเเบ่งเกินราคา เจ้าตัวอ้าง ที่สารภาพ เพื่อให้เรื่องจบ เชื่อ ไม่มีผลต่อคดีอื่นที่สู้อยู่!
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ "นอท กองสลากพลัส" พร้อมผู้บริหารบริษัท ลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด และทนายความ ได้เดินทางเข้าพบอัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 1 เพื่อรับฟังคำสั่งฟ้องในคดีขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา และขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับผู้ที่มีอายุไม่ถึง 20 ปี
คดีนี้ สืบเนื่องจากตำรวจ ปคบ. ได้นำสำนวนกว่า 2,500 แผ่น ที่รวบรวมพยานหลักฐานจากทั่วประเทศได้ กว่า 384 คน จากที่ตรวจพบรายการโอนเงินกว่า 4,000 รายการ มาส่งให้กับอัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 1 พิจารณาสั่งฟ้อง ก่อนนัดฟังคำสั่งฟ้องในวันที่ 10 มี.ค. โดยอัยการฯ มีคำสั่งฟ้องและนำสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหายื่นฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือทันที
นายศุภชัย เศวตกิตติกุล อัยการเชี่ยวชาญสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 1 เผยว่า อัยการได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา 3 คน คือ นอท กองสลากพลัส นิติบุคคล และกรรมการบริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด ใน 2 ข้อหา คือ ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา และขายสลากกินแย่งรัฐบาลให้แก่เยาวชนที่มีอายุไม่ถึง 20 ปี จำนวน 510 กรรม ตามพยานที่มีการสอบปากคำพยานมากกว่า 300 กว่าคน
ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้จะสอบคำให้การจำเลย หากจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจะสั่งปรับและสามารถจบคดีได้เร็ว แต่หากจำเลยให้การปฏิเสธ ก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลโดยจะมีการนัดสอบคำให้การและสืบพยานในชั้นศาลต่อไป แต่คดีนี้มีพยานบุคคลจำนวนมาก อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการสืบพยานนานพอสมควร
ด้านนายพันธ์ธวัช หรือ "นอท กองสลากพลัส"ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนขณะเดินทางไปศาลแขวงพระนครเหนือ เพียงสั้นๆ ว่า ตนอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ไม่สามารถพูดอะไรมากกว่านี้ได้
ต่อมา ศาลได้อ่านอธิบายคำฟ้องและสอบคำให้การจำเลยแล้ว ปรากฎว่า จำเลยให้การรับสารภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายพันธ์ธวัช หรือ นอท กองสลากพลัส ให้การปฏิเสธในชั้นพนักงานสอบสวน ก่อนจะมากลับคำให้การ รับสารภาพในชั้นศาล ศาลจึงมีคำพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตาม พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาลพ.ศ. 2517 มาตรา 39, 39/2 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงตามความผิดไป
ความผิดฐานร่วมกันขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาและฐานร่วมกันขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้แก่บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันร่วมกันขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาเพียงบทเดียว ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 และ 2 กระทงละ 4,000 บาท รวม 510 กระทง รวมปรับรายละ 2,040,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 ปรับกระทงละ 4,000 บาท รวม 316 กระทง รวมปรับ 1,264,000 บาท แต่จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง รวมปรับจำเลยที่ 1 และ 2 รายละ 1,020,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 ปรับ 632,000 บาท
ด้านนายพันธ์ธวัช หรือ นอท กองสลากพลัส เผยในเวลาต่อมาว่า ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากตั้งแต่ในขณะนั้นยอมรับว่า ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในรูปแบบเก่า โดยไม่ได้คิดบริการแยกออกจากค่าสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงตัดสินใจรับสารภาพ ซึ่งศาลได้พิพากษาสั่งให้ปรับเป็นจำนวนเงิน 2,672,000 บาท ซึ่งที่ยอมรับสารภาพ เพื่อให้คดีจบๆ ไป ไม่อยากเสียเวลาทำมาหากิน
ส่วนคดีที่ถูกสำนักงานกินแบ่งรัฐบาลดำเนินคดีที่ศาลจังหวัดนนทบุรีนั้น นอท กองสลากพลัส กล่าวว่า เป็นการฟ้องคนละส่วนกัน เนื่องจากระยะเวลาที่สั่งฟ้องได้คิดค่าบริการรูปแบบใหม่ แยกส่วนค่าบริการออกจากค่าสลากกินแบ่งรัฐบาลอย่างชัดเจน จึงยังต่อสู้คดีนั้นอยู่ ส่วนจะเปิดแพลตฟอร์มขายลอตเตอรี่ออนไลน์ใหม่หรือไม่นั้น ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้อยู่ระหว่างต่อสู้หลายคดี
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (10 มี.ค.) เฟซบุ๊ก "นอท พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์" ของ นอท กองสลากพลัส ได้โพสต์ข้อความว่า "คดีที่ตัดสินวันนี้ คือคดีที่ตำรวจไปเคาะประตูบ้านลูกค้า 4,200 คดีทั่วประเทศ แต่มีลูกค้าผมให้ปากคำเพียง 300 กว่าคน ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2564”
"ซึ่งผ่านมาจะหมดอายุความในวันที่ 24 มีนาคมนี้แล้ว ตอนนั้นผมขายสลากแบบมีค่าบริการ แต่เรารวมค่าบริการเข้าไปเลยโดยไม่ได้แจกแจงรายละเอียดให้ชัดเจน ซึ่งเราเคยโดนจับและปรับมาแล้ว 1 ครั้ง โดยตำรวจปรับกรรมละ 5,000 บาท รวม 250,000 บาท ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไร ตำรวจถึงไปรื้อเรื่องนี้มาทำอีก ทั้งๆ ที่ไม่มีเจ้าทุกข์ และการสอบสวนก็ไม่รัดกุมเรียบร้อย”
“คดีนี้ถ้าผมจะสู้ คงสู้ได้ แต่หลังจากที่คิดดูแล้ว คดีนี้ไม่ได้มีผลต่อคดีอื่นๆ ที่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า กองสลากพลัสไม่ได้ทำผิด ผมจึงตัดสินใจรับสารภาพเพื่อให้จบเรื่องนี้ไป จะได้มีเวลาไปทำคดีอื่นๆ ที่จำเป็น โดยศาลสั่งปรับผมเป็นจำนวนเงิน 2,672,000 บาท คดีนี้ใช้เวลาทำเพียง 1 เดือนกับ 10 วัน"
3. ตร.ส่งสำนวนเกือบ 1.4 แสนแผ่นให้ ป.ป.ช. ฟัน 107 ตม. รวมนายพล 3 นาย เอี่ยวต่อวีซ่าทุนจีนสีเทา "บิ๊กโจ๊ก" ยัน แม้เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ถ้าทำผิด ต้องดำเนินคดี!
ความคืบหน้ากรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้เดินหน้าปราบปรามนายทุนจีนสีเทาที่ฝังตัวอยู่ในประเทศไทย เพื่อกระทำผิดกฎหมาย โดยใช้คนไทยเป็นนอมินีบังหน้า เริ่มตั้งแต่จับกุมผับจินหลิง เมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสืบสวนถึงที่มาของการอนุญาตขออยู่ต่อในราชอาณาจักร ตรวจสอบพบพิรุธ จนสามารถดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจำนวน 107 นาย ที่มีพฤติการณ์ช่วยเหลือในการอนุญาตขออยู่ต่อในราชอาณาจักรให้กับกลุ่มนายทุนจีนสีเทาและชาวต่างชาติ โดยใช้วิธีสร้างหลักฐานเกี่ยวกับการเรียนภาษา หรือการเป็นสมาชิกของมูลนิธิและสมาคมต่างๆ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ที่สมาคมพนักงานสอบสวน สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การนำสำนวนการสอบสวนในการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทั้ง 107 นาย ของคณะพนักงานสอบสวน สภ.เวฬุวัน จ.ขอนแก่น เพื่อเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
โดยในสำนวนมีการสอบปากคำพยานไปมากถึง 446 ปาก ส่วนเอกสารพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดีมีมากถึง 139,000 แผ่น คณะพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานพิจารณาแล้ว เห็นควรดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทั้ง 107 คน ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสั่งฟ้องอีก 9 คน (จาก 107 คน) ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า มาสังเกตการณ์ดูแลความเรียบร้อยในการนำเสนอสำนวนการสอบสวนต่อเลขาธิการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานทั้งหมด และพิจารณาชี้มูลความผิดและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ถือว่าบังคับใช้กฎหมายโดยเด็ดขาด เพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจทางกฎหมายในทางที่ผิด ช่วยเหลือกลุ่มทุนจีนสีเทาให้กระทำผิดในราชอาณาจักรได้ เป็นการเรียกศรัทธาและสร้างความเชื่อมั่นในตัวตำรวจมากยิ่งขึ้น
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจยศนายพลจำนวน 3 นาย ก่อนหน้านี้ไม่ได้เรียกมาสอบปากคำ ยืนยันว่า ทั้ง 3 นายตกเป็นผู้ต้องหาในฐานความผิดมาตรา 157 ด้วย ต้องบอกว่า ถึงแม้จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น แต่หากทำผิด ก็ต้องดำเนินคดี รวมทั้งนายตำรวจที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็จะมีขั้นตอนในการดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นเดียวกัน นอกจากนี้กรณีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองร้องเรียนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ตนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสอบสวน เรื่องนี้ก็เป็นสิทธิที่ผู้ร้องเรียนสามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นการตรวจสอบในทุกมิติของกระบวนการทำงาน ตนยินดีที่จะให้มีการตรวจสอบ เพื่อความโปร่งใสกับทุกฝ่าย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเผยความคืบหน้าคดีที่นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจ สายไหมต้องรอด พาผู้เสียหายเป็นวิศวะโปรแกรมเมอร์ ทำหน้าที่เป็นแอดมินให้กับเว็บไซต์พนันออนไลน์ เข้าร้องทุกข์โดยอ้างว่า ถูกนายตำรวจยศ พล.ต.ต.เป็นเพื่อนร่วมรุ่นตน ที่สั่งลูกน้องให้รุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ จากสาเหตุที่ทำยอดรายได้จากเว็บพนันออนไลน์ลดลงว่า เบื้องต้น ตำรวจ สน.โชคชัย เจ้าของคดี สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องเกือบทั้งหมดแล้ว โดยพนักงานสอบ สน.โชคชัย จะเรียก พล.ต.ต.ที่ถูกกล่าวอ้างมาสอบปากคำในฐานะพยาน คาดว่า อีกไม่เกิน 2 สัปดาห์จะสามารถปิดคดีนี้ได้
4. "ปราปต์ปฎล” แฉถูก "ทนาย ฮ." ที่ปรึกษาเลขา รมว.ยุติธรรม ตบทรัพย์หลักสิบล้าน แลกช่วยแฟนสาวหลุดคดี Forex-3D ด้าน "ทนาย ฮ." ปัดตบทรัพย์ เตรียมฟ้องหมิ่น!
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. “ปราบต์ ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง” นักแสดงรุ่นใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกแจ้งข้อหาฟอกเงิน คดี Forex-3D ได้นัดสื่อมวลชนไปที่สำนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อแฉข้อมูลลับว่า มีขบวนการตบทรัพย์ เรียกเก็บเงินค่าความยุติธรรมกับตน โดยอ้างตัวว่า เป็นที่ปรึกษาของเลขาฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
“ที่ผมมาที่ตึกดีเอสไอ มายื่นหนังสือขอทราบความคืบหน้าคดีฐานความผิดร่วมกันฟอกเงิน ที่ทางดีเอสไอได้แจ้งข้อกล่าวหาผมไว้ ...ณ เวลานี้ก็ 5 เดือนกว่าแล้วที่ยังไม่มีความคืบหน้าว่าคดีไปถึงไหน เพราะใน 5 เดือนที่ผ่านมา ผมได้รับผลกระทบกับชีวิตอย่างหนัก หน้าที่การงานพังหมด ชีวิตพัง”
“สื่อมวลชนคงจะได้ทราบกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นท่านเลขาฯ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม แล้วก็ทางอธิบดีดีเอสไอกล่าวย้ำกับผู้สื่อข่าวหลายรอบว่า ดารา ป. ไม่เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงประชาชนในธุรกิจ Forex-3D เขายืนยันว่าผมไม่เกี่ยวข้อง แต่ผมได้รับการดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหาคดีฟอกเงิน อันนี้ผมก็งง ...ทีนี้ทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเขาแจ้งผมว่า เนื่องจากผมได้ทำการเคลื่อนทรัพย์ หรือย้ายรถ ขับรถจากอีกจุดไปอีกจุด เลยทำให้เขาเชื่อว่า นั่นคือการนำทรัพย์ไปปกปิดซ่อนเร้น”
“ซึ่งที่มาที่ไปผมก็ได้ชี้แจงแล้วว่า การเคลื่อนย้ายทรัพย์ตอนนั้นเป็นทรัพย์ของแฟนผม ตอนนั้นเขายังไม่โดนกล่าวหา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีใดๆ ทั้งสิ้น แต่ปัจจุบันอยู่เรือนจำมา 6 เดือนแล้ว คือรถคันนั้นเป็นเพียงรถที่เขาใช้ในชีวิตประจำวันส่วนตัวของเขา ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ กับเขา และรถคันนี้ไม่ได้เป็นทรัพย์ที่ถูกตามยึด แต่ที่ผมไปเคลื่อนย้าย เป็นเพราะว่า มีคดีที่ สน. สุทธิสาร ก็คือน้องเขาถูกเพื่อนกะเทยคนหนึ่งงัดห้อง นำทรัพย์สินในห้องไป โดยน้องกะเทยนำไปแล้วแจ้งกับแฟนผมไว้ว่า ทรัพย์สินที่เป็นของน้อง ตัวเขาเองถูกอภิรักษ์ฉ้อโกง เพราะฉะนั้นทรัพย์สินที่เป็นของน้อง ควรจะเป็นของเขา ซึ่งผมมองว่า การกระทำแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง พอน้องออกจากโรงพยาบาล ผมก็พาน้องไปแจ้งความตามกฎหมาย ทีนี้พอไปแจ้งความ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำการสอบสวนกะเทยท่านนั้น เขาได้ซัดทอดไปยังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ”
“วันนั้นผมเองถึงรู้ว่า กระบวนการที่เข้าไปงัดห้อง มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอร่วมด้วยหนึ่งท่าน ก็คือ ผอ. เค พงษธร ที่ผมไปแจ้งความ คือน้องถูกงัดห้องแล้วลักทรัพย์ เมื่อติดต่อเจ้าหน้าที่นิติ เขาก็บอกว่า ผอ. ท่านนี้ได้เข้าไปที่นั้นในแบบปกติ ไม่ได้ไปในหน้าที่หรือแสดงตัว แล้วก็ไม่ได้มีหมายใดๆ เพียงแต่ติดต่อที่นิติแล้วขอขึ้นตึก ในฐานะของเพื่อนกะเทยคนนั้น มันเลยเป็นการนำพาไปสู่การแจ้งคดี 157”
“สิ่งที่ผมมาร้องเรียกวันนี้ คือมีเหตุการณ์ที่สอดคล้องไปถึงวันที่น้องถูกดำเนินคดี ต้องเข้าไปอยู่เรือนจำวันที่ 18 ส.ค. คือน้องมีเพื่อนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เขาบอกว่าสนิทกัน ซึ่งผมไม่รู้จักคนนี้มาก่อน ก็ติดต่อผมมาว่า เขารู้จักกับที่ปรึกษาของเลขาธิการรัฐมนตรีท่านหนึ่งว่า เขาต้องการจะมาคุยกับผม เพื่อให้ความช่วยเหลือในคดีน้อง ซึ่งตอนนั้นน้องอยู่ในเรือนจำแล้ว ผมพยายามประกันตัวแล้ว แต่ไม่ได้ เขาติดต่อมาประมาณวันที่ 20-21 ส.ค. แล้วนัดเจอกัน แต่ผมย้ำว่าคนที่ติดต่อผม มาคุยกับผม เรื่องการเรียกทรัพย์ครั้งนี้เพื่อช่วยเหลือน้อง เป็นที่ปรึกษาของเลขาท่านนี้ ผมไม่ได้บอกว่าเลขามาเรียกตบทรัพย์ผม หรือมีความเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรี”
นายปราปต์ปฎล เผยด้วยว่า อีกฝ่ายเสนอช่วยด้วยการ จะทำสำนวนให้อ่อนลง ให้สามารถพ้นคดีได้ "ซึ่งผมบอกว่าผมไม่ได้ห่วงเรื่องคดีเลย ผมไม่ได้ห่วงว่าน้องจะต่อสู้ไม่ได้ ผมแค่อยากให้น้องออกมาต่อสู้ ให้มีโอกาสได้ประกันตัวออกมา จะแก้ข้อกล่าวหาได้ก็ต้องออกมาหาหลักฐานไปสู้คดี เอาเขาไปกักขังไว้ในเรือนจำ เขาจะทำยังไงเพื่อจะหาหลักฐาน"
นายปราปต์ปฎล ยังเผยถึงยอดเงินที่โดนเรียกด้วยว่า “เป็นยอดที่ผมไม่มีทางหาได้ในชีวิตนี้ ก็หลักสิบล้านครับ ...มันมีราคาของความยุติธรรมอยู่ คำนั้นทำให้ผมแทบร้องไห้ ว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ ความยุติธรรมมันต้องใช้เงินเหรอ ทำไมไม่ใช้ความถูกต้อง ไม่ใช้ข้อเท็จจริง เป็นคนดีมันอยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้เหรอ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันโหดร้ายเกินไป”
“ตอนที่นัดเจรจา ผมยังไม่ได้โดนแจ้งคดีใดๆ เขาไม่ได้ขู่อะไรทั้งสิ้นนะ เขาบอกว่าให้ทำตามเขาก็พอ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ตอนนั้นนัดเจอกันที่โรงแรม SC Park เจอกันครั้งนั้นครั้งเดียว พอโดนเรียกจำนวนเงิน ผมไม่กล้าไม่เจอแล้ว เพราะผมไม่มีตังค์ คือหลักฐานที่เป็นแชตไลน์ ก็เกิดขึ้นในวันนั้นหลังคุยกันเสร็จ แต่ไม่ได้มีการถ่ายรูปหรืออัดเสียง”
ทั้งนี้ บ่ายวันเดียวกัน (7 มี.ค.) ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯ รมว.ยุติธรรม เผยกรณีนายปราปต์ปฎล เปิดโปงขบวนการตบทรัพย์อ้าง “ทนาย ฮ.” คนสนิท เลขา รมว. เรียกรับเงินหลักสิบล้านบาท ช่วยเหลือ น.ส.ภคมน สิลุน หรือ กู๋กี๋ แฟนสาว คดีแชร์ Forex-3D ว่า สำหรับ “ทนาย ฮ.” หรือ ทนายเฮง เป็นปรึกษาของตนจริง และเป็นทีมงานช่วยรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนหลายคดี เขายืนยันว่า ไม่เคยคุยถึงการเรียกตบทรัพย์ และในวันที่มีการนัดพูดคุย 21 ส.ค.65 มีทั้ง ว่าที่ ร.ต.กฤษดา กฤตเมธานนท์ หรือ ทนายเฮง, น.ส.ชิดชญา วณิชกิตติ์ หรือ การ์ตูน เพื่อนสนิทกู๋กี๋ และ 3.นายปราปต์ปฎล เป็นการคุยเรื่องคดีความ และประเด็นกู๋กี๋ อยู่ระหว่างการคุมขังในเรือนจำฯ ซึ่งสำนวนคดีส่งไปชั้นอัยการและศาล ตรงนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่สามารถวิ่งเต้นคดีได้
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวอีกว่า ในวันนัดคุยกันที่ห้องอาหารโรงแรมดังกล่าว นายปราปต์ยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฟอกเงิน ดังนั้น การจะถือว่าเป็นการตบทรัพย์คงไม่ใช่ ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม และดีเอสไอ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หากใครมีหลักฐานว่ามีการเรียกตบทรัพย์ ขอให้ไปแจ้งความดำเนินคดีได้เลย แต่ถ้าไม่มีการดำเนินคดีแล้วทำให้พวกเขาได้รับความเสียหาย พวกเขาก็มีสิทธิที่จะดำเนินคดีกลับ แต่ถ้าคนของตนทำผิดจริง ก็ไม่ละเว้นแน่นอน ส่วนคดีฟอกเงินของนายปราปต์ เบื้องต้นทราบว่าอยู่ระหว่างการสรุปสำนวน
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวต่อว่า ในส่วนของตนยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้อง อีกทั้งตอนที่นายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้บริหาร Forex-3D ถูกติดตามจับกุม ตนก็มีส่วนดำเนินการเต็มที่ทั้งในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีและติดตามยึดทรัพย์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในคดีเพื่อเฉลี่ยคืนผู้เสียหาย
ด้าน ว่าที่ ร.ต.กฤษดา กฤตเมธานนท์ หรือ ทนายเฮง ที่ปรึกษา เลขาฯ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า วันนั้นเป็นการพูดคุยเรื่องการประกันตัวกู๋กี๋ โดยคุยในห้องอาหารไทย เปิดโล่ง และตนไม่ได้รับค่าทนายสักบาท ส่วนรายละเอียดค่าใช้จ่ายทนายความก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม ตนเคยให้คำแนะนำกับนายปราปต์ในวันนั้นไปว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง และมีผู้เสียหายจำนวนหลายพันคน ซึ่งการที่จะได้รับการประกันตัว โดยปกติแล้วก็มีการวัดที่หลักทรัพย์การประกันตัว ที่ต้องมีจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีการพูดคุยเรื่องจำนวนเงินดังกล่าว แต่ยืนยันว่าไม่ใช่หลักสิบล้านบาทแน่นอน อีกทั้งคดีอยู่ในชั้นศาลแล้ว ตนจะไปทำให้สำนวนคดีอ่อนคงเป็นไปไม่ได้ พร้อมยืนยันว่า ในวันนั้นไม่ได้พูดเรื่องดังกล่าวแน่นอน และว่า เย็นวันนี้ตนจะเดินทางไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ พ.รบ.คอมพ์ฯ
ขณะที่ น.ส.ชิดชญา หรือ การ์ตูน เพื่อนสนิทกู๋กี๋ กล่าวว่า จากการฟังแถลงข่าวของนายปราปต์ ตนรู้สึกเสียใจ และจุดเริ่มต้นที่ได้รู้จักกับนายปราบต์ คือเมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่ผ่านมา โดยตนได้ทักไปหากู๋กี๋ เพื่อขอให้นายปราปต์ช่วยโปรโมทนาฬิกายี่ห้อหนึ่งที่ขายอยู่ เนื่องจากเห็นว่า นายปราปต์ใส่ยี่ห้อนี้เป็นประจำ อีกทั้งบางช่วงนายปราปต์ยังมาขอนาฬิกาฟรีด้วย แต่ตนไม่สามารถให้ได้ เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของโดยตรง เป็นเพียงพนักงาน หลังจากนั้น นายปราปต์ก็ได้ตกลงซื้อนาฬิกาไป 1 เรือน เพื่อช่วยสนับสนุน ต่อมา ทราบข่าวว่ากู๋กี๋ถูกดำเนินคดี ตนจึงรู้สึกตกใจและเป็นห่วงเพื่อน และได้นัดหมายให้นายปราปต์ มาคุยกับทนายเฮงและตน เมื่อวันที่ 21 ส.ค.65
“ยืนยันว่า ในวันนั้นไม่มีการตบทรัพย์หรือเรียกทรัพย์อะไรทั้งนั้น ส่วนเหตุการณ์วันนี้ที่เขาพูด เราก็ไม่ทราบว่าเขาต้องการอะไร และที่เสียใจคือ เราพยายามหาทางให้ผู้ใหญ่ช่วยเหลือกู๋กี๋เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้กู๋กี๋ได้รับการประกันตัว แต่ทุกคนกลับได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้”
5. ศาล ปค.กลาง สั่งระงับก่อสร้างโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาชั่วคราว เหตุไม่ชอบด้วย ก.ม. ไม่จัดรับฟังความเห็น ปชช.!
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาในคดีที่เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กับพวก 12 ราย ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี, คณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา, กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 ขอให้ศาลเพิกถอนโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และผู้ถูกฟ้องคดียกเลิกการดำเนินโครงการดังกล่าวทั้งหมด เเละทำตามรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วย กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จัดรับฟังความคิดเห็นประชาชนเเละดำเนินการเกี่ยวกับการดูแลแม่น้ำเจ้าพระยา
โดยศาลเห็นว่า การดำเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ (โครงการพิพาท) เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้ระงับการก่อสร้างโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 จนกว่าจะได้มีการดำเนินการตามข้อ 7 วรรคหนึ่ง (7) และวรรคสอง ข้อ 11 และข้อ 12 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
จนกว่าโครงการดังกล่าวจะได้ดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมบัญญัติไว้โดยครบถ้วน รวมทั้งเจ้าท่ามีอำนาจอนุญาต และได้อนุญาตให้ก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำได้ตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย และอธิบดีกรมศิลปากรได้มีคำสั่งเป็นหนังสืออนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารภายในบริเวณโบราณสถาน ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ในบริเวณที่โครงการพาดผ่าน
สำหรับคำสั่งเกี่ยวกับคำขอวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาที่ห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ดำเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเฉพาะในส่วนของแผนงานที่ 1 คือ ทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว ให้ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น