xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 4-10 ธ.ค.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 6 คดี "ธาริต" ปฏิบัติหน้าที่มิชอบแจ้งข้อหา "มาร์ค-สุเทพ" สั่งฆ่า ปชช. เจ้าตัวอ้างป่วยโรคนิ่วในไต!

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 6 คดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200 วรรคสอง

ซึ่งคดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างเดือน ก.ค. 2554-13 ธ.ค. 2555 จำเลยทั้งสี่ในฐานะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้สอบสวน ตั้งข้อหากับโจทก์ทั้งสองข้อหาสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ต้องรับโทษ จากการที่ ศอฉ.ออกคำสั่งให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ที่ชุมนุมขับไล่นายอภิสิทธิ์ ให้ออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี

ต่อมา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ หลังจากนั้นโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ คนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา หลังจากนั้น จำเลยยื่นฎีกา

เป็นที่น่าสังเกตว่า คดีนี้นายธาริตอ้างเหตุขอให้ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้วถึง 5 ครั้ง โดยศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2564 แต่เมื่อถึงกำหนด นายประกันของนายธาริต อ้างว่า ไม่สามารถนำตัวนายธาริตมาส่งศาลเพื่อฟังคำพิพากษาได้ เพราะเพิ่งได้รับแจ้งว่า นายธาริตย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 ก.พ.2565 แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตได้ให้ทนายความยื่นศาลขอเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีก โดยอ้างว่า ป่วย เกิดอาการชักเกร็ง หมดสติ 5 นาที พอรู้สึกตัว ก็แขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง อยู่ระหว่างรักษาตัวที่ รพ.พญาไท 2

ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 21 เม.ย.2565 แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ให้ทนายขอศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีก โดยอ้างว่า ป่วยโควิด ขอพักรักษาตัว 3 เดือน พร้อมกันนั้นทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องอ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่ในคดี และพร้อมวางเงินเพื่อบรรเทาผลร้ายแก่โจทก์คนละ 3 แสนบาท แต่ทนายโจทก์ชี้ว่า จำเลยส่อประวิงคดี และยืนยันไม่ขอรับเงินคนละ 3 แสนบาทดังกล่าว เนื่องจากเป็นสิทธิฟ้องร้องทางแพ่ง และเป็นคดีอาญา ไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้

ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นครั้งที่ 4 ในวันที่ 22 มิ.ย.2565 แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตไม่เดินทางมาศาล โดยศาลได้รับแจ้งว่า ไม่สามารถส่งหมายแจ้งวันนัดให้นายธาริตได้ เนื่องจากมีการย้าย ไม่ทราบที่อยู่ใหม่ ขณะที่ทนายความนายธาริต ยืนยันว่า นายธาริตมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ศาลจึงให้ส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 ใหม่ และนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นครั้งที่ 5 ในวันที่ 7 ก.ย.

เมื่อถึงกำหนด (7 ก.ย.) ปรากฏว่า นายธาริตก็ไม่เดินทางมาศาล โดยอ้างว่า ป่วยโควิด-19 รอบใหม่ ทั้งที่เคยอ้างป่วยโควิดมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อเดือน เม.ย. โดยครั้งนี้ได้ยื่นใบรับรองแพทย์ ขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษา อ้างว่า ตรวจพบเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 โดยเป็นผู้ป่วยในกลุ่มบุคคลผู้สูงอายุ และมีโรคเรื้อรัง แพทย์เห็นควรต้องดูแลรักษาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 เดือน นอกจากนี้ทนายความนายธาริต ได้ยื่นคำร้องขอส่งสำนวนคืนศาลฎีกา โดยอ้างเหตุว่า มีผู้ร้องยื่นขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ศาลจึงเลื่อนฟังคำพิพากษา โดยนัดใหม่เป็นครั้งที่ 6 ในวันที่ 9 ธ.ค. 65

ซึ่งในที่สุด เมื่อถึงกำหนด (9 ธ.ค.) ปรากฏว่า นายธาริตก็ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ขณะที่ทนายนายธาริตยื่นคำร้องว่า นายธาริต เจ็บป่วยเป็นโรคนิ่วในไตทั้งด้านซ้ายและ ด้านขวา มีอาการปวดอักเสบรุนแรง มีเลือดออกมาพร้อมปัสสาวะ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัว ที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ด้วยการผ่าตัดนิ่วทั้งสองข้าง ใช้เวลารักษารวม 4 เดือน

ทนายนายธาริตยังระบุด้วยว่า นายธาริตได้ยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ซึ่งคดีดังกล่าวอยู่ ระหว่างไต่สวน ซึ่งหากศาลพิพากษาให้นายธาริตชนะคดี อาจมีผลต่อการใช้ดุลพินิจในการลงโทษในคดีนี้ นอกจากนี้ยังชี้ว่า มีญาติของผู้เสียชีวิตบางรายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความ จึงขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปสักนัด

ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ยังมีคำร้องหลายฉบับที่อยู่ระหว่างระยะเวลายื่นคำคัดค้าน ศาลจึงยังไม่ได้ดำเนินการส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่ง อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเร่งรัดคดีให้สามารถอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาได้โดยเร็ว จึงเห็นสมควรให้คู่ความทุกฝ่ายรับสำเนาคำร้องต่างๆในสำนวนไป หากบุคคลใดประสงค์จะคัดค้านให้ยื่นคำคัดค้านต่อศาลภายในวันที่ 5 ม.ค.2566 หากไม่ยื่นภายในกำหนด ให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นอีก และให้เจ้าหน้าที่รวบรวมสำนวนพร้อมคำร้องทั้งหมดส่งศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่งโดยเร็ว โดยให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นวันที่ 2 ก.พ. 2566 เวลา 09.00 น.

ด้านนายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความโจทก์ เผยในเวลาต่อมาว่า ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 2 ก.พ.2566 นอกจากนี้ศาลได้กำชับเรื่องอาการป่วยของนายธาริต จำเลยที่ 1 ว่า ครั้งหน้าถ้ามีปัญหาแบบนี้อีก ศาลจะใช้ดุลยพินิจและมีคำสั่ง

2."อุ๊งอิ๊ง" พลิ้วหลังถูกสวดยับหาเสียงขึ้นค่าแรงเป็น 600 จะทำ ศก.หายนะ บอก ศก.ไม่ดีขึ้นไม่ได้ ศก.ดีเมื่อไหร่ ขึ้นเองตามธรรมชาติ!


เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวในการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี 2565 ของพรรค ช่วงหนึ่งว่า หลังจากนี้ พรรคจะเปลี่ยนหัวข้อในการรณรงค์ใหม่ จาก “พรุ่งนี้เพื่อไทย” เป็น “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน”

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ภายในปี 2570 ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย หากบริหารประเทศนาน 4 ปี จะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ได้แก่ ในปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำให้สมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย คือ ไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป

นโยบายด้านพลังงาน โครงสร้างราคาพลังงาน ถูกปรับรื้อตั้งแต่ปี 2566 ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟ ลดลงทันที จะรณรงค์และส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน ทำให้ลดการพึ่งพาน้ำมันลง

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง น.ส.แพทองธาร ประกาศนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย โดยหนึ่งนโยบายที่ได้ประกาศ คือ คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน ส่วนเงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จะอยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไปนั้น ปรากฏว่า หลายฝ่ายได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายหาเสียงดังกล่าวของ น.ส.แพทองธาร และพรรคเพื่อไทย อย่างกว้างขวาง

โดยเฟซบุ๊ก “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยได้โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ว่า “บ้าไปแล้วแน่ ป.ตรี 25,000 ค่าแรง 600 เช่นนั้น ก๋วยเตี๋ยว- อาหารตามสั่งจานละ 100 ไข่ไก่คงฟองละ 10 บาท ถึงเวลานั้นคนหาเช้ากินค่ำคงล้นประเทศ”

ขณะที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงนโยบายค่าแรง 600 บาทต่อวันที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงว่า “การออกมาพูดแบบนี้ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย”

หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ปรากฏว่า น.ส.แพทองธาร ได้เปิดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. พร้อมด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคเพื่อไทย โดย น.ส.แพทองธาร ออกอาการพลิ้ว พูดถึงนโยบายดังกล่าวใหม่ โดยอ้างว่า ตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไม่ดี หากค่าแรงเพิ่มเป็น 600 บาท ต้นทุนผู้ประกอบการต้องเพิ่มขึ้น แน่นอนว่า หากคิดในวันนี้เดือดร้อนแน่ แต่เราพูดถึงเศรษฐกิจภาพรวมทั้งประเทศที่จะเติบโตพร้อมๆ กันทั้งระบบ ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย “วันนี้ไม่แปลกเลยที่คนจะคิดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น วันนี้ค่าแรงขึ้นเป็น 600 บาท ยังคิดไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี เมื่อเศรษฐกิจดีทั้งระบบแล้ว จะไปโดยธรรมชาติของเศรษฐกิจเอง” และว่า พรรคเพื่อไทยต้องคิดใหญ่ เพื่อให้เศรษฐกิจทั้งประเทศขับเคลื่อนไปด้วยกัน แต่ไม่ใช่นำงบประมาณของประเทศมาใช้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุกจนกระจาย

ด้านนายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยมีนโยบายขึ้นค่าแรงเป็น 600 บาทต่อวันว่า จะมีผลกระทบอย่างมากต่อภาคธุรกิจ อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนสูงอยู่แล้ว และว่า นโยบายค่าแรง 600 บาทต่อวัน จะไม่เป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง นักธุรกิจต้องคิดหนักและอาจจะไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

ขณะที่นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือต่อ กกต. เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ขอให้ตรวจสอบนโยบายการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ประกาศเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.

โดยนายสนธิญา กล่าวว่า ได้ยื่นขอให้ กกต.ตรวจสอบใน 3 ประเด็น 1.การถมทะเลในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร เพื่อกันน้ำทะเลหนุนท่วม ซึ่งนโยบายดังกล่าวได้ยินมาในสมัยรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร และก็ได้คัดค้านมาโดยตลอด ซึ่งโครงการที่พรรคเพื่อไทยพูดเกี่ยวกับโครงการนี้ได้รับฟังความคิดเห็นหรือทำประชามติกับประชาชนในพื้นที่หรือไม่ โดยฟันธงว่าการถมทะเลไม่สามารถกระทำได้ มองว่าเป็นนโยบายขายฝัน

ประเด็นที่ 2 เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท นายสนธิญา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ระบุว่า การขึ้นค่าแรงนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณ ถ้าพูดเช่นนี้มองว่า ไม่สมควรเป็นนายกฯ หรือแคนดิเดต เพราะการปรับขึ้นค่าแรง 600 บาท จะกระทบไปทุกวงจรของประเทศไทย และต้องใช้งบประมาณของรัฐบาล “ที่ น.ส.แพทองธาร พูด เป็นการพูดโดยไม่เข้าใจในบริบทของราชการ และต้องถามว่าเมื่อค่าแรงขึ้น ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย..."

ประเด็นที่ 3 การขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำสำหรับบุคคลที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี 25,000 บาท นายสนธิญา กล่าวว่า ต้องถามกลับไปว่า คนที่จบปริญญาตรีที่ได้ 25,000 บาท กับคนที่ทำงานมาแล้ว 3 ปี ได้เงินเดือนมาแล้ว 18,000 บาท จะเป็นธรรมกับเขาหรือไม่ และมองว่าจะกระทบกับระบบราชการ ซึ่งการประกาศเป็นของกรมแรงงาน และเมื่อเป็นนโยบายของรัฐ จะต้องไปปรับเงินเดือนให้กับราชการ บริษัทเอกชน นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่มองว่า ถ้าจะปรับฐานเงินเดือน จะต้องดูบริบทของประเทศ และเศรษฐกิจ เพราะนโยบายเหล่านี้ถ้าประกาศแล้วจะกระทบเป็นลูกโซ่

3. "บิ๊กป้อม" เปิดตัว "มิ่งขวัญ" เข้าพรรค พปชร. ด้านเจ้าตัวฝันใหญ่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ด้าน "บิ๊กตู่" ยังกั๊กอนาคตการเมือง ขอฟัง ปชช.!



เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ได้เปิดแถลงข่าวพร้อมแกนนำพรรค โดยเป็นการแถลงเปิดตัวนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ เข้าร่วมงานกับพรรค พปชร. ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นโอกาสที่พรรคได้ต้อนรับนายมิ่งขวัญเข้ามาอยู่ในพรรค และขอแสดงความยินดีกับนายมิ่งขวัญ และแสดงความยินดีกับตัวเองด้วย ที่จะเข้ามาช่วยกันทำงานให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

ด้านนายมิ่งขวัญกล่าวถึงเหตุผลที่มาร่วมงานกับพรรค พปชร.ว่า ต้องให้เครดิตและขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ที่ให้เกียรติเชิญมาช่วยกันแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เหตุผลที่สองคือ ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ในพรรคนี้แล้ว และขอย้ำว่า ไม่ได้มีปัญหาหรือโกรธเคืองอะไรกับ พล.อ.ประยุทธ์

นายมิ่งขวัญ กล่าวด้วยว่า หากไม่แถลงเปิดใจ สื่อคงไม่รู้ว่าทำไมถึงพลิกกลับไปกลับมา และอาจจะคิดว่า ตนไม่รักษาคำพูด คำว่า ตระบัดสัตย์และคำว่าไม่รักษาคำพูด อยากจะชี้แจงให้ชัด รวมทั้งตอนที่ลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ไม่ได้บอกว่าการลาออกจะต้องยุติบทบาททางการเมือง พร้อมยืนยันว่า การมาอยู่พรรค พปชร. ไม่เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์แน่นอน ไม่มีการเจรจาเรื่องเงินทองแม้แต่บาทเดียว และว่า การเข้ามาครั้งนี้ จะไม่ขอเป็นกรรมการบริหารพรรค แต่ที่เข้ามา เพราะถนัดเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องได้ออกดีเบตในสงครามการเลือกตั้งที่จะถึงนี้

นายมิ่งขวัญ กล่าวอีกว่า “ผมได้ปรึกษากับ พล.อ.ประวิตร ซึ่ง พล.อ.ประวิตร บอกว่า ถ้ามิ่งขวัญจะออกดีเบต คุณก็ต้องมีตำแหน่งที่จะออกไปดีเบตก็คือ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ เท่านั้น ที่จะมีสิทธิดีเบต จึงเป็นประโยคสำคัญ โดย พล.อ.ประวิตร บอกว่าจะพิจารณาและนำเข้าวาระคณะกรรมการบริหารให้มิ่งขวัญ เป็น 1 ในแคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร.”

ผู้สื่อข่าวถามนายมิ่งขวัญว่า ที่มาเพราะไม่มี พล.อ.ประยุทธ์อยู่ที่ พปชร. แต่ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร.อยู่ นายมิ่งขวัญจึงหันไปถาม พล.อ.ประวิตรว่า ขอตอบตำถามแทนได้หรือไม่ ด้าน พล.อ.ประวิตร กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ไปแล้ว ออกไปแล้ว

เมื่อถามย้ำว่า หมายถึงชื่อของนายมิ่งขวัญจะมาแทน พล.อ.ประยุทธ์ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ อยู่ระหว่างพิจารณา ตนคนเดียวทำอะไรไม่ได้ เป็นสมาชิกคนหนึ่งของ พปชร.เหมือนกัน ทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องรอกรรมการบริหารพรรคพิจารณา

ทั้งนี้ มีรายงานว่า กรณีที่นายมิ่งขวัญประกาศกลางวงแถลงข่าวว่าจะเป็น 1 ในแคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร.นั้น สร้างความงุนงงให้กับกรรมการบริหารพรรค พปชร.และสมาชิกจำนวนมาก เพราะไม่รู้มาก่อนว่า มีประเด็นนี้ รู้เพียงว่านายมิ่งขวัญจะเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรค และมีความพยายามขอเป็นแคนดิเดตนายกฯ กับ พล.อ.ประวิตร

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร.ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้อยู่กับพรรค พปชร.แล้ว โดย พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกับหยุดหันมามอง ก่อนย้อนถามว่า “ไม่ได้อยู่แล้วเหรอ” ก่อนพูดว่า “ผมเป็นรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี พรรค พปชร.เป็นคนสนับสนุนผม เข้าใจไหม”

ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วจะให้พรรค พปชร.สนับสนุนเป็นแคนดิเดตนายกฯ ต่อหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ยังไม่มีใครเสนอขอผม” เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าถ้ามีการขอมา จะรับใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ หันมามองพร้อมกล่าวว่า “ยังไม่มีคำตอบ” เมื่อถามว่า แล้วจะชนกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รสช.) หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ยังไม่มีคำตอบ”

เมื่อถามว่า ทำไมยังไม่มีคำตอบ เพราะขณะนี้พรรคต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนและมีคำตอบออกมาแล้ว คนจึงรอฟังคำตอบจากนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “ทำไมล่ะ ทำไมต้องรอผม” เมื่อถามว่า หลายคนยังรอคำตอบ เพราะยังมีความหวังอยู่ในส่วนของคนที่ยังอยากให้นายกฯ ไปต่อ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า ใครอยากให้ไปต่อ ผู้สื่อข่าวระบุว่า ประชาชนบางส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จึงกล่าวว่า “ประชาชนเหรอ งั้นเดี๋ยวผมขอฟังเสียงประชาชนก่อนสิ”

4. "สมศักดิ์" แถลงยึดทรัพย์ "ตู้ห่าว" อีก 3 พันล้าน มอบเหรียญยุติธรรมธำรงแก่ "ชูวิทย์" พร้อมส่วนแบ่ง 5% แจ้งเบาะแสยาเสพติด ด้านเจ้าตัวจะมอบให้ รพ.ทั้งหมด!



เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. เวลา 13.00 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ได้เป็นประธานการประชุม เพื่อการบูรณาการการปราบปรามและยึดทรัพย์จากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม รวมทั้งนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พลเมืองดีผู้แจ้งเบาะแสยาเสพติด

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในฐานะ ผอ.ศูนย์ฯ มีหน้าที่บูรณาการทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงได้มีการประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกล่าวว่า นายชูวิทย์ได้ออกมาแจ้งเบาะแสยาเสพติด ถือเป็นพลเมืองดีและน่ายกย่อง สิ่งที่นายชูวิทย์ทำเหมือนเป็นการกระตุ้นให้สังคมตื่นตัว และทำให้หน่วยงานที่คิดจะชะลอหรือคิดไม่ดีได้เปลี่ยนใจและเดินไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า "ในฐานะที่คุณชูวิทย์ได้มีความกล้าหาญ แจ้งเบาะแสยาเสพติด กระทรวงยุติธรรมได้พิจารณามอบเหรียญยุติธรรมธำรง เพื่อเป็นเกียรติประวัติในการทำความดีและเป็นตัวอย่างให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหายาเสพติด นอกจากได้ช่วยประเทศแล้วยังจะได้รับรางวัลนำจับ 5% ด้วย"

ด้านนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้รายงานความคืบหน้าการตรวจทรัพย์สินเครือข่าย “ตู้ห่าว” ว่า ขณะนี้ได้มีการลงนามตรวจสอบทรัพย์สินเครือข่ายทั้งหมด 7 ราย 52 รายการ เช่น บัญชีธนาคาร 18 บัญชี มูลค่า 1.7 ล้านบาท เครื่องบิน 1 ลำ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 33 แปลง มูลค่า 876 ล้านบาท และล่าสุดมีคำสั่งตรวจยึดอีก 34 รายการ เช่น เงินสด รถยนต์ 33 คันมูลค่า 95 ล้านบาท ทำให้ขณะนี้ยึดอายัดทรัพย์ได้ทั้งหมด 1,131 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการบูรณาการร่วมกันเพื่อยึดทรัพย์อีก 1,800 ล้านบาท

ด้านนายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนยังมีความกังวลว่านายตู้ห่าวจะหลุดคดี จึงอยากขอความมั่นใจจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะไม่มีมวยล้มต้มคนดู

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ชี้แจงว่า ขณะนี้ ตนได้นำสำนวนสืบสวนสอบสวนมาทำเองทั้งหมดแล้ว ซึ่งในช่วงต้นที่มีปัญหาติดขัดเนื่องจากท้องที่แยกกันทำ แต่วันนี้เรามีการรวมสำนวนทั้งหมดโดยตนดูแลเอง ขอให้นายชูวิทย์หมดความกังวลใจได้ เพราะตนก็มีการทำงานคืบหน้าตามลำดับ

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากนายสมศักดิ์ จะได้มอบเหรียญยุติธรรมธำรงให้กับนายชูวิทย์แล้ว ยังได้มีหนังสือเชิญเป็นที่ปรึกษา ป.ป.ส. รวมทั้งเสนอให้นายชูวิทย์ใช้ชุดคุ้มครองพยานของดีเอสไอ เพื่อความปลอดภัยของนายชูวิทย์และคนที่นำข้อมูลมาให้

ขณะที่นายชูวิทย์ กล่าวขอบคุณกระทรวงยุติธรรมที่ได้มอบรางวัลให้กับตน ซึ่งมีมูลค่าทางจิตใจมากกว่ารางวัลนำจับ 5% ส่วนตำแหน่งตนขอบคุณที่เสนอมา โดยตนไม่ได้คาดหวังในตำแหน่ง เพราะไม่ต้องการเล่นการเมืองแล้ว แต่ตนจะรับไว้พิจารณา เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับสังคมในการเป็นพลเมืองดี แจ้งเบาะแสยาเสพติด เพื่อทำให้สังคมเข้มแข็งและมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจากทุกภาคส่วน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. นายชูวิทย์ ได้แถลงข่าวแฉกลวิธีขออยู่เมืองไทยระยะยาวของกลุ่มคนจีนที่เดินทางเข้ามาแฝงตัวทำธุรกิจสีเทาในประเทศไทย โดยใช้วิธีการแปลงวีซ่าจากนักท่องเที่ยว ผ่านทางมูลนิธิบางแห่ง ซึ่งนายชูวิทย์อ้างว่า ขบวนการดังกล่าวมีการจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของ สตม.พัวพันไปถึงนายตำรวจยศ พล.ต.ต.จำนวน 3 คน โดย 2 ใน 3 คนนั้น เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 47 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยืนยันแล้วว่า แม้นายตำรวจที่ถูกนายชูวิทย์พาดพิงถึง จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของตนก็ตาม ตนก็จะดำเนินการตามกฎหมายโดยไม่มีละเว้น

อย่างไรก็ตาม หลังนายชูวิทย์แฉข้อมูลดังกล่าว ปรากฏว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีข้าราชการตำรวจรายใดเกี่ยวข้องและมีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งของทางราชการ หรือไม่ อย่างไร เพื่อประกอบการพิจารณาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้วรายงานผลให้ทราบภายใน 15 วัน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ได้แถลงข่าวยึดอายัดทรัพย์คดีตู้ห่าวเพิ่มเติม โดยมีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พลเมืองดีผู้แจ้งเบาะแสยาเสพติด ร่วมในการแถลงด้วย

โดยนายสมศักดิ์กล่าวว่า จากการติดตามข้อมูลที่นายชูวิทย์ได้นำมามอบให้ ประกอบกับการทำงานของคณะทำงานพาลีปราบยา ล่าสุด ชุดพาลีปราบยาได้ยึดอายัดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง บริษัท ดีวาลักซ์ รีสอร์ทแอนสปา จำกัด ซึ่งมีชื่อของนายตู้ห่าวเป็นผู้ถือหุ้นโดยเปิดเป็นรีสอร์ท ตั้งอยู่ที่ บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ซึ่งแบ่งเป็นโฉนดที่ดิน 5 แปลง รวมประมาณ 39 ไร่ และอาคาร 9 ตึก 375 ห้องแต่ละห้องตกแต่งอย่างหรู และยังได้อายัดรถยนต์หรู 9 คัน รวมมูลค่าทรัพย์ทั้งสิ้น 3,020 ล้านบาทเศษ

ด้านนายชูวิทย์ กล่าวยืนยันย้ำว่า ส่วนแบ่ง 5% ในการแจ้งเบาะแสเครือข่ายยาเสพติด จะไม่นำไปใช้ และจะนำไปมอบให้โรงพยาบาลทั้งหมด พร้อมกล่าวถึงกรณีที่ตำรวจยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาตู้ห่าวฐานฟอกเงินว่า ทำให้ต้องนำข้อมูลหลักฐานไปยื่นให้อัยการสูงสุดพิจารณา และในอนาคต อาจนำพยานหลักฐานทั้งหมดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พิจารณารับกรณีนี้เป็นคดีพิเศษต่อไป

นายชูวิทย์ กล่าวด้วยว่า “ตนจะจับตาการดำเนินคดีนี้แน่นอน พร้อมยอมรับว่า ตอนนี้ เริ่มไม่เชื่อการทำงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. แล้ว”

5. "กสทช." เรียกคืนเงินจาก กกท. 600 ล้าน หลังไอพีทีวี "จอดำ" ดูบอลโลกไม่ได้ ด้าน "ก้องศักด" ยันไม่คืน เพราะไม่ได้ทำผิดกฏ!



เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (บอร์ด กสทช.) ได้ประชุมนัดพิเศษ เรื่อง การพิจารณาการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย

โดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 6 เสียง ให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) คืนเงิน 600 ล้านบาท ที่ กสทช. เคยอนุมัติให้เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2022 (รอบสุดท้าย) เนื่องจาก กกท.ไม่สามารถดำเนินการตามกฎ "มัสต์แครี" จนทำให้เกิดปัญหาโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (IPTV) จอดำ ไม่สามารถรับชมการแข่งขันเวิลด์ คัพ ครั้งนี้ได้

ทั้งนี้ ที่ประชุม กสทช. มีมติให้ส่งหนังสือทางปกครองเรียกเงินคืน 600 ล้านบาท จากทาง กกท. และให้คืนเงินภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งเป็นหนังสือ พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี (หากมี)

ก่อนหน้านี้ กสทช. ได้ส่งหนังสือถึง กกท. ขอให้คืนค่าสนับสนุน 600 ล้านบาท หลังจากระบบบอกรับสมาชิก IPTV จอดำ โดยสาระสำคัญในบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กสทช. กับ กกท. เรื่องการสนับสนุนค่าใช้จ่ายซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดครั้งนี้ ระบุว่า

หาก กกท. ไม่สามารถดำเนินการหรือมีเหตุการณ์ใดอันเป็นเหตุให้ กกท. ไม่สามารถดำเนินการให้เป็นตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงนี้ สำนักงาน กสทช. ขอสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกการสนับสนุนค่าใช้จ่าย รวมถึงมีสิทธิเรียกคืนเงินใดๆ ที่ได้สนับสนุนไปแล้ว คืนจากการ กกท. โดย กกท.จะต้องชำระคืนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง

ขณะเดียวกัน นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ว่า ทาง AIS ไม่ได้รับการติดต่อจากทาง กกท. ให้เข้าไปช่วยสนับสนุนในครั้งนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นการที่ทาง กกท. อ้างว่า ไม่มีเอกชนรายอื่นเข้าไปร่วมสนับสนุนก็ไม่น่าเป็นความจริง

หลัง กสทช.มีมติเรียกคืนเงิน 600 ล้านจาก กกท. ปรากฏว่า ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. ได้ออกมายืนยันว่า กกท.ไม่ได้ทำผิดกฎ "มัสต์แคร์รี" แต่อย่างใด เพราะตอนนี้ทางผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการถ่ายทอดสดได้ดำเนินการส่งสัญญาณถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ให้ทุกคนได้ดูแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายตามกฎมัสต์แฮฟแล้ว

ดร.ก้องศักด เผยด้วยว่า กกท. ได้ทำหนังสือโต้แย้งไปยัง กสทช. ถึงเรื่องดังกล่าวแล้ว และยืนยันว่า การ กกท.ไม่ได้ทำผิดกฎข้อใดทั้งสิ้น ส่งสัญญาณไปยังดิจิทัลทีวี ทั้งภาคพื้นดิน และดาวเทียมต่างๆ ซึ่งในกฎของมัสต์แคร์รี ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์เท่านั้น

ดร.ก้องศักด กล่าวอีกว่า "ศาลได้วินิจฉัยกรณีข้อพิพาทระหว่าง AIS กับ True โดยคำสั่งศาลได้กล่าวถึง กกท. และ กสทช. ที่ดำเนินการถ่ายทอดฟุตบอลโลกให้ประชาชนได้ดูฟรีตามช่องทางต่างๆ ที่ไม่ใช่เฉพาะ IPTV เท่านั้น ถือว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมัสต์แคร์รี่แล้ว ซึ่งคำสั่งศาลเขียนไว้ชัดเจน เพราะฉะนั้นการดำเนินการของ กกท. อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของคำสั่งศาล ไม่ได้ไปละเมิดอะไร"

และว่า "เรื่องนี้ต้องมานั่งพูดคุยกันให้ชัดเจน หาก กสทช. ยืนกรานเรียกเงิน 600 ล้านบาทคืน ก็คงต้องไปสู้กันในกระบวนการของกฎหมาย แต่ไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น เนื่องจากเป็นองค์กรของรัฐด้วยกันทั้งคู่ น่าจะมีวิธีการที่ดีกว่านี้ในการตกลงพูดคุยกันได้ แต่ในเมื่อมติออกมาแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้ กกท. สับสนไปกันใหญ่ ทั้งๆ ที่ควรจะเรียกไปพูดคุยกันก่อน"

ดร.ก้องศักด กล่าวด้วยว่า การแข่งขันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย จะยังมีการถ่ายทอดสดตามเดิม ไม่ได้ยกเลิกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะ กกท.ได้รับสิทธิ์มาจากฟีฟ่า และเป็นผู้บริหารสิทธิ์นี้โดยตรง


กำลังโหลดความคิดเห็น