xs
xsm
sm
md
lg

สุดเอือมตำรวจจอมแถ เบี่ยงประเด็นรีดไถเป็นเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า Thailand แดนท่องเที่ยว หรือแดนเตารีดกับปี๊บ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” สุดเอือมพฤติกรรมตำรวจไทยเรียกรับเงินนักท่องเที่ยว ทำผิดไม่ยอมรับผิด ปกปิดทำลายหลักฐาน เบี่ยงประเด็นเป็นเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ที่ “หมอเฮ้าเลี่ยน” คนหนึ่งออกกฎขึ้นมา กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือรีดไถของตำรวจ ที่ทำเป็นขบวนการ จนเมืองไทยจะกลายเป็นเมืองแห่ง “เตารีด” คนไทยต้องใช้ “ปี๊บ”คลุมหัวเพราะความอับอาย

ความเน่าเฟะในวงการตำรวจตำรวจไทยกลายเป็นเรื่องราวฉาวโฉ่ข้ามประเทศ เมื่อ ดาสาวไต้หวันที่ชื่อ อัน อี๋ว์ชิง หรือชาร์ลีน อัน ออกมาแฉว่าถูกตำรวจไทยรีดไถเงิน 27,000 บาท ขณะมาเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งในแง่คดีความ ตำรวจ 6 นายที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ได้ถูกดำเนินคดี และควบคุมตัวในเรือนจำไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้กำกับการ สน.ห้วยขวางท้องที่เกิดเหตุก็ถูกย้ายไปเป็นผู้กำกับ สน.หนองจอก แต่เรื่องราวที่ยังต้องพูดถึงกันไปอีกนานก็คือพฤติกรรมชวนอับอายขายหน้าของตำรวจไทย


ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ได้สะท้อนถึงสันดานตำรวจไทย ที่พยายามออกมาแก้ข่าวกันพัลวันว่าสิ่งที่ดาราสาวไต้หวันแฉออกมานั้นไม่จริง

เริ่มตั้งแต่การเรียกคนขับแกร็บที่อ้างได้รับดาราสาวไต้หวันพร้อมเพื่อนจากแหล่งท่องเที่ยว RCA มาที่ย่านห้วยขวางก่อนเจอด่านตรวจบริเวณหน้าสถานทูตจีน มาให้ปากคำเข้าทางตำรวจ โดยบอกว่าดาราสาวเมาแล้วโวยวายเสียงดังในรถ พอเจอด่านตำรวจขอตรวจค้นโดยให้เปิดกระเป๋าส่องไฟฉายลงไป ไม่ได้แตะต้องข้าวของ และแตะตัวเฉพาะผู้โดยสารชายเท่านั้น ใช้เวลาตรวจประมาณ 30 นาที เห็นดาราสาวคนนี้เมาโวยวายใส่ตำรวจเป็นภาษาจีน ตำรวจไม่ได้ตอบโต้อะไร กล้องหน้ารถตนบันทึกเสียงได้ แต่ไฟล์ภาพถูกลบไปแล้ว เพราะเขาจะฟอร์แมตทุก 7 วัน แต่ก็ได้นำเมโมรีการ์ดให้ตำรวจนำไปตรวจสอบแล้ว ขณะที่ ภาพวงจรปิดจากกล้อง กทม.ด้านหน้าสถานทูตจีนและด้านหลัง ตำรวจอ้างว่าเป็นภาพระยะไกลไม่ชัดเจน ส่วนกล้องวงจรปิดที่ติดบนหมวกของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกิดเหตุนั้น ไฟล์ถูกลบ

ต่อมา ผู้บัญชาการ บช.น.แถลงข่าว แล้วบอกว่าไม่มีการตั้งด่าน แต่ในที่สุดโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้ เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ก็เลยต้องบอกว่ามีการตั้งด่านจริง


หลังจากนั้นตำรวจได้ปล่อยภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่พักของของดาราสาวไต้หวัน พบว่าเธอได้ถือสิ่งคล้ายบุหรี่ไฟฟ้า พยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่าดาราสาวไต้หวันสูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย เพื่อกลบประเด็นการรีดไถเงินทั้งที่ในความเป็นจริง ในกรุงเทพฯ เดินไปไหนเจอแต่คนสูบบุหรี่ไฟฟ้า แถวห้วยขวางขายกันเต็มไปหมด แถวเมืองนนท์ก็มีเอเยนต์ใหญ่บุหรี่ไฟฟ้าที่เก็บเอาไว้รีดไถ

นายสนธิ กล่าวว่า จากหลักฐานหลายๆ ส่วนที่มีการเปิดเผยออกมาแล้ว มีข้อสังเกตว่า กล้องวงจรปิดที่อื่นชัดหมด แต่กล้องที่เกิดเหตุมีปัญหาตลอดเวลา กล้องที่ติดบนหมวกตำรวจ ณ ที่เกิดเหตุกลับถูกลบไฟล์ทิ้ง แล้วบอกว่าผู้หญิงเมามากแต่ทำไมจับภาพได้ว่าเธอไปเดินตลาดต่อ แต่งเรื่องไม่สมเหตุสมผล

“เรื่องสำคัญไม่ได้อยู่ที่เมา หรือไม่เมา เพราะเขาไม่ได้ขับรถเอง ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่ ประเด็นสำคัญก็คือว่า คุณตอบผมซิ คุณรีดไถเขาหรือเปล่า ถ้าจับข้อหามีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง ถามว่าคุณมีใบเสร็จเปรียบเทียบปรับไหม แล้วบุหรี่ไฟฟ้า ตำรวจที่ด่านไม่มีสิทธิ์ปรับเอง มันเป็นพระราชบัญญัติศุลกากร ไม่ใช่ความรับผิดชอบของตำรวจ ต้องจับส่งศาล แล้วทำไมคุณไม่จับส่งศาลล่ะตอนนั้น” นายสนธิกล่าว


ขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้ใช้ให้ลูกน้อง พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 และ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผู้กำกับ สน.ห้วยขวาง ไปวางแผนทำเรื่องขายขี้หน้า ข้อที่หนึ่ง ให้ลบคลิป สั่งเลยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลบคลิปที่หน้าสถานทูตจีน ข้อที่สอง ให้ลบคลิปกล้องบนหมวกของตำรวจที่ด่าน ข้อที่สาม กล่อมให้คนขับรถแกร็บยืนยันว่าดาราสาวไต้หวันเมามาก พูดไม่รู้เรื่อง อยู่ที่ด่านแค่ 40 นาที แล้วอ้างว่ากล้องหน้ารถบันทึกได้ 20 วัน จึงไม่มีภาพ ข้อที่สี่ ปล่อยคลิปสารพัดเพื่อดิสเครดิตดาราสาวไต้หวัน ข้อที่ห้า ตอบโต้ แก้ตัวแทนลูกน้องตัวเอง โยนไปว่าสาวไต้หวันแต่งเรื่อง โชคดีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน ท่าน ผบ.ดำรงศักดิ์ (เด่น) เห็นท่าไม่ดี สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้การศูนย์สืบสวนนครบาล รีบบินด่วนเพื่อสอบปากคำดาราสาวไต้หวัน พร้อมกันกับที่สาวไทยที่ไปเที่ยวกัน มาให้ข้อมูลว่า เป็นคนจ่ายเงิน 27,000 บาท ด้วยตัวเอง ทีม บช.น. จึงชิงกลับลำให้ตำรวจห้วยขวางสารภาพเสียดีกว่า


ทั้งนี้ จากการสอบสวนปากคำอย่างละเอียดของตำรวจแต่ละนาย ทำให้มีผู้ยอมรับสารภาพว่าในวันดังกล่าวมีการเรียกเก็บเงินจริง มีการแบ่งเงินกันที่บริเวณด่านในคืนที่เกิดเหตุ จากนั้น เมื่อปรากฏเป็นข่าว ทางกลุ่มชุดตำรวจในวันนั้นพยายามปกปิดข้อมูล ไม่ยอมรับในช่วงแรก เนื่องจากเห็นว่าผู้เสียหายเป็นคนต่างชาติ และไม่มีการแจ้งความดำเนินคดี

นายสนธิ กล่าวอีกว่า กรณีการพกบุหรี่ไฟฟ้า หากไม่ได้แอบซื้อในตลาดมืด มีขายในตลาดห้วยขวาง นักท่องเที่ยวเห็นของวางขายอยู่ก็ซื้อ ใครจะไปรู้ว่าเมืองไทยวางของผิดกฎหมายขายกันเกลื่อนแบบนี้ และเขาก็คงไม่รู้ว่าตำรวจไทยส่วนใหญ่รับเงินคนขายบุหรี่ไฟฟ้า จึงมีวางขายกันเกลื่อน

ทั้งนี้ อัน อี๋ว์ชิง ออกมาให้สัมภาษณ์กลุ่มสื่อในไต้หวัน เช่น SETN TPS Next TV อีกครั้ง บอกว่า ถ้ามีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง และไม่พกพาสปอร์ต ถ้าผิดกฎหมายก็ควรออกใบสั่งปรับ แต่คำสั่งที่ได้รับแจ้งมา คือ เรียกร้องให้เธอจ่ายเงินและหลบกล้องวงจรปิด

ในที่สุด กรณีการรีดไถเงิน ก็มีพยานชัดเจน เมื่อนายชูวิทย์ ได้นำพยานซึ่งเป็นชายชาวสิงคโปร์ชื่อ "สกาย" เพื่อนของดาราสาวไต้หวัน มาแถลงข่าวที่โรงแรมเดวิส เพื่อยืนยันความจริง

“ท่านผู้ชมครับ ใช้ตรรกะง่ายๆ คิด นักท่องเที่ยวผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขาจะมาหาเรื่องใส่ร้ายตำรวจไทยเพราะอะไร ? ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง เขาจะมาพูดทำไม ลองคิดดู ถ้าเราไปเที่ยวประเทศใดประเทศหนึ่ง เราอยากจะไปหาเรื่องตำรวจประเทศนั้นหรือ ? ไม่มีทาง แม้ว่าในรายละเอียดอาจจะมีสิ่งที่คลาดเคลื่อน ไม่ว่าจะเรื่องการดื่มเหล้าเมา หรือมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง แต่ประเด็นสำคัญคือ พวกคุณรีดไถเขาหรือเปล่า” นายสนธิกล่าว

“บุหรี่ไฟฟ้า” สร้างกฎเพื่อรีดไถ

นายสนธิยังได้กล่าวถึงกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยว่า มีระเบียบทุกขั้นตอน เข้มงวดมาก นำเข้า จำหน่าย ครอบครอง การสูบ มีโทษทั้งจำคุกห้าถึงสิบปี ปรับห้าแสนถึงหนึ่งล้านบาท โดยในส่วนของการสูบในที่สาธารณะ มีความผิดพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ 2560 โทษแรงมาก แต่กลับมีวางขายเกลื่อน ทั้งตลาดออนไลน์-ออฟไลน์ โดยตำรวจมีเอี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจไซเบอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ชื่อย่อว่า สอท. จะตีเมืองขึ้น คือใครจะขายต้องจ่ายส่วย ไม่จ่ายก็จับ แล้วของกลางที่ยึดเอามาก็มีหัวเบี้ยลูกน้องเอาไปขายต่อ

เว็บไซต์ okwave รายงานว่าปัจจุบันมีราว 50 ประเทศ ที่บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย เช่น ญี่ปุ่น อิตาลี นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก จีน แคนาดา ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ ไต้หวัน ส่วนประเทศที่มีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ต้องตรวจสอบ คือ อเมริกา เพราะแต่ละรัฐมีกฎหมายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าไม่เหมือนกัน ขณะที่มาเลเซีย บุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตราบใดที่ไม่มีสารนิโคติน


“ผมอยากจะย้อนไปว่า มีหมอคนหนึ่งเฮ้าเลี่ยน จำกัดการสูบบุหรี่ คุณหมอที่ต่อสู้เรื่องนี้ออกมา ขอบพระคุณมาก คุณหมอครับ คุณหมอหน้าไหว้หลังหลอกหรือเปล่า คุณหมอมาเน้นในเรื่องการสูบบุหรี่ว่าเป็นอันตราย ผมเรียนถามคุณหมอครับ คุณหมอที่ออกกฎหมายนี้ แล้วเหล้า-เบียร์ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือ คุณหมอไปดูซิว่า คนตายเพราะบุหรี่ กับคนตายเพราะกินเหล้ามากเกินไป สูบบุหรี่ไม่เมา สูบบุหรี่ไม่ได้ขับรถแล้วไปชนเขา หรือแม้กระทั่งสูบบุหรี่ผสมกัญชา หรือสูบกัญชา ก็สูบกันที่บ้าน เวลาเคลิ้มขึ้นมา ง่วงนอน ก็ไปนอน แต่เบียร์และเหล้าทานเข้าไปแล้ว ตีกันจะตาย ขึ้นโรงพัก ฆ่ากันเป็นเบือ ก็เพราะเบียร์และเหล้า

“คุณหมอไม่หน้าไหว้หลังหลอกไปหน่อยหรือ มาเน้นเรื่องนี้ พ่วงบุหรี่ไฟฟ้าเข้าไปอีก สร้างกฎระเบียบข้อบังคับเยอะแยะไปหมด คุณหมอคงคิดว่าเท่ฉิบหายเลยใช่ไหม แต่คุณหมอรู้หรือเปล่าว่ากฎระเบียบที่คุณหมอสร้าง ตำรวจจับกฎระเบียบทุกอย่างไปรีดไถคน แล้วคุณหมอไปดูสิ ประเทศที่ผมเอ่ยชื่อมาทำไมเขาให้สูบบุหรี่ไฟฟ้าได้”นายสนธิกล่าว

เมืองท่องเที่ยว หรือเมืองเตารีดกับปี๊บ

นายสนธิ ยังได้กล่าวถึง กรณีที่นายชูวิทย์ออกมาแฉต่อหลังจากพา “สกาย” หนุ่มชาวสิงคโปร์มาแถลงข่าวที่โรงแรมเดวิส ว่า ทุกวันนี้คนดีกลัวด่าน แต่คนร้ายไม่กลัว เพราะจ่ายเงินได้ ถ้าเมาแล้วจ่าย 2-3 หมื่นบาท ก็จะปล่อยไป ถ้ามีฉี่ม่วง 1 แสนบาท หากต่างชาติ โดนแน่ของชอบ เพราะขู่ง่าย จ่ายง่าย จบง่าย แค่บอกว่าจะต้องไปติดคุก ตม. ส่งตัวกลับ เป็นแบล็กลิสต์อีก เข้าไทยไม่ได้ตลอดไป


นายชูวิทย์ บอกว่า ด่านทุกด่านจะตั้งได้ต้องมีเป้า 1 แสนบาท ต่อ 1 ด่าน หาให้นาย แล้วเด็กๆ จะไม่รีดไถได้อย่างไร แต่ก่อนด่านน้อยเพราะบ่อนเปิด แต่ตอนนี้บ่อนปิดเลยต้องหากินตามด่าน เป้าด่านละ 1 แสนบาท คูณ 30 วัน 3 ล้านบาท 88 สน. 200 กว่าล้านบาทต่อเดือน จราจรกลางก็ไม่เบา ตั้งด่านทั่วกรุงเทพฯ อยากจะตั้งก็ตั้ง ถ้าได้ตามเป้า โอเค ไม่อย่างนั้นโดนเบิ้ลครั้งหน้า 2 ต่อ

นายชูวิทย์ บอกอีกว่า พยานคนสิงคโปร์ที่ชื่อสกายนั้นไว้ใจตนเองมากกว่าไว้ใจตำรวจ บอกว่าไม่เคยพบแบบนี้ที่ไหน จึงให้ปี๊บไว้คลุมหัว ให้เตารีดไว้เป็นสัญลักษณ์การรีดไถ พร้อมบอกไปถึงนายกฯ ว่า ไม่ต้องไปเดินหาเสียงทำท่าให้ชาวบ้านผูกผ้าขาวม้า แค่มาจัดการเรื่องคอร์รัปชันให้จบเสียทีเถอะ อย่าไปเที่ยวเพ้อเจ้อว่าต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เพราะมีแต่ฝั่งประชาชนที่เสียเงิน เสียประโยชน์ คุณให้ความเป็นธรรมกับประชาชนก็พอแล้ว ตอนนี้ประชาชนเหลือแต่กางเกงใน อีกฝั่งได้ทุกอย่าง ขี่รถซูเปอร์คาร์คันละ 30-40 ล้านบาท ห้อยนาฬิกาหรู ริชาร์ด มิลล์ 20 ล้านบาท มันจะเป็นธรรมได้อย่างไรครับ เพราะเงินที่ได้มาจากการรีดไถชาวบ้าน แม้แต่คนต่างชาติ นักท่องเที่ยว ก็ไม่เว้น คุณชูวิทย์ บอกว่า ไหนบอกว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว ผมว่าจะเป็นเมืองรีดไถเอานะครับ ต้องทำอนุสาวรีย์เป็นสัญลักษณ์ "เมืองเตารีดกับปี๊บ"

“ผมเหนื่อยเรื่องนี้ บ่อนพนันออนไลน์ ทุกเจ้า มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องหมด มีจริงๆ ท่านผู้ชม เราควรจะล้างตำรวจทั้งประเทศดีไหม ให้ทุกคนลาออกให้หมดเลย แล้วรับใหม่ คัดกรองกันใหม่ เมืองไทยไปไม่รอดจริงๆ” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น