“สนธิ” จับพิรุธ “นอท กองสลากพลัส” กรณีรับโอนเงินจาก “อ.” 53 ล้านบาท อ้าง “อ.”ต้องการรู้ขั้นตอนการขึ้นเงินก่อนตัดสินใจร่วมลงทุน จึงมอบสลากที่ถูกรางวัลให้ไปขึ้นเงินแทน ฟังไม่ขึ้น ชี้พฤติกรรมเข้าข่ายฟอกเงินขาออก นำเงินผิดกฎหมายมาซื้อสลากที่ถูกรางวัลไปขึ้นเงินกลายเป็นเงินสะอาด
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 20 ม.ค.66 กรณีนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท ซีอีโอบริษัทล็อเตอรี่ออนำไลน์ จำกัด เจ้าของแพลตฟอร์มจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบออนไลน์ “กองสลากพลัส” ได้แถลงข่าวตอนหนึ่งหลังจากนายพันธ์ธวัชได้เข้าชี้แจงต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยกรณีที่มีผู้ต้องหาในคดีอื่นชื่อย่อ อ.ได้โอนเงินเข้าบัญชีของนายพันธ์ธวัช 2 ครั้งจำนวน 42 และ 11 ล้านบาท รวม 53 ล้านบาทนั้น เป็นเพราะตนเองได้เอาล็อตเตอรี่ 11,600 ใบมอบอำนาจให้นาย อ.ไปขึ้นเงิน แล้วจึงโอนกลับมาเข้าบัญชีตนเอง ไม่ใช่การฟอกเงิน โดยนายพันธ์ธวัชอ้างว่าสาเหตุที่ให้นาย อ.นำล็อตเตอรี่ไปขึ้นเงิน เพราะนาย อ.ต้องการจะร่วมลงทุน และต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายตกลงกันไม่ได้ จึงแยกย้ายกันไปและไม่เจอกันอีก
นายสนธิกล่าว่า การแถลงของนายพันธ์ธวัชดังกล่าว มีข้อสังเกตว่า เหตุใดนายพันธ์ธวัชจึงไว้ใจนาย อ.มอบสลาก 11,600 ใบ มูลค่า 53 ล้านบาท ไปขึ้นเงินทั้งที่นายพันธ์ธวัชก็บอกว่าเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก ประเด็นนี้นายพันธ์ธวัชอ้างว่า เพราะมีเลขาฯ ไปด้วยและตนไปยืนเฝ้าทุกขั้นตอน จึงมั่นใจว่าปลอดภัย
ประเด็นต่อมา มีเงินโอนเข้าบัญชีนายพันธ์ธวัชอีก 39 รายการ จำนวนเงิน 1,091 ล้านบาท ที่ดีเอสไอตั้งคำถามว่าเป็นเงินของใคร ใช้จ่ายอะไรให้นายพันธ์ธวัชชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 14 วัน
ทั้งนี้ ได้นายสนธิ ได้จับพิรุธจากการแถลงข่าวของนายพันธ์ธวัช โดยเชื่อว่า การที่นาย อ.นำสลากจากนายพันธ์ธวัชไปขึ้นเงินรวม 53 ล้านบาทนั้น น่าจะเป็นการฟอกเงิน “ขาออก” คือการนำเงินที่ผิดกฎหมายมาซื้อสลากที่ถูกรางวัลแล้วนำไปขึ้นเงิน เพื่อให้ที่ได้กลายเป็นเงินถูกกฎหมาย โดยธุรกิจของ “กองสลากพลัส” นั้น ส่อเป็นการฟอกเงินทั้งขาเข้าและขาออก โดยขาเข้าก็คือรับเงินกู้จากเงินสีเทาเพื่อนำไปซื้อสลากโดยให้ดอกเบี้ยและทำสัญญาถูกต้อง เมื่อครบสัญญาก็คืนเงินให้กลายเป็นเงินที่มีแหล่งที่มาที่ไป
นายสนธิกล่าวต่อว่า ทำไมไม่มีผู้ที่ซื้อจากกองสลากพลัสแล้วถูกรางวัลไปขึ้นเงินด้วยตัวเอง คำตอบคือ เพราะมีการทำการตลาดแบบฉลาดแกมโกง จ่ายเงินรางวัลให้ผู้ถูกเต็มจำนวน ไม่หักค่าธรรมเนียม โดยใช้การประชาสัมพันธ์ว่า ซื้อง่าย โอนไว จ่ายเต็ม ใครที่ซื้อจะมีบริการจัดเก็บลอตเตอรี่ไว้ให้ เมื่อผลสลากออกมาก็จะตรวจให้ด้วย ใครถูกรางวัลที่ 1 ก็จะเอาเงินสดไปให้ด้วยตัวเอง โดยไม่หักอะไรทั้งสิ้น ส่วนรางวัลอื่นๆ ก็โอนให้ภายในไม่กี่ชั่วโมงด้วยยอดเต็มจำนวน ไม่เหมือนการขึ้นเงินกับสำนักงานสลากกินแบ่งหรือธนาคารกรุงไทยที่จะมีการหักค่าธรรมเนียม
วิธีการเช่นนี้ ทำให้ผู้ซื้อที่ไม่อยากเสียเวลารอให้กองสลากพลัสส่งลอตเตอรี่มาให้เพื่อไปขึ้นเงินเองและเสียค่าธรรมเนียมยอมให้กองสลากพลัสไปขึ้นเงินแทน ลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลจึงอยู่ในมือของนายพันธ์ธวัชจำนวนมาก โดยแต่ละงวดมีสลากที่ถูกรางวัลกับกองสลากพลัสประมาณ 2 แสนใบ และกองสลากพลัสได้จ่ายเงินให้ผู้ถูกรางวัลล่วงหน้าไปก่อนแบบเต็มจำนวน ขณะที่เงินรางวัลสลากกินแบ่งนั้นคนที่ไปขึ้นเงินไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
ประเด็นต่อมา นายพันธ์ธวัชรวบรวมล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลได้เป็นจำนวนมาก ก็สามาถส่งต่อให้ทุนสีเทา ไปขึ้นเงินต่อได้ คนที่ทำธุรกิจสีเทาพวกนี้เดิมทีต้องตามหาคนที่ถูกรางวัล แต่ขณะนี้เหมือนมีกองสลากพลัสเป็นที่รวบรวมไว้ให้ ไม่ต้องไปตามหาเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้น หากจะให้บริการแก่กลุ่มทุนที่ทำผิดกฎหมายนำไปฟอกเงินก็สามารถให้บริการได้ทันที เช่น กรณีดีเอสไอจับกุมเครือข่ายนาย อ.ที่กลายเป็นคดี
อีกประเด็นหนึ่ง นายพันธ์ธวัชเคยบอกว่าตนเองเป็นคนนำสลากไปขึ้นเงินทุกใบ โดยให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย ช่อง 9 อสมท เมื่อวันที่ 5 ม.ค.66 ว่า ตนเองเป้นคนนำสลากไปขึ้นเงอทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการโกหก เพราะอย่างน้อยก็เกิดกรณี เดือน ส.ค.64 ที่เป็นคดีขึ้นมา กรณีนายพันธ์ธวัชให้นาย อ.นำสลากไปขึ้นเงินจำนวนกว่า 1 หมื่นฉบับ เป็นเงิน 53 ล้านบาท
นายพันธ์ธวัชได้แสดงเอกสารต่อสื่อมวลชนตอนแถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 ม.ค.66 เป็นเอกสารการบันทึกข้อตกลงมอบอำนาจให้นาย อ.ไปขึ้นเงิน รวมทั้งหลักฐานการโอนเงินให้นายนายพันธ์ธวัช ซึ่งมีข้อสังเกต ว่า 1.เป็นเอกสารทำย้อนหลังหรือไม่ ซึ่งพิสูจน์ได้ยาก เพราะใครๆ ก็ทำย้อนหลังได้ เพื่อเคลยร์ตัวเอง แต่ถ้าเอกสารจริงก็แสดงว่าทั้งสองคนต้องไว้ใจกันมากจึงมอบอำนาจให้ ซึ่งย้อนแย้งกับที่นายพันธ์ธวัชบอกว่าไม่รู้จักกันมาก่อน
2.คำกล่าวที่ถือเป็นจุดตายของนายพันธ์ธวัช ก็คือคำพูดที่ว่านาย อ.อยากมาเป็นนายทุนผู้ให้กู้ จึงอยากรู้ขั้นตอนการขึ้นเงิน แต่ทำไมจึงพานาย อ.ไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้ขึ้นเงินด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังเอาสลากที่ถุกรางวัลให้นาย อ.ไปขึ้นเงินเองอีกด้วย ซึ่งนี่น่าจะเป็นวิธีการฟอกเงินปลายทาง คือซื้อสลากที่ถูกรางวัลจากกองสลากพลัสเพื่อเอาไปขึ้นเงิน เพื่ออ้างว่าเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีการฟอกเงินที่ใช้กันมานาน โดยเมื่อก่อนคนที่ต้องการฟอกเงินต้องตามสืบเสาะหา แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่กองสลากพลัสกลายเป็นแหล่งรวบรวมสลากที่ถูกรางววัลไว้จำนวนมาก ส่วนคนที่ถูกรางวัลก็ไม่รู้ เพราะได้เงินไปแล้ว
“ที่เป็นพุิรุธเพิ่มเติมคือถ้าจะสาธิตการขึ้นเงินจริงๆ ทำไมต้องทำซ้ำถึง 2 ครั้ง วันที่ 4 ส.ค.64 จำนวน 42 ล้าน วันที่ 5 ส.ค.64 อีก 11 ล้าน อยากรู้ขั้นตอน ทำวันเดียวก้ได้แล้ว เพราะฉะนั้นข้ออ้างนี้ ฟังไม่ขึ้น และเชื่อว่าดีเอสไอน่าจะมีข้อสรุปในใจว่าฟังไม่ขึ้น”
นายสนธิได้สรุปถึงพฤติกรรมของนายพันธ์ธวัชที่จะเข้าข่ายฟอกเงินหรือไม่ ดังนี้ 1.การรวบรวมสลากที่ถูกรางวัลไว้กับตัวเองได้สำเร็จด้วยแรงจูงใจจ่ายเต็มให้คนถูกรางวัล
2.นายพันธ์ธวัชอยากได้เงินกู้จากนาย อ.เลยพาไปดูระบบการขึ้นเงิน แต่แทนที่จะให้ดูขั้นตอนการขึ้นเงินของนายพันธ์ธวัช โดยนายพันธ์ธวัชเป็นคนไปขึ้นเงินแล้วให้นาย อ.ยืนดูก็ได้ แต่กลับพานาย อ.ไปขึ้นทะเบียนเป็นคนขึ้นเงิน 3.การมอบสลากถึง 1 หมื่นกว่าฉบับให้นาย อ.ไปขึ้นเงินแทน โดยอ้างว่าได้ทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ 53 ล้านบาท เป็นข้อตกลงหลังบ้านไม่เกี่ยวกับกองสลาก 4.เมื่อนาย อ.นำสลากไปขึ้นเงิน 53 ล้านบาท นาย อ.ก็เป็นผู้ได้รับเงิน 53 ล้านบาทจากสำนักงานสลากกินแบ่งฯ กลายเป็นเงินสะอาดที่มีที่มาที่ไป 5.นาย อ.ส่งเงินให้นายนายพันธ์ธวัชภายหลังโดยแคชเชยร์เช็คเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย 6.เมื่อเสร็จกระบวนการแล้วนายพันธ์ธวัชอ้างว่าการเจรจาร่วมลงทุนกับนาย อ.ตกลงกันไม่ได้จึงแยกทางกัน
นายสนธิกล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจาก พ.ร.บ.ปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5 แล้วพฤติกรรมของนายพันธ์ธวัชน่าจะเข้าข่ายการฟอกเงิน ยิ่งเมื่อเทียบกับที่มาของนาย อ.ที่ทำธุรกิจพนันออนไลน์ด้วย ดีเอสไอน่าจะลงมติว่าการโอนเงิน 53 ล้านบาทครังนี้เป็นการฟอกเงิน ซึ่งการโอน 2 ครั้งก็ถือเป็น 2 กรรม
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการโอนเงินอีก 39 รายการจำนวน 1,091 ล้านบาทเข้าบัญชีส่วนตัวนายพันธ์ธวัชว่าเกี่ยวโยงกับใครบ้าง ตามที่ดีเอสไอมีข้อมูล โดยนายพันธ์ธวัชเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่เคยโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัว เท่ากับเป็นการโกหก และเงิน 1,093 ล้านบาทนั้นถ้าคิดเฉลี่ยการโอนต่อครั้งก็เท่ากับคร้งละ 28 ล้านบาท ไม่ใช่น้อยๆ แต่ก็อยากให้ความเป็นธรรม นายพันธ์ธวัชไปชี้แจงต่อดีเอสไออาจจะมีข้อมูลอะไรที่เป็นทีเด็ดของเขาก็ได้
แต่เมื่อย้อนไปดูตอนที่ให้สัมภาษณ์นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ 5 ม.ค.66 ที่บอกว่าทุกบาทุกสตางค์ขึ้นเงินในชื่อของเขาหมด เขาเป็นตัวแทนขึ้นเงิน สลากทุกใบเขาขึ้นเองหมด ถ้านายพันธ์ธวัชพูดจริงก็คงไม่ยากในการชี้แจง บัญชีส่วนตัวของเขา ซึ่งมีบัญชีที่รับโอนเงินจากสำนักงานสลากกินแบ่งจากธนาคารกรุงไทยเข้ามาทุกงวด ตรงนี้ต้องเปิดเผยออกมาว่ามีการโอนเงินจากบัญชีสำนักงานสลากกินแบ่งเข้าบัญชีนายพันธ์ธวัชทุกงวดตามยอดที่ตรงกับจำนวนสลากที่ถูกรางวัลหรือไม่ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าไม่โกหก และไม่ได้ขายรางวัลให้ใคร ถ้าชี้แจงได้ก็เดินหน้าต่อไป แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ เหตุการณ์จะบานปลายอย่างแน่นอน
สำหรับเบื้องหลังของนาย อ.หรือนายเฟยนั้น นายสนธิ กล่าวว่าเป็นหลานของเจ้าของบ่อนการพนันลอยฟ้าแห่งหนึ่งที่ทำเว็บพนันออนไลน์ และนำเงินไปฟอกผ่านธุรกิจต่างๆ โดยมีลูกน้องชื่อนายสุทินเป็นคนจัดการเรื่องบัญชีม้าให้