“หมอนิธิพัฒน์” ชี้ กทม.กำลังเผชิญวิกฤต PM 2.5 คุณภาพอากาศแย่ทั้งเมือง มีอันตรายต่อประชาชน วอนหน่วยงานรัฐ WFH ห้ามใช้พาหนะในบางพื้นที่
จากกรณีสถานการณ์ PM 2.5 ประจำวันที่ 2 ก.พ. 66 ข้อมูลจาก IQAir ณ เวลา 07.00 น. กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 183 AQI
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนี้ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล อาจารย์แพทย์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวให้ความเห็นถึงวิกฤตคุณภาพอากาศที่กำลังส่งผลต่อสุขภาพคนกรุงเทพฯ ในขณะนี้ โดยระบุว่า
“เตือนภัยวิกฤตสำหรับคนกรุงเทพฯ
จากรูปคุณภาพอากาศเน้นค่าฝุ่น PM 2.5 ของกรมควบคุมมลพิษเมื่อเจ็ดโมงเช้าวันนี้ ขึ้นสีแดงแล้วครึ่งเมือง แต่ถ้าปรับการรายงานตามมาตรฐานทางการแพทย์สากล ทั้งปรับวิธีการรายงานให้เป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 วันและแสดงค่า ณ ชั่วโมงปัจจุบันไปพร้อมกัน และปรับลดระดับการเตือนภัยให้ต่ำลงเพื่อสุขภาพ หากทำตามที่เสนอนี้แล้ว
กรุงเทพฯ จะเป็นสีแดงทั้งเมืองมาไม่น้อยกว่า 1 วันแล้ว และการเตือนภัยที่เราได้ยินกรอกหูกันว่า
“เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประชาชนต้องระมัดระวังตัวโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง” ต้องเปลี่ยนเป็น
“มีอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนทุกคน......” นอกจากแค่ให้ประชาชนปฏิบัติตัวแล้ว หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบทั้งหลาย ต้องบอกด้วยว่าตัวเองพยายามทำการแก้ไขเชิงระบบและมาตรการประทังปัญหาอะไรอยู่บ้าง มีปัญหาและอุปสรรคอะไรที่ขัดขวางอยู่ และต้องการการบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชนอย่างไร
ในเวลาใกล้เคียงกัน จากรูปด้านซ้ายมือในห้องทำงานผม วัดค่าฝุ่น PM 2.5 ได้ 113 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรถ้าเปิดหน้าต่างโล่ง ถ้าปิดห้องให้สนิทดังตรงกลางรูปจะลดมาราวครึ่งหนึ่งที่ 57 และถ้าเปิดเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอกับขนาดห้องดังด้านขวามือของรูป จะลดมาได้อีกราวครึ่งหนึ่งที่ 27
นั่นหมายความว่าคนกรุงเทพฯ วันนี้ไม่ควรออกไปที่โล่งแจ้ง ถ้าจำเป็นและพอรอได้ รอจนกว่าค่าฝุ่นในชั่วโมงนั้นต่ำกว่า 75 และให้ใส่หน้ากากที่เหมาะสม ผู้อยู่ในห้องที่ระบบอากาศแบบเปิดติดต่อภายนอก ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา จนกว่าค่าฝุ่นภายนอกในชั่วโมงนั้นต่ำกว่า 100 เพราะการใส่หน้ากากที่เหมาะสมจะกรองฝุ่นได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
ผู้อยู่ในห้องที่มีระบบอากาศแบบปิดและใช้เครื่องปรับอากาศ แต่ไม่มีเครื่องกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอกับขนาดห้อง ต้องใส่หน้ากากถ้าวัดค่าฝุ่นในห้องได้เกิน 50 หรือค่าฝุ่นภายนอกเกิน 100 ผู้อยู่ในห้องที่มีระบบอากาศแบบปิดและใช้เครื่องปรับอากาศ พร้อมมีเครื่องกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอกับขนาดห้อง ไม่ต้องใส่หน้ากาก ถ้าเปิดเครื่องฟอกอากาศเต็มที่แล้ววัดค่าฝุ่นในห้องได้ไม่เกิน 37.5
ถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยงตัวเลขต่างๆ ข้างต้น ให้ลดลงอีก 30-50% ประกาศปิดสถานศึกษาและให้เรียนออนไลน์ได้แล้ว จะมัวรออะไรกันอยู่ หน่วยงานรัฐ work from home ให้มากที่สุด หน่วยงานเอกชนขอความร่วมมือ ห้ามใช้ยานพาหนะส่วนตัวในบางพื้นที่ ในบางช่วงเวลา ห้ามจอดรถโดยไม่ดับเครื่องยนต์ ระงับการก่อสร้างชั่วคราวในทุกพื้นที่ ห้ามการเผา ปิ้ง ย่าง หรือการทำให้เกิดควันทุกชนิด ในที่โล่งแจ้ง ขอเพิ่มรูปท้ายสุด ความพยายามของหน่วยงานรัฐ ที่เปรียบเสมือนไก่กระพือปีกในสุ่ม แต่ดีกว่าการนิ่งดูดายของผู้มีอำนาจระดับสูงขึ้นไป”