xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 18-24 ธ.ค.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.“ร.ล.สุโขทัย” ถูกคลื่นสูง 4-5 เมตรซัดอับปางกลางทะเล ช่วยได้ 70 กว่านาย เสียชีวิตหลายนาย ยังมีผู้สูญหาย!

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ร.ล.สุโขทัย ซึ่งมีภารกิจต้องเดินทางไปร่วมงานจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เนื่องในโอกาสครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี ในวันที่ 19 ธ.ค. ที่บริเวณศาลกรมหลวงชุมพรฯ จ.ชุมพร ปรากฏว่า เวลาประมาณ 17.15 น. ขณะที่เรือกำลังแล่นผ่านบริเวณอ่าวไทย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้มีคลื่นลมทะเลที่รุนแรงซัดน้ำทะเลทะลักเข้าในตัว ร.ล.สุโขทัย ทำให้เรือเสียการทรงตัว จน ร.ล.สุโขทัยเอียงจนเกือบคว่ำ เครื่องยนต์ดับ ไฟฟ้าดับ ระบบการสื่อสารล่ม และไม่สามารถแล่นต่อไปได้ ต้องขอความช่วยเหลือ ขณะที่ลูกเรือ 106 นาย เตรียมสละเรือเพื่อเอาชีวิตรอด

ต่อมา พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) ได้สั่งการให้ ร.ล.กระบุรี ที่มีความคล่องตัวเร่งเข้าช่วยเหลือลูกเรือ พร้อมให้ ร.ล.ภูมิพลอดุลยเดช ร.ล.อ่างทอง ที่เป็นเรือขนาดใหญ่ตามไปสมทบเพื่อทำการกู้ ร.ล.สุโขทัย ไม่ให้จมลงทะเล พร้อมส่งเฮลิคอปเตอร์ซีฮอว์กบินสำรวจและกู้ภัย

อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือลูกเรือเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากคลื่นลมทะเลยังรุนแรง โดยการกู้ภัยดำเนินไปตลอดทั้งคืน และมีเรือลากจูงหลายลำเข้ามาช่วยสมทบค้นหาลูกเรือ

กระทั่งเช้าวันต่อมา (19 ธ.ค.) มีรายงานว่า สามารถช่วยลูกเรือได้แล้ว 75 นาย ยังสูญหายอีก 31 นาย โดยมีรายงานว่า พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้เรียกประชุมด่วนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ พร้อมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับเจ้าหน้าที่ทหารในจุดเกิดเหตุ เพื่อหาแนวทางค้นหากำลังพลที่ยังสูญหาย

ต่อมา พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ ร.ล.สุโขทัย อับปาง และยังมีผู้สูญหายว่า เนื่องจากมีคลื่นลมแรง ทำให้เรือเอียง จนทำให้มีน้ำทะเลบางส่วนไหลเข้าระบบเครื่องไฟฟ้าผ่านท่อไอเสียข้างเรือ ส่งผลให้เครื่องไฟฟ้าดับ ส่งผลต่อเครื่องใหญ่หยุดทำงาน ผลจากเครื่องจักรใหญ่และเครื่องจักรช่วยหยุดทำงานดังกล่าว เป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมเรือได้ และส่งผลให้น้ำเข้าภายในตัวเรืออย่างรวดเร็ว จนทำให้เรือเอียง ซึ่ง ทร.ได้สั่งการให้เรือรบและอากาศยานของ ทร.เร่งให้การช่วยเหลือเป็นการด่วน โดย ร.ล.กระบุรี เดินทางถึงจุดเกิดเหตุเวลา 20.40 น. และพยายามเข้าเทียบ ร.ล.สุโขทัย เพื่อส่งเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่และช่วยเหลือกำลังพล 106 นาย แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะคลื่นลมยังรุนแรง

พล.ร.อ.ปกครอง กล่าวว่า ต่อมา ร.ล.สุโขทัย เอียงมากขึ้น และจมลงเมื่อเวลา 00.12 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีเรือลากจูงเอกชนจากท่าเรือบางสะพาน 2 ลำ และเรือน้ำมัน “STRAITS ENERGY” เดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุ เพื่อให้การสนับสนุนช่วยเหลือ ร.ล.กระบุรี หลังจากนั้น 01.04 น. เฮลิคอปเตอร์แบบซีฮอว์ก 2 ลำ มาถึง พร้อมปล่อยแพช่วยเหลือ 8 แพ ทั้งนี้ เรือต่างๆ สามารถให้การช่วยเหลือกำลังพลได้ 75 นาย ยังเหลือ 31 นายที่ลอยคออยู่ในทะเล

มีรายงานว่า พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผบ.ทร.ได้มีคำสั่งให้เลื่อนการจัดกิจกรรมครบรอบ 100 ปี การสิ้นพระชนม์ของ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในวันที่ 19 ธ.ค. เพื่อเร่งช่วยเหลือกำลังพล ร.ล.สุโขทัย

ด้าน จ.ท.ภัทราวุฒิ มาราม 1 ในลูกเรือ ร.ล.สุโขทัย ที่รอดชีวิตหลังได้รับการช่วยเหลือ กล่าวว่า ได้รับบาดเจ็บฟกช้ำที่ใบหน้าและมีแผลที่แขนทั้งสองข้างจากเหตุชุลมุนช่วงที่น้ำเข้าเรือจนเรือเอียง คลื่นซัดเรือจนเรือโยนไปมา และว่า ร.ล.กระบุรี พยายามจะเข้าให้การช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะคลื่นแรงจนเรือกระแทกกัน ต้องรอจนเรือจม จึงจะช่วยเหลือลูกเรือได้สำเร็จ คลื่นสูง 4-5 เมตร ทั้งนี้ จ.ท.ภัทราวุฒิ ยอมรับว่า รับราชการมาเกือบ 2 ปี ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่คลื่นลมแรงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

ขณะที่ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ กองทัพเรือ กล่าวเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ว่า ทราบว่า ร.ล.สุโขทัย ออกจากสัตหีบและลอยลำอยู่กลางทะเล 1 วัน จากนั้นเจอพายุที่มีคลื่นลมแรงมาก โดยผู้การเรือฯ ยืนยันว่า ในรอบ 10 ปี ไม่เคยเจอมาก่อน ระหว่างนั้นได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามลำดับครบทุกขั้นตอน และแจ้งขอเดินเรือกลับสัตหีบ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ติดปัญหาคลื่นลมแรง จึงขอเข้าจอดจุดหลบที่บางสะพาน แต่ไปไม่ถึงเป้าหมาย

ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นเสื้อชูชีพมีไม่เพียงพอต่อจำนวนคนบนเรือหรือไม่ พล.ร.อ.อะดุง ยืนยันว่า เสื้อชูชีพมี 2 แบบ คือ แบบเสื้อและแบบห่วงยาง แต่เมื่อเรือเผชิญกับคลื่นลมแรง อาจมีการกระแทก อาจทำให้เสื้อชูชีพหรือห่วงยางหลุดได้ เป็นสถานการณ์ที่ฉุกละหุก จากที่เคยเตรียมการกันไว้ว่า แต่ละคนมีหน้าที่อะไร หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ก็จะไม่เป็นไปตามแผนที่ซ้อมกันไว้

ทั้งนี้ หลังจากปฏิบัติการค้นหาลูกเรือ ร.ล.สุโขทัย ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด (24 ธ.ค.) เรือเอก ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ได้สรุปภารกิจการค้นหาและช่วยเหลือลูกเรือ ร.ล.สุโขทัยอับปางว่า ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 105 นาย รอดชีวิต จำนวน 76 นาย เสียชีวิต 6 นาย รอพิสูจน์อัตลักษณ์ 6 ราย แยกเป็น พิสูจน์อัตลักษณ์และส่งกลับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว จำนวน 6 นาย, มีหลักฐานขั้นต้นบ่งชี้เป็นกำลังพลกองทัพเรือ และกำลังพิสูจน์อัตลักษณ์ เพื่อยืนยันตัวบุคคลจำนวน 5 นาย, ไม่มีหลักฐานขั้นต้นบ่งชี้เป็นกำลังพลกองทัพเรือ และกำลังพิสูจน์อัตลักษณ์ เพื่อยืนยันตัวบุคคลจำนวน 1 นาย ยังคงสูญหายจำนวน 18 นาย

พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผบ.ทร. เผยว่า ผู้เสียชีวิตจะมีการปูนบำเหน็จ 5 ชั้นยศ เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล รวมทั้งค่าสินไหมและอื่นๆ จำนวน 1.2 ล้านบาท พล.ร.อ.เชิงชาย กล่าวด้วยว่า กองทัพเรือสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตให้อยู่ในพระบรมราขานุเคราะห์ และสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้ทรงประทานยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นให้กับกำลังพลประจำเรือผู้ประสบภัยทุกนาย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อกองทัพเรืออย่างหาที่สุดมิได้

พล.ร.อ.เชิงชาย เผยด้วยว่า ตามกฎหมายต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับ ร.ล.สุโขทัย โดยให้หน่วยที่เป็นผู้บัญชาการของเรือ ก็คือ ทัพเรือภาค 1 รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รายงานความสูญเสียทั้งในเรื่องของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ จากนั้นจะรายงานเรื่องของระเบียบความรับผิดทางละเมิด ที่จะต้องรายงานข้อเท็จจริงไปถึงกระทรวงการคลังและนายกรัฐมนตรีได้รับทราบ

2."บิ๊กตู่" ประกาศแล้ว เป็นแคนดิเดตนายกฯ ให้ "รวมไทยสร้างชาติ" ยัน ไม่มีปัญหากับ "บิ๊กป้อม" ย้ำ ผูกพันลึกซึ้ง ไม่มีใครลบล้างได้!


เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความชัดเจนถึงเส้นทางการเมืองหลังจากนี้ว่า ทุกคนอยากทราบว่า นายกรัฐมนตรีจะไปอย่างไรต่อไป วันนี้จากสถานการณ์ที่ได้ติดตามมาตลอดเวลาที่ผ่านมา และเห็นถึงความเคลื่อนไหวของหลายพรรคการเมืองมีการเสนอชื่อผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรค

“ที่ผ่านมา นายกฯ ก็พยายามพิจารณาในเรื่องต่างๆ ด้วยหลักการและเหตุผลต่างๆ มากมายหลายประการ วันนี้ ทางพรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้เสนอมาแล้วว่า ยินดีสนับสนุนนายกฯ คือ ผม ให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผมจึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไป ให้เกิดความเสียหายหลายอย่างด้วยกัน

"ซึ่งผมก็เคยบอกแล้วว่า ในช่วงที่ผ่านมาผมได้รับการสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐ แต่วันนี้พรรคพลังประชารัฐก็ได้มีการตกลงใจที่จะเสนอชื่อหัวหน้าพรรค คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงได้ตัดสินใจวันนี้แล้วกัน ซึ่งความจริงก็ได้เตรียมการมาพอสมควรแล้วว่า จะไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็จะได้สบายใจกันและก็สุดแล้วแต่ประชาชนก็แล้วกันว่าจะให้การสนับสนุนหรือไม่ อย่างไร

"สิ่งที่ผมต้องตัดสินใจแบบนี้ เพราะว่าสิ่งหลายๆ อย่างที่ผมได้ทำไว้มาอย่างต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมานั้นก็น่าจะได้มีการสานต่อ ถ้าหากว่าผมสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาตามที่กำหนด ในระหว่างนั้นก็จะได้สานต่อในสิ่งที่ยังค้างคา ยังไม่สำเร็จและยังมีปัญหาอยู่ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น”

พล.อ.ประยุทธ์ ยังยืนด้วยว่า ตลอดเวลาที่เป็นนายกฯ มา ทำงานเพื่อประชาชนทุกจังหวัด โดยไม่แบ่งแยกว่า เป็นจังหวัดที่มี ส.ส.รัฐบาลหรือไม่ อย่างวันก่อนที่ไปจังหวัดเชียงรายก็ไม่ได้มี ส.ส. ของรัฐบาลสักคน แต่ตนก็ไป เพราะตนมองประชาชนเป็นหลัก อะไรที่ตนทำให้ได้ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ก็นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. จัดสรรงบประมาณลงไปให้ แต่ทุกอย่างต้องทำอย่างโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เป็นสิ่งที่ตนยึดมั่นมาโดยตลอด และไม่เคยคิดแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น “ผมยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดแสวงหาผลประโยชน์แม้แต่เพียงเล็กน้อย”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการปรึกษาเรื่องการเป็นแคนดิเดตนายกฯ ให้พรรคพรรครวมไทยสร้างชาติกับ พล.อ.ประวิตร หรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เรื่องนี้ได้กราบเรียนท่านไปนานแล้วว่า ผมอาจจะมีความจำเป็นบางอย่าง ก็กราบเรียนกับท่านไปหลายครั้งแล้ว จนครั้งสุดท้ายได้ตัดสินใจไปแล้วและคุยกับท่านแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีความขัดแย้งอะไรกันทั้งสิ้น อันนี้เป็นเรื่องของการเมืองก็ว่ากันไปตามการเมืองตามระบบประชาธิปไตยก็ว่ากันไป”

เมื่อถามว่า ถือว่า เป็นการจากกันด้วยดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้จากกันไปไหนนี่ ก็ยังคงพูดคุยกันอยู่เหมือนเดิม ไม่มีปัญหาอะไร อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ของทหารกับทหารด้วยกันมันลึกซึ้ง ลึกซึ้งยิ่งกว่า และผมก็จบมาก็อยู่ในการดูแลของท่าน และท่านก็เป็นผู้บังคับบัญชาของผมคนแรกในการที่ผมจบจากโรงเรียนในร้อยไป และรับราชการตั้งแต่ร้อยตรี จนกระทั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตรับราชการมาจนถึงวันนี้ ความผูกพันอันนี้มันไม่มีใครลบล้างผมได้ ท่านเองก็รู้สึกเหมือนกันและท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งผมก็ได้บอกท่านว่า ท่านจะได้สบายใจ เพราะว่าท่านมีแรงกดดันมากมายหลายประการด้วยกัน ซึ่งทุกคนก็ทราบดีกันอยู่แล้ว”

เมื่อถามว่า จะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็น่าจะต้องสมัคร ส่วนจะสมัครได้เป็นทางการเมื่อไหร่นั้น อย่าเพิ่งถาม

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเป็นแคนดิเดตเพียงคนเดียวที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้ก็เห็นว่ายังมีคนเดียว แต่อย่าเพิ่งไปถามอะไรล่วงหน้าเลย อย่าถามนี่ไปนั่นไปโน่นไปเรื่อย แล้วจะตอบได้อย่างไรเล่า

เมื่อถามว่า วันนี้ถือว่า นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างเต็มตัวใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า ยังไม่ชัดอีกหรือ ทำไมต้องถามย้ำกันอีก ผู้สื่อข่าวถามว่า การตัดสินใจครั้งนี้ครอบครัว สนับสนุนเต็มที่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็เข้าใจกันละนะ เขาเข้าใจว่าผมทำเพื่ออะไรนะ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า งานหลักของตน คือดูแลชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน นี่คืองานหลักของตน ไม่ว่าตนจะเป็นอะไรก็ตามต้องทำตรงนี้ให้ได้ นั่นคือหน้าที่ของตนในการยืนอยู่ตรงนี้ ตนเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า ที่ตนเข้ามาด้วยเหตุผลอะไร ความจำเป็นมันคืออะไร ทุกคนก็ทราบกันอยู่แล้ว และลืมไปหมดแล้ว ขณะเดียวกัน ก็มีคนมาพูดจาเสียหายมาตำหนิตนเรื่องโน้นเรื่องนี้ ตนลืมไปหมดแล้วว่าท่านทำความเสียหายอะไรไปแล้วบ้าง แล้วตนเข้ามาแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้มันดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ ด้วยความเข้าใจ ด้วยการเจริญเติบโตทางเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ ทำให้หลายๆ อย่างควบคุมลำบาก ถ้าเราใช้อะไรที่เด็ดขาดเกินไปก็ลำบากเหมือนกัน ที่สำคัญในวันนี้มากกว่าการเลือกตั้ง ทำอะไรให้ประชาชนของเรามีความรักความสามัคคี

3. "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง พยายามหลบหนีขณะขึ้นศาล จนท.รวบตัวทัน พบคนใกล้ชิด 3 รายสมรู้ร่วมคิดช่วยหลบหนี!



เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดพิจารณาคดีที่พนักงานอัยการสำรักงานคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กับพวกรวม 9 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงิน อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกรณีหลอกให้ร่วมลงทุนซื้อคูปอง ลงทุนซื้อแพคเกจท่องเที่ยว และระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนจำนวนมาก เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อเข้าร่วมลงทุน กลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ และภายหลังไม่สามารถติดต่อได้ โดยมีผู้เสียหายหลายร้อยคน มูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท

รายงานแจ้งว่า ระหว่างพิจารณาคดี นายประสิทธิ์ได้ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งอยู่ชั้น 9 โดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 1 คน พาไปเข้าห้องน้ำ และเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำ อย่างไรก็ตาม ในห้องน้ำ ได้มีผู้นำเสื้อผ้า ชุดลำลอง มาให้นายประสิทธิ์เปลี่ยน พร้อมกุญแจไขโซ่ตรวน จากนั้นนายประสิทธิ์ได้เดินออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังบันไดกลางของอาคารศาล โชคดีที่มีจำเลยคดีอื่นที่เดินเข้าห้องน้ำสังเกตเห็นนายประสิทธิ์หลบหนีโดยไม่ใส่ชุดนักโทษ จึงตะโกนแจ้งเจ้าหน้าที่ศาลที่อยู่บริเวณดังกล่าวให้เข้าจับกุม จนสามารถจับกุมได้ที่ชั้น 3

หลังเกิดเหตุดังกล่าว ได้มีการตรวจสอบและควบคุมผู้ต้องสงสัยที่คาดว่า สมรู้ร่วมคิดช่วยนายประสิทธิ์หลบหนี 3 คน โดยเป็นเลขาฯ นายประสิทธิ์ แฟนเลขาฯ และคนใกล้ชิด ซึ่งเชื่อว่า มีการวางแผนกันมาเป็นอย่างดี เพราะมีการเตรียมอุปกรณ์สำหรับปลอมตัวและติดหนวด รวมทั้งพบเงิน 1 หมื่นบาทที่ตัวผู้ต้องสงสัย ส่วนนายประสิทธิ์ได้กุญแจไขโซ่ตรวนมาได้อย่างไร อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

วันต่อมา (23 ธ.ค.) พ.ต.อ.ชิศณุพงศ์ สุริยานนท์ ผกก.สน.พหลโยธิน เผยถึงการสอบปากคำผู้ต้องสงสัย 3 คน ที่อาจมีส่วนช่วยนายประสิทธิ์หลบหนีว่า จากการสอบปากคำ มีผู้ให้การเป็นประโยชน์และรับสารภาพว่า มีส่วนช่วยเหลือนายประสิทธิ์หลบหนีจริง จึงแจ้งข้อกล่าวหากับนายสมประสงค์ ทิพย์สุคนธ์ อายุ 56 ปี ในข้อหาเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้ต้องขังในอำนาจของศาลหลบหนี

ส่วนอีก 2 คน คือ เลขาฯ ของนายประสิทธิ์ และแฟนสาว จากการตรวจสอบพยานหลักฐานยังไม่แน่ชัด หากพบหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึง จะเรียกมาสอบอีกรอบ และว่า เจ้าหน้าที่จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับนายประสิทธิ์ที่เรือนจำ ในข้อหาหลบหนีการควบคุมตามอำนาจของศาลด้วย

ทั้งนี้ จากการสอบปากคำนายสมประสงค์ อ้างว่า ได้รับการร้องขอให้ช่วยเอาเสื้อผ้ามาให้นายประสิทธิ์ ยืนยันว่า ไม่ได้มีการเตรียมการมาก่อน โดยอ้างว่า นายประสิทธิ์กระซิบบอกในห้องพิจารณาคดี จากนั้นจึงลงไปเอาเสื้อผ้าในรถมาให้ โดยไปนั่งรออยู่ในห้องน้ำ เมื่อนายประสิทธิ์เข้าห้องน้ำ จึงยื่นให้ทางใต้ประตู เมื่อนายประสิทธิ์แต่งตัวเสร็จก็ออกไป

นายสมประสงค์ยังปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกุญแจที่ไขโซ่ข้อเท้า ส่วนเงิน 1 หมื่นที่พบในตัว อ้างว่า เป็นเงินที่ใช้สนับสนุนที่เตรียมให้ใช้หลังจากหลบหนีไปได้ นายสมประสงค์ ยังอ้างด้วยว่า ตนเป็นผู้เสียหายจากการถูกนายประสิทธิ์ฉ้อโกง ส่วนที่ตนให้การช่วยเหลือ เพราะคิดว่าจะได้เงินคืน

ด้าน ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม เผยความคืบหน้ากรณี นายประสิทธิ์ พยายามหลบหนีที่ศาลอาญาว่า กรมราชทัณฑ์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนในการทุจริตหรือไม่ โดยจะใช้เวลาภายใน 1 สัปดาห์ พร้อมสั่งย้ายนายประสิทธิ์ไปแยกขังที่เรือนจำบางขวาง และจับตาตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความเครียดจนทำร้ายตัวเอง รวมถึงสั่งงดเยี่ยม ยืนยันว่า หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีเจ้าหน้าที่กระทำทุจริต ก็ดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่าง ยอมรับว่าจะนำกรณีที่เกิดขึ้นไปแก้ไขปรับปรุงต่อไป เพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต เผยด้วยว่า ผู้ต้องขังที่ออกจากเรือนจำไปศาลจะถูกใส่เครื่องพันธนาการแบบใช้กุญแจความมั่นคง 2 ชั้น แบบลูกกุญแจปกติ 1 ดอก กับกุญแจเข็มแทงสลัก 1 ดอก จากการตรวจสอบหลังเกิดเหตุพบว่ากุญแจหายไปคู่กัน โดยเป็นกุญแจชนิดพิเศษที่ไม่สามารถปั๊มใหม่ได้ ขณะนี้พบว่ากุญแจทั้ง 2 ดอก อยู่กับตำรวจเป็นของกลาง และว่า บริเวณกล่องเก็บกุญแจ ไม่มีกล้องวงจรปิด ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวอีกว่า วันที่เกิดเหตุนายประสิทธิ์พูดกับเจ้าหน้าที่น้อยกว่าปกติมาก เพราะทุกๆ ครั้ง นายประสิทธิ์จะพูดคุยเป็นประจำ จึงตั้งข้อสังเกตไว้ว่า นายประสิทธิ์แอบอมลูกกุญแจทั้ง 2 ดอก เอาไว้ในปาก เพราะกุญแจมีขนาดเล็ก และเมื่อถึงศาลบริเวณชั้น 9 นายประสิทธ์ อ้างว่า มีอาการปวดท้องหนักรุนแรง ต้องเข้าห้องน้ำทันที

ทั้งนี้ วันเดียวกัน (23 ธ.ค.) พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ได้นำตัวนายสมประสงค์ ทิพย์สุคนธ์, น.ส.กัญญามาส ทองปาน, นายณัฐนันท์ อังคณาวิทยากุล ผู้ต้องหาร่วมกันช่วยเหลือนายประสิทธิ์หลบหนี ไปขอศาลฝากขังครั้งเเรกเป็นเวลา 12 วัน

หลังศาลอนุญาตให้ฝากขัง ผู้ต้องหาที่ 2-3 ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ด้านศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ผู้ต้องหาที่ 2, 3 ถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดที่มีลักษณะเป็นขบวนการ และอุกอาจ ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี จึงให้ยกคำร้อง จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวผู้ต้องหาทั้งสาม ไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง

4. "หลงจู๊สมชาย" กับพวก รอด ศาลยกฟ้องคดีลักลอบตั้งบ่อนพนัน-ฟอกเงิน เหตุพยานหลักฐานอ่อน!



เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีลักลอบตั้งบ่อนการพนันที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายสมชาย จุติกิต์เดชา หรือ “หลงจู๊สมชาย” ผู้กว้างขวางย่านภาคตะวันออก กับพวก คือ น.ส.จุฑามาศ วงษ์นิยม, น.ส.อุไรวรรณ วงษ์นิยม และนายยุทธนากร มะลิชื่น รวม 4 คน เป็นจำเลย ในฐานความผิด ตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ .2542, พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

คดีนี้ อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 1 ก.ค.-17 ส.ค. 2563 จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังหลบหนี ได้ร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันกำถั่ว ไฮโล บาการา ไพ่เสือมังกร เพื่อเอาทรัพย์สินโดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้ พวกจำเลยยังได้ร่วมกันสมคบกันฟอกเงินโดยโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารพาณิชย์หลายครั้งหลายหน เพื่อเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระผิด เพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน

เหตุเกิดที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง, ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยตามความผิด ขณะที่พวกจำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว

เมื่อถึงกำหนดนัดฟังคำพิพากษา นายสมชาย จำเลยที่ 1 กับพวกทั้ง 4 คน พร้อมใจกันเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยนั่งมากับรถตู้สีดำ ยี่ห้อฮุนได

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานโจทก์และพนักงานสอบสวนไม่ได้ให้การพาดพิงว่า จำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิด ส่วนข้อหาฟอกเงินนั้น ในส่วนของจำเลยที่ 1, 2, 4 พยานโจทก์ก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้เช่นกัน และโจทก์ไม่มีหลักฐานอื่นมาประกอบ เช่น การนำบัญชีธนาคารของตนมาทำเป็นบัญชีบ่อน หรือมีรายงานจากบัญชีบ่อนไปเข้าบัญชีตน หรือมีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ติดต่อกับคนร้ายที่หลบหนี กลับได้ความว่า สมุดบัญชีเป็นของบุคคลภายนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฟอกเงินด้วย

นอกจากนี้ พยานโจทก์ยังนับว่ามีความผิดปกติไปจากวิสัยของคนร้าย ที่มักจะถ่ายเททรัพย์สินหลายครั้งและเป็นจำนวนมาก ข้อเท็จจริงพบว่า พวกจำเลยมีการรับเงินไว้เพียงครั้งเดียว ขณะที่พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยรับฟังได้ พยานโจทก์ทั้งหมดจึงยังเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัย และไม่เพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังฟังคำพิพากษา นายสมชาย จำเลยที่ 1 กับพวก ได้เดินไปขึ้นรถตู้ที่มาจอดรอรับโดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด

5. ครม.ไฟเขียวของขวัญปีใหม่ "ช้อปดีมีคืน" 1 ม.ค.-15 ก.พ. ด้านสรรพากรให้ "ค่าน้ำมัน" เข้าข่ายลดหย่อนภาษีช้อปดีมีคืน!



เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบมาตรการการดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้

1. มาตรการ “ช้อปดีมีคืน ปี 66” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึงวันที่ 15 ก.พ. 2566 โดยกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 40,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ จำนวน 30,000 บาทแรก ออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ และค่าซื้อสินค้าหรือบริการ อีกจำนวน 10,000 บาท ออกใบกำกับภาษีรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับสินค้าที่เข้าร่วมมาตรการ เช่น ค่าซื้อสินค้า และค่าบริการทุกประเภทที่ซื้อจากผู้ประกอบการ ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงค่าสินค้า OTOP แต่ไม่รวมถึงสินค้าและบริการ 10 ประการ ได้แก่ ค่าซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ค่าซื้อยาสูบ ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ ค่าซื้อหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ค่าบริการหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ค่าบริการจัดนำเที่ยวที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และมัคคุเทศก์ ค่าที่พักในโรงแรมที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต ค่าบริการสำหรับบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการระยะยาว ซึ่งเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 ม.ค. 66 หรือสิ้นสุดหลังวันที่ 15 ก.พ. 66 และค่าเบี้ยประกันวินาศภัย

สำหรับประโยชน์ที่คาดว่า จะได้รับจากมาตรการ “ช้อปดีมีคืน ปี 66” จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมูลค่าประมาณ 56,000 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์มวลรวมเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.16 และ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะเป็นการขยายฐานภาษี และสนับสนุนการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์

2. มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2566 โดยลดภาษีให้ในอัตราร้อยละ 15 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของปีภาษี พ.ศ. 2566

3. มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี 2566 โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 1 และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด (ทั้งบ้านมือ 1 และมือ 2) เฉพาะที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญา

ส่วนมาตรการและโครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ 1. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เช่น โครงการชำระดีมีคืน ลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน มาตรการส่งเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟู 2. ธนาคารออมสิน เช่น โครงการวินัยดี มีเงิน 3. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เช่น ยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs 4. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศ (ธพว.) เช่น ผ่อนดีมีคืน (บัตรกำนันสูงสุด 300 บาท) มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการและโครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง 5 โครงการ ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566 จากกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.), มาตรการของขวัญปีใหม่ปี 2566 ให้กับลูกค้ารายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน/ผู้ค้ำประกัน จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (บสอ.) ฯลฯ

ในส่วนของกระทรวงคมนาคมได้เสนอของขวัญปีใหม่ที่จะมอบให้กับประชาชนหลายโครงการ ได้แก่ เปิดให้วิ่งฟรีทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 6 สายางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ช่วงอำเภอปากช่อง-อำเภอสีคิ้ว-อำเภอขามทะเลสอ และยกเว้นค่าผ่านทาง มอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 และ ยกเว้นค่าผ่านทาง ทางพิเศษบูรพาวิถีและกาญจนาภิเษก ระหว่างเวลา 0.01 น. ของวันที่ 29 ธันวาคม จนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2566

ยกเว้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ระหว่างเวลา 12.00 น. ของวันที่ 31 ธ.ค. 2565 ถึงเวลา เวลา 12.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2566, เรือไฟฟ้า (EV Boat) จะให้บริการฟรี ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2565 -1 มกราคม 2566, ลดค่าโดยสาร บขส. 10% ทุกเส้นทาง สำหรับผู้โดยสารที่จองตั๋วรถ บขส. ล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ ตรวจรถฟรี โดยกรมการขนส่งทางบก ตลอดเดือน ธ.ค. 2565

ขณะที่กระทรวงพลังงาน จะตรึงราคาน้ำมันทุกชนิดในช่วงวันที่ 24 ธ.ค. 2565-3 ม.ค. 2566 และเตรียมขอขยายระยะเวลาคงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG โดยกำหนดราคาขายปลีกอยู่ที่ 408 บาท/ถัง 15 กก. ตั้งแต่ 1-31 ม.ค. 2566, ให้ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 100 บาท/คน/3 เดือน และให้แก่ร้านค้าหาบเร่ จำนวน 100 บาท/คน/เดือน ตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 มี.ค. 2566, บริการตรวจสภาพรถโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย, รวมถึงแจกส่วนลดครึ่งราคาที่พักที่เขื่อน กฟผ. จำนวน 30,000 สิทธิ

ด้านนายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เผยว่า มาตรการช้อปดีมีคืนในปี 2566 นี้ กรมสรรพากรได้ขยายเพิ่มให้นำค่าน้ำมันทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ มาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในมาตรการช้อปดีมีคืนได้เป็นครั้งแรก โดยค่าใช้จ่ายน้ำมันดังกล่าว จะต้องมาจากสถานบริการน้ำมัน ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและออกใบกำกับภาษีได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล


กำลังโหลดความคิดเห็น