1.คลิปหลุด "ปลัด มท." ด่าหยาบ ขรก.-เหยียดหยามสถาบันศึกษา หลังคลิปว่อน รีบขอโทษ อ้างไม่เจตนา แค่พูดจาสไตล์ลูกทุ่ง!
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. โลกออนไลน์ได้มีการเผยแพร่คลิปนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ที่มีการถ่ายทอดผ่านระบบซูม ซึ่งเนื้อหาตอนหนึ่ง นายสุทธิพงษ์ ได้ตำหนิการชี้แจงของข้าราชการด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย และมีลักษณะเหยียดหยามทั้งตัวข้าราชการดังกล่าวและสถาบันการศึกษาที่ข้าราชการดังกล่าวจบมา จนแทบไม่น่าเชื่อว่า ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นถึงปลัดกระทรวงมหาดไทยจะใช้ถ้อยคำเช่นนี้
โดยนายสุทธิพงษ์ ได้ถามข้าราชการดังกล่าวว่า อุปสงค์เท่ากับอุปทาน ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่าอะไร ด้านข้าราชการฯ ตอบว่า คือ Demand และ Supply ขณะที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยหัวเราะเยาะ แล้วถามข้าราชการคนดังกล่าวว่าเรียนจบอะไรมา ข้าราชการฯ ตอบว่า จบปริญญาโทรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปลัด มท.จึงถามต่อว่า ทำไมโง่อย่างนั้น คุณรุ่นอะไร ข้าราชการคนดังกล่าวได้ตอบว่า รัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปลัด มท.ได้ตำหนิว่า โง่เป็นควายเลย ไอ้เ-ียเอ๊ย ก่อนถามต่อว่าเข้ารุ่นอะไร ได้รับคำตอบว่า เข้าตอนเรียนปริญญาโท ปลัด มท.จึงร้องว่า "กูว่าแล้ว" และกล่าวว่า คนที่เรียนรัฐศาสตร์ รจุฬาฯ เขาเรียนเศรษฐศาสตร์ 2 ตัว ถ้าอุปสงค์เท่ากับอุปทาน เขาเรียกว่าตลาดสัมบูรณ์ ที่บอกว่าความต้องการของราชทัณฑ์เท่ากับซัปพลายของภาคเกษตรมันไม่ใช่ ถ้าใช่ เราจะส่งออกสินค้าเกษตรทำไม เพราะมีตลาดสัมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องช่วยอะไรแล้ว
จากนั้นนายสุทธิพงษ์ได้ถามกลับข้าราชการคนเดิมว่า เรียนจบปริญญาตรีจากที่ไหน ข้าราชการฯ ตอบกลับว่า มหาวิทยาลัยสยาม นายสุทธิพงษ์จึงบอก "โอ กูว่าแล้ว" ก่อนจะย้อนถามอีกว่า เรียนปริญญาโทรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ภาคผู้บริหาร หรือภาคปกติ ข้าราชการจึงแจ้งว่า เป็นหลักสูตรหลังเลิกเรียน นายสุทธิพงษ์จึงหัวเราะออกมาอีกครั้ง พร้อมตำหนิว่า ให้กลับไปคุยกับคณบดีให้ดี ก่อนจะบอกทิ้งท้ายว่า มหาวิทยาลัยสมัยนี้ชอบหาเงิน เปิดหลักสูตรอะไรไม่รู้มั่วไปหมด
นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่คลิปวีดีโออีกคลิปที่นายสุทธิพงษ์ตำหนิจังหวัดภูเก็ต ถึงแผนการบริหารจัดการขยะของจังหวัดภูเก็ต โดยระบุว่า ที่อธิบายมาผิด เพราะแผนของการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะ ไม่ใช่แค่การจัดทำหรือรณรงค์ให้คนทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน และบอกว่าเมื่อฟังคำถามไม่เข้าใจแล้วจะไปทำงานได้ถูกหรือไม่ และว่า ฝากไปบอกผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตด้วยว่า ปลัดกระทรวงมหาดไทย ชื่อสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ขอร้องให้ถอนตัวออกจากการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028 ของจังหวัดภูเก็ต ในปี 2571 โดยจะทำหนังสือแจ้งนานาชาติให้ ว่าภูเก็ตไม่ควรเป็นเจ้าภาพ เพราะไม่ได้ดูแลสิ่งแวดล้อม และยังไม่ได้บริหารจัดการให้คนในจังหวัดได้ตื่นตระหนกตกใจกับภาวะโลกร้อน และมีวัฒนธรรมของการเป็นคนที่จะช่วย Change for Good เกิดขึ้น
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากคลิปดังกล่าวหลุดสู่โลกออนไลน์และถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์นายสุทธิพงษ์ ปลัด มท. ในทางเสื่อมเสีย ปรากฏว่า นายสุทธิพงษ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กขอโทษต่อคำพูดของตนเองที่กล่าวในการประชุมข้าราชการกระทรวงมหาดไทย "ผมเองต้องยอมรับว่าพูดจริง และเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม ต้องขอโทษทุกท่านด้วยครับ เพราะไม่พอใจที่นำเรื่องเก่าที่เคยนำเสนอมาหลายครั้งแล้ว และไม่มีการนำเสนอผลงานใหม่ ...จึงทำให้ไม่ทันยั้งคิด และเกิดถ้อยคำรุนแรง ไม่เหมาะสม
"สำหรับเรื่องถ้อยคำขอน้อมรับด้วยความเสียใจ และขอกราบเรียนยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนาที่ดูหมิ่นสถาบันการศึกษาใดๆ เลย ในฐานะที่ผมเองเป็นนักเรียนโรงเรียนวัด โรงเรียนต่างจังหวัด อยากให้ทุกคนช่วยกันพัฒนางาน ไม่ใช่เสนออะไรไม่รู้เรื่อง ขอเรียนยืนยันว่า ผมเคยแจ้งพี่ๆ น้องๆ ชาวมหาดไทย ทุกคนให้ทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ผมเป็นคนพูดจาสไลต์ลูกทุ่ง อาจมีการดุด่าลูกน้อง เพื่อเร่งรัดงานเพื่อพี่น้องประชาชน แต่ในชีวิตรับราชการมา 34 ปีเศษแล้ว ผมไม่เคยด่าพี่น้องประชาชน...
"แน่นอนผมเป็นผู้นำที่อาจไม่ดีในสายตาของใครหลายคนได้ แต่รับรองไม่ได้มีเจตนาดูถูกเหยียดหยามใครๆ ผมต้องกราบขออภัยทุกท่านที่ใช้คำพูดไม่เหมาะสม เป็นบทเรียนที่ล้ำค่าที่ต้องนึกถึงคำเตือนของภรรยาผม นึกถึงผู้ใหญ่ที่เคยตักเตือนแนะนำในเรื่องนี้กับผมหลายต่อหลายครั้งว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องเลิกการด่าลูกน้องด้วยคำพูดที่สังคมกำลังตำหนิผม แม้ว่าผมจะแก่แล้ว ใกล้เกษียณอายุราชการแล้ว..."
นายสุทธิพงษ์ ยังชี้แจงกรณีตำหนิและจะทำหนังสือให้จังหวัดภูเก็ตถอนตัวจากเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028 ของจังหวัดภูเก็ตด้วยว่า เป็นการกระตุ้นผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตและทีมงานให้เอาจริงเอาจังเรื่องสิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้ภาคราชการของจังหวัดภูเก็ตช่วยกันขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง วางระบบให้เกิดประโยชน์ โดยไม่ใช่เป็นการไปขัดขวางการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลก
ล่าสุด (31 ธ.ค.) นายกฤตภาส เชษฐเจริญรัตน์ นายกสโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำหนังสือถึงนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะนายกสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยระบุว่า เนื่องด้วยสโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้รับร้องเรียนจากนิสิตจุฬาฯ และบุคคลภายนอกจำนวนมากว่า ท่านได้ใช้วาจาหยามหมิ่นสติปัญญาและชื่อเสียงของสถานศึกษาของข้าราชการชั้นผู้น้อย ภายใต้บังคับบัญชา สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ รู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งต่อทัศนคติอันเลือกปฏิบัติและดูถูกเหยียดยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ดังกล่าว การกระทำของท่านได้ยังความเสียหายมาสู่บุคคลที่ถูกหยามหมิ่นและสถานศึกษาที่ปลูกฝังจิตสำนึกให้รับใช้ประชาชน
ทั้งนี้ เพื่อให้คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังคงเป็นแบบอย่างอันดีงามและเป็นสถานศึกษาที่ผลิตบุคลากรคุณภาพสู่สังคม จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านพิจารณาทบทวนอีกครั้งถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อนึ่ง นายสุทธิพงษ์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยเมื่อปี 2564 สำหรับประวัตินายสุทธิพงษ์ จบการศึกษาปริญญาตรี และปริญญาโท รัฐศาสตร์บัณฑิต และรัฐศาสตรมหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาภาวะผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ความเป็นเลิศ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และรัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
นายสุทธิพงษ์ ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2563 ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชุนว่า เขาและภรรยา คือ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ มีทรัพย์สินรวมกันกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยนายสุทธิพงษ์มีทรัพย์สิน 15,724,125 บาท ส่วน ดร.วันดี ภรรยา มีทรัพย์สิน 10,209,774,199 บาท
ด้านนายสงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความชื่อดัง และกรรมการปฎิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ในฐานะศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์และนายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยสยาม ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สภ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต ให้ดำเนินคดีอาญากับนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (1) โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือแค่บางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชนและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
“จากคำพูดของปลัดกระทรวงมหาดไทยนั้น ถือเป็นการด้อยค่าผู้ใต้บังคับบัญชา และเป็นคำพูดที่เจ็บปวด เปรียบดังสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล ดังนั้น หน้าที่สำคัญที่สุดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ จะต้องตั้งกรรมการสอบวินัย เพราะปล่อยให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทำกับลูกน้องได้อย่างไร ด้วยเป็นการประชุมผ่านระบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์กับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยทุกจังหวัด ถือเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตน คือ การด้อยค่ามหาวิทยาลัยสยาม ซึ่งตนเป็นศิษย์เก่าและนายกสมาคมศิษย์เก่า จึงยอมไม่ได้”
นายสงกาญ์ เผยด้วยว่า “ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน บางคนร้องไห้ บางคนบอกว่า เวลาที่ไปสมัครงานจะรู้สึกอย่างไร และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยฯ มีจำนวนนับพันนับหมื่นคน จะรู้สึกอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างร้ายแรง และการแค่ออกมาขอโทษน้อยไป สปิริตต้องมี แม้กระทั่งควายจะไปดูถูกได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ควายมีประโยชน์ต่อคน เปรียบเทียบว่าควายโง่ คงไม่ใช่ อดีตเรามีควายลากเกวียนให้มีข้าวกิน ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและนายกรัฐมนตรีจะอยู่เฉยไม่ได้ จะปล่อยให้คนเช่นนี้ทำหน้าที่ต่อไปหรือ”
2.รวบอธิบดีกรมอุทยานฯ เรียกรับเงินลูกน้อง ถ้าไม่จ่ายโดนย้าย ยึดเงินสดของกลางเกือบ 5 ล้าน เจ้าตัวอ้าง โดนแกล้ง!
เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้เป็นประธานประชุมผู้บริหารระดับสูงของกรมฯ นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารส่วนต่างๆ ของกรมอุทยานฯ ทั่วประเทศถือกระเช้าเพื่อมาอวยพรปีใหม่นายรัชฎาจำนวนมาก
ปรากฏว่า ขณะที่การประชุมกำลังดำเนินอยู่ ได้มีเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และตำรวจ บุกเข้ามาในห้องประชุม พร้อมเชิญตัวนายรัชฎาเข้าไปในห้องเพื่อพูดคุย ท่ามกลางความงุนงงของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ที่อยู่ในห้องประชุม
ต่อมา ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ป.ป.ท., ปปป. และตำรวจสอบสวนกลาง ได้แถลงถึงการจับกุมนายรัชฎาคาห้องทำงาน โดยระบุว่า ป.ป.ช.ได้รับแจ้งเบาะแสกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง สังกัดกรมอุทยานฯ ใช้อำนาจหน้าที่เรียกรับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อแลกกับการไม่ถูกโยกย้ายตำแหน่ง โดยพฤติการณ์คือ นายรัชฎาได้เรียกเก็บเงินจากหัวหน้าหน่วยงานภาคสนามทั่วประเทศ หากหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ที่ถูกเรียกเก็บ ไม่สามารถนำเงินมาให้แก่อธิบดีได้ ก็จะถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งเดิม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในพื้นที่ที่ห่างไกลจากภูมิลำเนา จึงทำให้มีการวิ่งเต้นกับอธิบดีเพื่อไม่ให้ถูกโยกย้าย รายละประมาณ 2-3 แสนบาท นอกจากนี้ อธิบดียังได้เรียกเก็บเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นรายเดือน เพิ่มเติมจากที่เรียกเก็บในอัตราดังกล่าวอีกด้วย
นายนิวัติไชย กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้ร่วมกับตำรวจ บก.ปปป.วางแผนเข้าจับกุมนายรัชฎา โดยนัดหมายให้ผู้เสียหายส่งมอบเงินให้แก่อธิบดี เพื่อเป็นค่าไม่ให้โดนโยกย้าย จำนวน 98,000 บาท ในวันที่ 27 ธ.ค. เวลา 09.00 น.ที่ห้องทำงานของอธิบดีกรมอุทยานฯ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้วก่อนส่งมอบให้ผู้เสียหาย เพื่อนำไปมอบให้อธิบดี เมื่อผู้เสียหายส่งมอบเงินให้อธิบดีแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าไปแสดงตัวจับกุมผู้ต้องหา โดยได้ตรวจค้นพบว่า เงินสด 98,000 บาท วางอยู่บนโต๊ะของอธิบดี
นายนิวัติไชย เผยอีกว่า นอกจากนี้ยังพบของกลางเป็นเงินสดอีกเกือบ 5 ล้านบาท อยู่ในห้องดังกล่าว ซึ่งผู้ต้องหาอ้างว่า ไม่ทราบเรื่องที่มีการเรียกรับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบเงินสด 98,000 บาทดังกล่าวต่อหน้าผู้ต้องหา พบว่า หมายเลขธนบัตรตรงกับที่ได้ลงบันทึกประจำวันไว้ จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบว่า เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 ซึ่งเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ โดยพนักงานสอบสวน บก.ปปป.จะสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อนำส่งสำนวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาตามกฎหมายต่อไป
วันเดียวกัน (27 ธ.ค.) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เผยว่า เห็นข่าวจับกุมอธิบดีกรมอุทยานฯ แล้วตกใจ เพราะก่อนหน้านี้ ทางกระทรวงเพิ่งจะมีแคมเปญไม่รับกระเช้าของขวัญในช่วงวันปีใหม่ไปไม่นาน อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยให้ผลสอบอกมาภายใน 7 วัน ผลสอบออกมาอย่างไร ก็ว่ากันไปตามระเบียบราชการต่อไป
วันต่อมา(28 ธ.ค.) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.จับกุมนายรัชฎา อธิบดีกรมอุทยานฯ ฐานเรียกรับเงินจากการโยกย้ายตำแหน่งว่า เมื่อมีการแจ้งเบาะแส ป.ป.ช.และ ป.ป.ช.รายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการไปจับกุม ซึ่งขณะนั้นหลักฐานยังไม่ชัดเจน 100% นายกรัฐมนตรีจึงลงนมคำสั่งให้นำตัวนายรัชฎามาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ซึ่งมีผลในวันนี้ (28 ธ.ค.) เพื่อดึงนายรัชฎาออกมาจากการเป็นอธิบดี ตาม พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 11 ที่นายกฯ มีอำนาจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สอบสวนได้สะดวก ซึ่งสื่อจะเรียกกันว่าเข้ากรุก็แล้วแต่ แต่ไม่ใช่การย้าย แต่เป็นการเอาออกมาก่อน ไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่อธิบดี ส่วนการจะปลดออกหรือไล่ออกนั้น ต้องดำเนินการสอบทางวินัย หรือมีความผิดชัดเจน แต่ตอนนี้เอาออกมาก่อน แค่นี้ก็เป็นการลงโทษ 50% แล้ว ส่วนจะย้ายกลับไปหรือไม่ หรือไล่ออกเลย เป็นอีกขั้นหนึ่ง
ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เผยความคืบหน้าการจับกุมนายรัชฎาว่า จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาไม่ยอมให้การใดๆ ทั้งเรื่องเอกสาร เงินสด และเงินล่อซื้อในการจับกุม บอกเพียงว่า สาเหตุมาจากความโกรธเคืองส่วนตัวกับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร แต่ทางตำรวจมั่นใจ มีพยานหลักฐานมัดแน่น ไม่มีมวยล้มแน่นอน
ด้านนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี กล่าวถึงกรณีที่นายรัชฎา ให้การอ้างว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถูกกลั่นแกล้ง เพราะมีปัญหาขัดแย้งกับตน โดยยืนยันว่า ตนไม่เคยมีปัญหาส่วนตัวกับนายรัชฎามาก่อน เพราะหากมีปัญหาขัดแย้งกันจริง นายรัชฎาจะยอมให้ตนเข้าไปในห้อง หรือกล้ารับซองเงินจากมือตนหรือ อีกทั้งที่ผ่านมา ตนก็เคยได้รับฟังปัญหาจากเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวหลายราย บางรายต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อหาเงินมาส่งให้ผู้ใหญ่ทันตามกำหนดด้วย
3. “ในหลวง-พระราชินี” พระราชทานบัตรอวยพรปีใหม่ 2566 แก่ปวงชนชาวไทย!
วันนี้ (31 ธ.ค.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานบัตรอวยพรปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช 2566 แก่ปวงชนชาวไทย
ด้านหน้าของบัตรพระราชทานพรปีใหม่ มีตราประจำพระราชวงศ์จักรีอยู่กึ่งกลาง ด้านล่างเป็นตราพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และตราพระนามาภิไธย ส.ท.
เมื่อเปิดบัตรพระราชทานพร ด้านขวา มีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงฉายกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ระบุพระปรมาภิไธย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และพระนามาภิไธย “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี”
ส่วนด้านซ้าย มีข้อความว่า “พระราชทานพรปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๖” พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธย
4. นักข่าวทำเนียบฯ ตั้งฉายา รบ. "หน้ากากคนดี" ส่วนฉายานายกฯ "แปดเปื้อน" ด้าน "บิ๊กตู่" ฉุน ตั้งฉายาบ้าๆ บอๆ ชี้ ประเพณีแบบนี้ไม่มี!
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลได้มีการตั้งฉายารัฐบาล และรัฐมนตรีประจำปี ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมา เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยได้ตั้งฉายารัฐบาลประจำปี 2565 ว่า “หน้ากากคนดี” เพราะเป็นอีกหนึ่งปี ที่ทุกคนยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกัน ภายใต้หน้ากากของรัฐบาล ที่สร้างภาพจำตลอดเวลาว่าเป็นคนดี นโยบายทุกอย่างทำเพื่อบ้านเมือง และประชาชน แต่กลับเกิดข้อกังขาว่า ยังเดินตามเจตนารมณ์ที่ประกาศไว้ได้หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ฉายา “แปดเปื้อน” จากปมวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ที่สั่นคลอนภาพลักษณ์ของพลเอกประยุทธ์ ตลอดปีที่ผ่านมา และกลายเป็นข้อครหาถึงความชอบธรรมในการครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนาน
พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ฉายา “ลองนายกฯ” แม้จะเป็นเวลาเพียง 38 วัน ที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่พลเอกประวิตรก็ได้ทำอย่างสุดกำลัง
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ฉายา “เครื่องจักรซักล้าง” ความเอกอุด้านกฎหมายระดับปรมาจารย์ในตำนาน ถูกใช้สนองตอบความต้องการของรัฐบาลทุกช่องทาง ทั้งพรรคหลักพรรคร่วม ไม่มีเลือกปฏิบัติ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ได้ฉายา “ภูมิใจดูด พูดแล้วดอย” โดยสื่อทำเนียบฯ มองว่า “พูดแล้วทำ” คือ สโกแกนพรรคภูมิใจไทย แต่ทำแล้วสำเร็จหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แม้จะปลดล็อกกัญชาจากการเป็นยาเสพติด แต่กฎหมายควบคุมกลับค้างเติ่งติดดอย ไปต่อไม่ได้ แต่เมื่อเสียงปี่กลองเลือกตั้งดังขึ้น กลับสวมบทไดโวโชว์พลังดูด ส.ส. นักการเมือง ทั้งจากพวกเดียวกัน และต่างขั้ว
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ได้ฉายา “ประกันไรได้” โดยสื่อทำเนียบฯ มองว่า ”ประกันรายได้” เป็นนโยบายหาเสียงหลักของพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ในฐานะหัวหน้าพรรค แถมยังนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและกระทรวงค้าขาย ก็จัดหนักนโยบายนี้ จนแทบไม่โฟกัสงานอื่น ข้าวของขึ้นราคาไม่หยุด แต่สินค้าเกษตรกลับต้องทุ่มเงินไปประกันอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดคำถามกับการแก้ปัญหาของรัฐบาลด้วยวิธีประกันรายได้ ว่าถูกทางจริงหรือ? ที่ว่าประกันนั้น ‘ประกันไรได้บ้าง’
สำหรับวาทะแห่งปี คือ “เกลียดหรือไม่เกลียดก็ช่างคุณเถอะ เพราะผมไม่รู้” ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 65 เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2565
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่ารู้สึกอย่างไรต่อฉายารัฐบาลหน้ากากคนดี และฉายานายกฯ แปดเปื้อน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่สนใจ" ผู้สื่อข่าวจึงชี้แจงว่า เป็นประเพณีปฏิบัติของสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล นายกฯ จึงกล่าวทันทีว่า “ประเพณีบ้าๆ บอๆ อย่างนี้ไม่มี”
ขณะที่ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาได้ตั้งฉายาสภา ประจำปี 2565 เพื่อสะท้อนการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติของสื่อมวลชนประจำรัฐสภาเช่นกัน โดยสภาผู้แทนราษฎร ได้รับฉายาว่า "3 วันหนี 4 วันล่ม" เนื่องจากการประชุมของ ส.ส.ตลอดปี 2565 ประสบแต่ปัญหาสภาล่มซ้ำซาก ตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่จนส่งท้ายปี ทำให้การทำงานล่าช้า
วุฒิสภา ได้รับฉายา "ตรา ป." เพราะตลอดปี 2565 ส.ว.ยังคงทำหน้าที่รักษามรดกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และในการลงมติพิจารณาเรื่องสำคัญแต่ละครั้ง ก็ไม่มีแตกแถว เพื่อประโยชน์ของ 2 ป. คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ ป.ประยุทธ์ และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือ ป.ประวิตร โดยเฉพาะในการแก้รัฐธรรมนูญ
นายชวน หลีกภัย “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา "ชวน ซวนเซ" เนื่องจากการทำหน้าที่ของนายชวน จากที่เคยได้รับความเคารพ และเชื่อฟังจาก ส.ส.รุ่นน้อง สามารถยุติข้อขัดแย้งต่าง ๆ ได้ แต่ในปีนี้กลับตรงกันข้าม คือ ถูกลดความยำเกรง ไม่ได้รับการยอมรับ และยังถูก ส.ส.ท้าทาย จนหลายครั้งกลายเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง
นายพรเพชร วิชิตชลชัย “ประธานวุฒิสภา” ได้รับฉายา "พรเพชร พักก่อน" การทำหน้าที่ควบคุมการประชุมของนายพรเพชรตลอดปี 2565 มักโดน ส.ส.-ส.ว.ทักท้วง จนบางครั้งได้แสดงความรู้สึกไม่พอใจผ่านสีหน้า และไม่สามารถควบคุมการประชุมร่วมรัฐสภาให้เดินหน้าได้อย่างราบรื่น จึงทำให้เกิดคำถามว่า นายพรเพชร ควรพักก่อนหรือไม่?
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว "ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา "หมอ(ง) ชลน่าน" แม้ นพ.ชลน่าน จะมีความโดดเด่นในการทำหน้าที่จนได้รับฉายาดาวเด่นเมื่อปี 2564 แต่เมื่อได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านฯ จริง กลับหมอง การอภิปรายในสภาไม่โดดเด่นเหมือนอดีต ได้ทำหน้าที่ในนามหัวหน้าพรรคฯ เท่านั้น ขาดอิสระ
"ดาวเด่น’65" ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา เห็นว่า "ไม่มีผู้ใดเหมาะสม" และโดดเด่นเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว
"ดาวดับ’65" ได้แก่ "นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์" ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน โหนกระแสสังคม เพื่อหาพื้นที่ให้ตัวเอง ทั้งคดีนักแสดงสาว “แตงโม”, การว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงของ “โตโน่” รวมถึงกรณี “เรือหลวงสุโขทัยอับปาง” ล้วนแต่เป็นความพยายามหาซีนของ ส.ส.เต้ ทั้งที่ไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้อง
“วาทะแห่งปี’65" ได้แก่ "เรื่องปฏิวัติผมไม่ได้เกี่ยวข้อง นี่ครับคนปฏิวัติ..ท่านนายกฯ คนเดียว" ซึ่งเป็นคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เกิดขึ้นระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อ 20 ก.ค. 2565 และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่นั่งอยู่ข้างกัน ดูจะไม่ยี่หระกับคำพูดดังกล่าว แต่กลับยกมือ ยิ้ม ยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิ
"คนดีศรีสภา’65" ปีนี้ถือเป็นปีที่ 4 ที่ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ยังไม่เห็นว่า จะมี ส.ส. หรือ ส.ว.คนใด เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว
5. ศาลพิพากษาจำคุกสองสาวคนสนิท "บรรยิน" เอี่ยวฟอกเงินโอนหุ้น"เสี่ยชูวงษ์" 300 ล้าน อดีตโบรกเกอร์เจอคุก 20 ปี อดีตพริตตี้โดน 7 ปี!
เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เป็นโจทก์ฟ้องนายบรรยิน หรืออดีต พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, น.ส.วัชรียา วัชรประยงค์วุฒิ หรือ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาว, น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล อดีตพริตตี้ สาวคนสนิทนายบรรยิน, น.ส.ศรีธรา พรหมมา และนายประวีร์ วัชรประยงค์วุฒิ แม่และน้องชายของ น.ส.อุรชา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินที่ได้มาจากการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับประเทศ หลายครั้งหลายหนจำนวน 300 ล้านบาท แล้วยักย้ายถ่ายเทไปซื้อทรัพย์สินอื่นๆ เช่น บ้าน รถยนต์ ฯลฯ
คดีนี้ ศาลสอบคำให้การจำเลยแล้ว ปรากฏว่า น.ส.วัชรียา หรือ น.ส.อุรชา หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาว จำเลยที่ 2 และ น.ส.กัญฐณา หรือน้ำตาล อดีตพริตตี้สาว จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ ไม่ต่อสู้คดี
ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 2-3 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5(1) (2) (3), 60 การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี
โดย น.ส.วัชรียา จำเลยที่ 2 กระทำผิดตามฟ้องจริง 20 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 40 ปี จำเลยให้การสารภาพ มีประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 20 ปี
ส่วน น.ส.กัญฐณา จำเลยที่ 3 กระทำผิดตามฟ้อง 7 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 14 ปี คำสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี ให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 636/2563, อ.637/2563 และ อ 638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ เกี่ยวกับคดีปลอมแปลงเอกสารการโอนหุ้นของนายชูวงษ์
รายงานแจ้งว่า สำหรับนายบรรยิน จำเลยที่ 1 น.ส.ศรีธรา จำเลยที่ 4 และนายประวีร์ จำเลยที่ 5 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ศาลจึงให้พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีเข้ามาใหม่ เพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป
สำหรับนายบรรยิน ขณะนี้ยังคงถูกคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวาง คดีฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ เพื่อนสนิท โดยจัดฉากว่าเป็นอุบัติเหตุเมื่อปี 2558 ซึ่งญาติของนายชูวงษ์ได้เข้าร้องกองปราบปรามให้ช่วยรื้อคดีที่นายชูวงษ์ เสียชีวิตปริศนาขณะนั่งรถยนต์เลกซัส สีดำ แอลเอ็กซ์ 470 ทะเบียน ภฉ 1889 กรุงเทพมหานคร ที่มีนายบรรยิน เป็นคนขับ และเกิดอุบัติเหตุชนต้นไม้ตรงข้ามซอย 61 ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงและเขตสวนหลวง กรุงเทพฯ
6. กรมราชทัณฑ์เผยผลสอบ "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" หนีศาล พบขโมยกุญปลดโซ่ตรวน สั่งเด้งผู้คุมที่บกพร่อง ก่อนเอาผิดวินัย-อาญา!
ความคืบหน้ากรณีนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก จำเลยในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ได้วางแผนหลบหนีหลังถูกนำตัวจากเรือนจำไปขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. โดยทำทีขออนุญาตเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าห้องน้ำที่ศาล และเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คนใกล้ชิดแอบนำไปให้ในห้องน้ำ ก่อนพยายามหลบหนีจากชั้น 9 ของศาล แต่ถูกรวบตัวได้ที่ชั้น 3 จากนั้น กรมราชทัณฑ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงว่า ผู้ต้องหามีกุญแจไขเพื่อปลดโซ่ตรวนข้อเท้าได้อย่างไร และเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมตัวนายประสิทธิ์ขณะเข้าห้องน้ำมีส่วนรู้เห็นต่อการหลบหนีของผู้ต้องหาหรือไม่ โดยมีผู้อำนวยการกองทัณฑวิทยา เป็นประธานสอบ คาดว่าจะรู้ผลใน 7 วันนั้น
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยว่า บัดนี้ครบ 7 วันแล้ว กรมราชทัณฑ์ขอเรียนว่า ในเบื้องต้นคณะกรรมการได้สอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง พบว่า ลังไม้ที่ใช้เก็บกุญแจข้อเท้า ซึ่งตั้งอยู่ที่ด้านนอกที่ทำการอาคารฝ่ายควบคุมกลาง เรือนจำกลางคลองเปรม ไม่ได้มีการปิดล็อคกุญแจลังไม้ หลังจากที่มีการสวมใส่กุญแจเท้าให้กับผู้ต้องขังที่เบิกตัวไปศาลเรียบร้อยแล้ว ผู้ต้องขังอาศัยช่วงโอกาสในการหยิบพวงกุญแจพร้อมลูกกุญแจที่อยู่ในลังไม้ดังกล่าว ทำให้ผู้ต้องขังสามารถลักลอบนำลูกกุญแจจากพวงกุญแจ ที่มิได้มีการยึดติดไว้ มาแอบซุกซ่อนในหน้ากากชนิดผ้าและออกไปศาลในวันดังกล่าว
“โดยขณะที่นายประสิทธิ์อยู่ที่ศาล ระหว่างที่ขึ้นไปห้องพิจารณาคดี ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมเข้าห้องน้ำ โดยอ้างว่าปวดท้องหนัก ซึ่งระหว่างนั้นได้มีการนัดแนะกับบุคคลภายนอก เพื่อนำเสื้อผ้าเพื่อใช้ในการหลบหนี อาศัยผนังห้องน้ำในการส่งเสื้อผ้าให้กับนายประสิทธิ์ จากนั้น นายประสิทธิ์ได้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองและเดินออกมาจากห้องน้ำเดินมาที่บันไดชั้น 9 ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงได้กลับไปตรวจสอบห้องน้ำอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่พบนายประสิทธิ์แล้ว จึงมั่นใจว่านายประสิทธิ์ได้หลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามเข้าจับกุมได้ที่บริเวณชั้น 3”
นายอายุตม์ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการพบว่า เป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมในการตรวจสอบเครื่องพันธนาการ การดูแล การเก็บรักษากุญแจ รวมถึงการตรวจค้นร่างกายผู้ต้องขังก่อนออกภายนอกเรือนจำ เพื่อนำไปขึ้นศาล ในส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมนายประสิทธิ์เข้าห้องน้ำในวันนั้น ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการการควบคุมผู้ต้องขัง เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังฉวยโอกาสในการหลบหนีไปได้ ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบางส่วน ไปปฏิบัติหน้าที่ภายในส่วนกลางกรมราชทัณฑ์ และย้ายออกจากเรือนจำที่ปฏิบัติงานไว้ก่อนแล้ว ซึ่งกรมราชทัณฑ์จะได้ดำเนินการทางวินัยหรือทางอาญากับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป