1.ศาลสั่งออกหมายจับ "ธาริต" หลังอ้างป่วยขอเลื่อนฟังคำพิพากษาครั้งที่ 7 ส่อเจตนาประวิงเวลาหนีคดีแจ้งข้อหา "อภิสิทธิ์-สุเทพ" มิชอบ!
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 7 คดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมือง ปี 2553, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการ โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 วรรคสอง จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ หลังจากนั้น โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ต่อมา ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา หลังจากนั้น จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา
ต่อมา ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2564 แต่เมื่อถึงกำหนด นายประกันของนายธาริต อ้างว่า ไม่สามารถนำตัวนายธาริตมาส่งศาลเพื่อฟังคำพิพากษาได้ เพราะนายธาริตย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 ก.พ.2565
แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตได้ให้ทนายความยื่นศาลขอเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีก โดยอ้างว่า ป่วย เกิดอาการชักเกร็ง หมดสติ 5 นาที พอรู้สึกตัว ก็แขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง อยู่ระหว่างรักษาตัวที่ รพ.พญาไท 2 ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 3 ในวันที่ 21 เม.ย.2565
แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ให้ทนายขอศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีก โดยอ้างว่า ป่วยโควิด ขอพักรักษาตัว 3 เดือน ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 4 ในวันที่ 22 มิ.ย.2565
แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตไม่เดินทางมาศาล โดยศาลได้รับแจ้งว่า ไม่สามารถส่งหมายแจ้งวันนัดให้นายธาริตได้ เนื่องจากมีการย้าย ไม่ทราบที่อยู่ใหม่ ขณะที่ทนายความนายธาริต ยืนยันว่า นายธาริตมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ศาลจึงให้ส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 ใหม่ และนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 5 ในวันที่ 7 ก.ย. 2565
แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ไม่เดินทางมาศาลอีก โดยอ้างว่า ป่วยโควิด-19 รอบใหม่ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ต้องดูแลรักษาต่อเนื่อง 3 เดือน ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 6 ในวันที่ 9 ธ.ค. 2565
แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ไม่เดินทางมาศาลเหมือนเดิม ขณะที่ทนายนายธาริตยื่นคำร้องว่า นายธาริตเจ็บป่วยเป็นโรคนิ่วในไตทั้งด้านซ้ายและด้านขวา จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ด้วยการผ่าตัดนิ่วทั้งสองข้าง ใช้เวลารักษารวม 4 เดือน ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 7 ในวันที่ 2 ก.พ. 2566
แต่เมื่อถึงกำหนด (2 ก.พ.) นายธาริตก็ยังคงไม่เดินทางมาศาล โดยทนายนายธาริตได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา โดยอ้างว่า ตามที่ได้แถลงต่อศาลในนัดที่แล้ว (9 ธ.ค.2565) ว่า จำเลยที่ 1 เจ็บป่วยเป็นโรคนิ่วในไตทางด้านซ้ายและด้านขวา ต่อมาในวันที่ 29 ม.ค.2566 จำเลยที่ 1 ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อไตและใส่สายระบายเลือดไว้ในท่อไตทั้งสองข้าง จำเลยที่ 1 จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นและต้องติดตามอาการเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อประเมินสภาพไตและก้อนนิ่วอีกครั้ง
ด้านทนายโจทก์ที่ 1 แถลงว่า ไม่คัดค้านการขอเลื่อนคดี โดยขอให้เป็นดุลพินิจของศาล แต่ขอให้ศาลกำหนดมาตรการเพื่อกำชับให้มีการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาโดยเร็ว เนื่องจากคดีนี้มีการขอเลื่อนเพื่ออ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 แล้ว
ส่วนทนายโจทก์ที่ 2 แถลงว่า ไม่คัดค้านการขอเลื่อนคดี แต่ขอแถลงเพิ่มเติมว่า ตามใบรับรองแพทย์ที่ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นมาท้ายคำร้องขอเลื่อนคดีนั้น ระบุว่า จำเลยที่ 1 จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้น และจะต้องติดตามอาการเป็นเวลาอีกประมาณ 3 เดือน เป็นการไม่แจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัว โดยอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดระยะเวลาทั้ง 3 เดือนหรือไม่
ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 1 ปรากฎเพียงว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำการรักษาโดยการผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อไตเมื่อวันที่ 29 ม.ค.66 ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลและต้องติดตามอาการเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อประเมินสภาพไตและก้อนนิ่วอีกครั้ง แต่แพทย์ไม่ได้แจ้งว่า จำเลยที่ 1 จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดในทันทีหรือต้องผ่าตัดเร่งด่วนในวันและเวลาใด และจำเป็นต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลตลอดระยะเวลา 3 เดือนหรือไม่ ทั้งไม่ได้ลงความเห็นว่า จำเลยที่ 1 มีอาการเจ็บป่วยถึงขนาดที่ไม่สามารถเดินทางมาศาลในวันนี้ได้
ประกอบกับจำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุเจ็บป่วยมาแล้วหลายครั้งเป็นเวลากว่า 1 ปี น่าเชื่อว่า การที่จำเลยที่ 1 ไม่มาศาล เป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า ตามพฤติการณ์จึงมีเหตุให้เชื่อว่า จำเลยที่ 1 หลบหนี จึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 เพื่อนำตัวมาฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาต่อไป นายประกันจำเลยที่ 1ไม่ส่งตัวจำเลยที่ 1 ต่อศาลตามนัด ถือว่าผิดสัญญาประกัน ให้ปรับนายประกันจำเลยที่ 1 เต็มตามสัญญา แจ้งนายประกันจำเลยที่ 1ให้ชำระค่าปรับต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันนี้ และให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาในวันที่ 24 มี.ค. เวลา 09.00 น.ตามที่คู่ความมีวันว่างตรงกัน
2.แจ้งข้อหา 6 ตร.สน.ห้วยขวาง เรียกรับเงินดาราสาวไต้หวัน ศาลไม่ให้ประกัน ด้าน ผบก.น.1 สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน!
ความคืบหน้ากรณี น.ส.อัน หยู ฉิง หรือชาร์ลีน อัน ดาราสาวชาวไต้หวัน โพสต์อินสตาแกรม (ไอจี) อ้างว่า ระหว่างมาเที่ยวประเทศไทยช่วงปีใหม่ ถูกตำรวจไทยตั้งด่านตรวจใกล้สถานเอกอัครราชทูตจีน เรียกตรวจหนังสือเดินทางกล่าวหาว่าไม่มีวีซ่า จากนั้นถูกรีดเงินจำนวน 27,000 บาท ซึ่ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งให้มีการตรวจสอบโดยด่วน ขณะที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ที่ปฏิบัติหน้าที่วันเวลาดังกล่าว 7 นาย ยืนยันไม่มีการเรียกรับเงินนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน
ต่อมา กองบังคับการตำรวจนครบาล ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และผลการตรวจสอบปรากฏว่า มีมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้องมีการตรวจพบบุหรี่ไฟฟ้านักท่องเที่ยวไต้หวัน แต่ไม่ดำเนินการตรวจยึดเพื่อตรวจสอบหรือจับกุม เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
จากนั้น (30 ม.ค.) คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญาตำรวจที่เกี่ยวข้อง ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ขณะที่กองบังคับการตำรวจนครบาล ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย เพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าว รวมทั้งมีคำสั่งย้ายตำรวจทั้ง 7 นาย เพื่อมิให้กระทบต่อการสอบสวนทางวินัยและคดีอาญา รวมถึงมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ โดยให้ตำรวจ สน.ห้วยขวางทั้ง 7 นาย ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ประกอบด้วย
1.ร.ต.อ.ยอดฤทธิ์ ลางดุลเสน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สน.ห้วยขวาง 2. ร.ต.อ.ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา รองสารวัตรอำนวยการ 3. ด.ต.อธิเวช จุลพันธ์ ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม 4. ด.ต.กฤษฎา คำมะนา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม 5. ส.ต.อ.เฉลิมชัย ศิริวังโส ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม 6. ส.ต.อ.วัชรนนท์ ขาวยอง ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม 7. ส.ต.อ.นันทวัชร์ สุวรรณา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน
นอกจากย้ายตำรวจ สน.ห้วยขวางทั้ง 7 นายแล้ว ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง ไปเป็น ผกก.สน.หนองจอก และให้ พ.ต.อ.สุกฤต มังคละสวัสดิ์ ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ โยกไปเป็น ผกก.สน.ห้วยขวาง แทน
ต่อมา (1 ก.พ.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้แถลงเปิดตัวนายสกาย นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกับดาราสาวชาวไต้หวัน และเป็นผู้จ่ายเงินจำนวน 27,000 บาท ให้กับตำรวจ สน.ห้วยขวาง ขณะตั้งด่านตรวจ ทั้งนี้ ก่อนเริ่มแถลง นายชูวิทย์ ได้เดินตีปี๊บพร้อมกล่าวว่า นำปี๊บมามอบให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่ไม่ยอมรับว่าลูกน้องมีการรีดไถนักท่องเที่ยว ถือเป็นยุคมืดอย่างแท้จริง
ด้านนายสกาย เล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุว่า หลังกลับจากงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อน ที่ร้านอาหารย่านสุขุมวิท ได้เรียกรถแกร็บ เพื่อจะไปห้วยขวาง กับเพื่อน 4 คน หนึ่งในนั้นคือ อันหยูชิง ดาราสาวไต้หวัน ระหว่างทางก็มาเจอด่าน สน.ห้วยขวาง และเรียกหาวีซ่า เมื่อตนแย้งว่ามาจากสิงคโปร์อยู่ไม่เกิน 30 วัน ไม่ต้องใช้วีซ่า จากนั้นตำรวจจึงบอกว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย บอกจะต้องไปโรงพัก ตนจึงเริ่มกลัว ก่อนถามตำรวจกลับว่าผิดกฎหมายได้อย่างไร เพราะซื้อจากร้านที่ขายในไทย ตนไม่รู้ว่าผิด
ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปโรงพัก เพราะรู้สึกกลัว จึงไปถามตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่ง ก่อนเดินมาแจ้งว่า ถ้าไม่จ่ายค่าปรับต้องติดคุก พร้อมบอกว่าบุหรี่ไฟฟ้า 3 เครื่อง ต้องจ่ายเครื่องละ 8,000 รวม 24,000 บวกกับไม่มีพาสปอร์ตต้องจ่ายอีก 3,000 บาท จึงจ่ายไป 27,000 บาท เหลือเงินติดตัวอยู่ 3,000 บาท ก่อนถูกถ่ายรูปพร้อมบุหรี่ไฟฟ้าที่ด่าน
นายสกาย เผยอีกว่า ผมซื้อบุหรี่ไฟฟ้ามาจากตลาดห้วยขวาง ไม่รู้ว่าผิดกฎหมาย เนื่องจากเห็นมีขายทั่วไป คิดว่าเหมือนกัญชาที่ถูกกฎหมาย ก็เลยคิดว่าแล้วทำไมบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย
ด้านนายชูวิทย์ ถามว่า ตอนนั้นสกายเครียดหรือไม่ นายสกาย ตอบว่า รู้สึกเครียด เพราะที่สิงคโปร์คนจะรู้อยู่แล้วว่าให้เงินกับตำรวจไม่ได้ มันเป็นเรื่องใหญ่ นายสกาย ยืนยันด้วยว่า จำหน้าตำรวจในวันนั้นได้ จากนั้นนายชูวิทย์ ได้เปิดแฟ้มตำรวจที่ตั้งด่านที่บริเวณหน้าสถานทูตจีนให้ดู นายสกาย พยักหน้า บอกว่าจำหน้าได้
ทั้งนี้ หลังนายชูวิทย์แถลงข่าวเสร็จสิ้น พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาสอบปากคำนายสกายด้วยตนเอง เพื่อกันไว้เป็นพยานคดีต่อไป
ต่อมา พล.ต.ต. อาชยน เผยหลังสอบปากคำว่า นายสกายได้ให้ข้อมูลในฐานะพยาน ซึ่งข้อมูลที่ได้รับถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน มีการชี้ตัวบุคคลที่อยุ่ในด่าน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า มีตำรวจกี่นาย หรือเป็นตำรวจชุดที่มีคำสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 หรือไม่ ซึ่งต้องตรวจสอบกับพยานหลักฐานที่ตำรววจมี จึงจะสามารถแจ้งข้อหาเรียกรับผลประโยชน์กับตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ คาดว่าใช้เวลา 1-2 วัน คดีน่าจะชัดเจน
ต่อมา (2 ก.พ.) พนักงานสอบสวนได้นำตัวตำรวจที่ถูกแจ้งข้อหา 6 นายไปขอศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลางฝากขัง ประกอบด้วย ร.ต.อ.ยอดฤทธิ์, ร.ต.อ.ปฏิภาณ, ส.ต.อ.นันทวัชร์, ด.ต.กฤษฎา, ส.ต.อ.เฉลิมชัย, ส.ต.อ.วัชรนนท์ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 149, 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
ซึ่งศาลอนุญาตฝากขังได้ จากนั้นผู้ต้องหาทั้งหมดได้ยื่นขอประกันตัว ด้านศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อภาพลักษณ์และกระบวนการยุติธรรมของประเทศโดยรวม อีกทั้งจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจอาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและกระบวนการในชั้นสอบสวน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ให้ยกคำร้อง จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวผู้ต้องหาไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
มีรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะนำตำรวจทั้ง 6 นายไปขอศาลฝากขัง พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ได้มีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 6 นายดังกล่าว ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากตกเป็นผู้ต้องหา คดีเรียกรับเงิน 27,000 บาท จากกลุ่มนักท่องเที่ยวดาราสาวชาวไต้หวัน
3. "แทนไท" ฟ้อง"สนธิ" หมิ่น หลังแฉเอี่ยวเครือข่ายทุนสีเทา-ฟอกเงิน เรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้าน ด้านศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ "สนธิ" หยุดเผยแพร่ซ้ำ!
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. นายนิติศักดิ์ มีขวด ทนายความ และนายสมพงศ์ ตั่นไพบูลย์ ผู้รับมอบอำนาจจากนายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ สนธิทอล์ค (Sondhitalk) ต่อศาลแพ่งและศาลอาญารัชดาฯ ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท พร้อมขอให้ศาลพิจารณาไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองชั่วคราวให้นายสนธิหยุดกระทำการเผยแพร่ข้อความและข้อมูลที่หมิ่นประมาทนั้น
นายนิติศักดิ์ เผยว่า จากกรณีที่นายสนธิได้กล่าวหานายแทนไทผ่านทางรายการสนธิทอล์ค ที่นายสนธิเป็นผู้ดำเนินรายการว่า เงินลงทุนของบริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัทอื่น 1 ในเครือ รวมถึงเงินที่นำมาประมูลซื้อป้ายทะเบียนรถจากกรมขนส่งทางบก เป็นเงินที่ได้จากการกระทำผิดกฎหมาย ได้มาโดยไม่ชอบ และดำเนินธุรกิจสีเทา รวมถึงมีการฟอกเงิน โดยมีการพูดกล่าวหาในรายการสนธิทอล์ค ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกหลายครั้ง ทำให้นายแทนไทเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง
ดังนั้น การที่นายแทนไทตัดสินใจยื่นฟ้องนายสนธิในครั้งนี้ ก็เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนรับทราบข้อเท็จจริงว่า คุณแทนไท ไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา ธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และการฟอกเงินตามที่นายสนธิ กล่าวอ้าง โดยจะมีการดำเนินคดีเพิ่มในทุกกรรมทุกวาระที่ทำให้นายแทนไท รวมถึง บ.ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัทในเครือได้รับความเสียหาย และจะมีการดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องกับทุกคนในทุกฐานความผิด พร้อมเรียกค่าเสียหายทั้งทางแพ่งและทางอาญา ในทุกกรรมทุกวาระอย่างต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ บ่ายวันเดียวกัน ศาลแพ่งได้พิจารณาไต่สวนฉุกเฉินตามที่โจทก์ร้องขอ พร้อมมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หลังพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในทางไต่สวนของโจทก์เป็นที่น่าเชื่อว่า ขณะนี้ข้อความและรูปภาพที่จำเลยกระทำโดยกล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของเว็บไซต์เล่นพนันออนไลน์ ฟอกเงิน และบริษัท ไมนิ่งโปร จำกัด ซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นลักกระแสไฟฟ้ามาใช้ อันเป็นการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง ยังคงบันทึกอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา และจำเลยมีพฤติกรรมที่จะกระทำซ้ำต่อไป อันทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายต่อไป ดังนั้นคำร้องของโจทก์มีเหตุผลเพียงพอและจำเป็นที่จะคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา
จึงมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยเผยแพร่รายการโทรทัศน์ออนไลน์ “สนธิทอล์ค” พูดหรือแสดงข้อมูลใด ๆ ให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า โจทก์เป็นเจ้าของเว็บไซต์เล่นพนันออนไลน์ ฟอกเงิน และบริษัท ไมนิ่งโปร จำกัด ซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นลักกระแสไฟฟ้ามาใช้ รวมทั้งให้จำเลยปิดกั้นมิให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงคลิปรายการโทรทัศน์ ข้อความ และรูปภาพที่ละเมิดต่อโจทก์ทั้งหมด ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ทุกช่องทาง เป็นการชั่วคราวในระหว่างการพิจารณา จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
ด้านนายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า “ผมขอกราบขอบพระคุณกระบวนการยุติธรรมของศาล ที่ช่วยให้ประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีกระบอกเสียงที่ใช้โน้มน้าวหรือชี้ชวนประชาชนให้เข้าใจผิด ได้มีหนทางในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเอง ที่ผ่านมาผมได้รับผลกระทบอย่างมากจากการถูกกล่าวหา ให้ร้าย ทำให้ประชาชนในประเทศจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิด และเกิดความเสื่อมเสียทั้งทางด้านธุรกิจ ไปจนถึงชีวิตส่วนตัวเป็นอย่างมาก แต่ในวันนี้ผมได้รับความเมตตาจากศาลที่มีคำสั่งคุ้มครองให้เขาหยุดการกระทำที่ทำร้ายผมตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา นับจากนี้ เรื่องทั้งหมดได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ผมพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อให้ความจริงปรากฏสู่สาธารณชนต่อไปครับ”
4. ศาลอนุญาต "พิ้งกี้" ถอดกำไล EM เพื่อสะดวกรับงานแสดง-เดินทาง ด้าน "ไผ่-ไมค์-ไดโน่-ลูกเกด-เวหา" ยื่นขอถอดบ้าง ศาลอนุญาต!
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. "พิ้งกี้" สาวิกา ไชยเดช นักแสดงสาวชื่อดัง จำเลยที่ 7 คดีฉ้อโกงแชร์ FOREX-3D ได้เดินทางเข้ารายงานตัวต่อศาลอาญา ครั้งที่ 2 ตามนัด หลังจากเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2565 ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยศาลตีราคาประกัน 5 ล้านบาท เนื่องจากเห็นว่า หลักทรัพย์น่าเชื่อถือ และพิ้งกี้ให้การปฏิเสธมาตลอด โดยยืนยันว่าเป็นเพียงนักลงทุนเท่านั้น มิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดแต่อย่างใด พร้อมกำหนดเงื่อนไข ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร หากเปลี่ยนถิ่นที่อยู่ให้แจ้งศาลภายใน 7 วัน และให้รายงานตัวต่อศาลทุกเดือน จนกว่าจะมีเหตุเปลี่ยนแปลง และให้แจ้ง ตม.ทราบ รวมทั้งให้ติดกำไล EM ด้วย
ทั้งนี้ พิ้งกี้ ได้เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ ก่อนยื่นคำร้องต่อศาล ขอความกรุณาศาลมีคำสั่งอนุญาตปลดกำไลอีเอ็ม เพื่อความสะดวกในการรับงานแสดงเพื่อหารายได้ เพราะการติดกำไลอีเอ็ม จะสร้างปัญหาในการแสดง และการเดินทาง ด้านศาลพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตปลดกำไลอีเอ็มตามคำขอ จากนั้น พิ้งกี้ได้เดินทางกลับทันที
หลังศาลอนุญาตปลดกำไล EM พิ้งกี้ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในงานบวงสรวงภาพยนตร์เรื่อง กุมาร เมื่อวันที่ 2 ก.พ. โดยพิ้งกี้มีสีหน้ายิ้มแย้มสดใส พร้อมกับทักทายสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวจำนวนมาก
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศาลอนุญาตให้พิ้งกี้ปลดกำไล EM เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ด้วยเหตุผลเพื่อความสะดวกในการรับงานแสดงและการเดินทาง ปรากฏว่า วันต่อมา 1 ก.พ. กลุ่มจำเลยคดีการชุมนุมทางการเมือง ประกอบด้วย น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล ปทุมธานี เขต 3 และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน, นายนวพล ต้นงาม หรือไดโน่ ทะลุฟ้า, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง และนายเวหา แสนชนชนะศึก นักกิจกรรมทางการเมือง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอถอดกำไล EM ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราว โดยจำเลยได้ให้เหตุผลและความจำเป็นในการขอถอดกำไล EM เพื่อประโยชน์ในการทำงานและเดินทาง เช่นเดียวกับที่พิ้งกี้ให้ต่อศาลก่อนหน้านี้
ด้านศาลอาญาพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปลดกำไล EM ของ 5 จำเลยดังกล่าว พร้อมให้แจ้งศูนย์ EM ทราบด้วย
5. ตำรวจ ปปป. บุกรวบ ผอ.โรงเรียนบางชัน ทุจริตอาหารเด็ก เรียกรับเงินผู้ประกอบการ ยึดเงินของกลาง 3.2 แสน ด้านเจ้าตัวยังปฏิเสธ!
เมื่อวันที่ 1 ก.พ. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สนธิกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. เปิดปฏิบัติการ “ไข่นกกระทา” เข้าจับกุมนายไพฑูรณ์ ภูมิช่อ อายุ 58 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนบางชัน (ปลื้มวิทยานุสรณ์) ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด และเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 329,000 บาท ภายในห้องทำงานโรงเรียน ถ.พระยาสุเรนทร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม.
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากก่อนหน้าได้รับการร้องเรียนว่า นายไพฑูรย์ได้เรียกรับเงินจากคู่สัญญาหรือผู้ประกอบการที่ชนะการเสนอราคาโครงการจ้างเหมาประกอบอาหารสำหรับนักเรียน ภาคเรียนที่ 2/2565 ของโรงเรียน เป็นเงิน 329,000 บาท อ้างว่าจะนำไปปรับปรุงวัสดุอุปกรณ์ โต๊ะ เก้าอี้ ภายในโรงอาหารของโรงเรียน และเรียกเก็บเพิ่มเติมเป็นเงินรายเดือนอีกเดือนละ 9,000 บาท ซึ่งเงินส่วนหลังนี้อ้างว่า เป็นค่าดูแลเจ้าหน้าที่เรื่องอาหารของนักเรียนจำนวน 5 คน โดยให้เหตุผลว่า ทางผู้ประกอบการได้กำไรจากการจัดทำโครงการดังกล่าวไปแล้ว หากไม่ยอมทำตาม ก็จะทำเรื่องยกเลิกสัญญา หรือทำเรื่องรายงานไปที่กรุงเทพมหานครว่า ผู้ประกอบการได้รับเงินส่วนต่างค่าอาหารเช้าจากการที่เด็กนักเรียนไม่มารับประทานอาหารเป็นเงินจำนวนมาก
หลังทราบเรื่อง จึงจัดกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบจนทราบว่า มีพฤติกรรมเข้าข่ายกระทำผิดดังกล่าวจริง จึงวางแผนให้ผู้ประกอบการนำเงินไปส่งมอบให้กับนายไพฑูรย์ตามที่ร้องขอ ก่อนนำกำลังเข้าจับกุมตัวได้ พร้อมกับเงินของกลางดังกล่าว
จากการสอบสวน นายไพฑูรย์ให้การปฏิเสธ อ้างว่า ไม่มีการเรียกรับเงินแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่า ก่อนหน้าจะถูกจับกุม ได้มีการเชิญตัวผู้ประกอบการมาเข้าพบจริง แต่เป็นการเรียกมาพบเพื่อเจรจาเกี่ยวกับปัญหาที่มีการร้องเรียนเรื่องคุณภาพอาหารเท่านั้น ส่วนซองเงินที่อยู่บนโต๊ะนั้น ก็ไม่ทราบว่าเป็นของผู้ประกอบการคนดังกล่าววางลืมไว้หรือไม่ แต่ไม่ใช่ของตนอย่างแน่นอน เบื้องต้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปปป. เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา และเร่งรวบรวมพยานหลักฐานสรุปสำนวนส่งต่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวด้วยว่า ที่ ผอ.อ้างว่าจะนำเงินดังกล่าวไปปรับปรุงโต๊ะเก้าอี้หรือโรงอาหารนั้น ฟังไม่สมเหตุสมผล เพราะงบอาหารกลางวันนั้น รัฐได้จัดสรรให้เด็กๆ ได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อพัฒนาการทั้งร่างกายและสมองของเด็ก หากนำเงินดังกล่าวมาทำอย่างอื่น ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อยากให้สงสารเด็กตาดำๆ แทนที่จะได้กินไข่ไก่ กลับได้กินแค่ไข่นกกระทาเท่านั้น ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้กลั่นแกล้งแต่อย่างใด ที่ทำไปก็เพื่อช่วยเด็กไทยทั่วประเทศได้กินอาหารเต็มงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้
พล.ต.ต.จรุญเกียรติ เผยด้วยว่า ได้รับการร้องเรียนเรื่องการโกงอาหารกลางวันเด็กอีกประมาณ 10 กว่าแห่ง ซึ่งทาง บก.ปปป. จะได้ตรวจสอบต่อไป
มีรายงานว่า โครงการอาหารเด็กนักเรียนดังกล่าว เดิมทีมีการตั้งงบกลางไว้ที่ 12 ล้านบาท ก่อนเปิดให้ผู้ประกอบการต่างๆ เสนอราคาโดยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) จนมีผู้ชนะการประกวดยื่นรับทำโครงการที่วงเงินงบประมาณ 8 ล้านบาท เฉลี่ยค่าอาหารเช้าและกลางวันต่อเด็ก ตกรายละ 28 บาทต่อวัน จากจำนวนเด็กเกือบ 3 พันคน ภายในกรอบระยะเวลา 100 วัน