xs
xsm
sm
md
lg

อภิสิทธิ์ชูยกเครื่องเกษตรกรไทย แนะรัฐอัดงบช่วยเปลี่ยนเทคโนโลยี-ลดต้นทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ลั่นเกษตรไทยถึงเวลายกเครื่องสู่การทำเกษตรแม่นยำเต็มรูปแบบ ชี้ปัญหาโลกร้อน ขาดแคลนปุ๋ย เทรนด์สุขภาพบีบให้ต้องปรับตัว แนะรัฐต้องอัดงบช่วยเปลี่ยนเทคโนโลยี-ลดต้นทุน รื้อมาตรการประกันราคา เลิกให้แบบหว่าน “ณัฐพงศ์” ที่ปรึกษา กมธ.พาณิชย์ จี้รัฐหนุนเอสเอ็มอีลุยตลาดโลกแข่งรายใหญ่

วันนี้ (8 ธ.ค.) จากงานสัมมนาทางวิชาการ ในหัวข้อ "พลิกแผนปฏิรูปเกษตรไทยยุค 5G" ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นแสดงปาฐกถาในหัวข้อ “ได้เวลายกเครื่องเกษตรไทย” โดยให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเกษตรไทยในปัจจุบันว่าต้องได้รับการยกเครื่องอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

“เรามักจะภาคภูมิใจว่าภาคเกษตรไทยมีความได้เปรียบจากความอุดมสมบูรณ์ที่มีมาแต่ช้านาน ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เราจึงทําการเกษตรตามธรรมชาติ มีเหลือจากบริโภคภายในประเทศก็ส่งออก ไม่เคยต้องถูกกดดันให้เปลี่ยนแปลง แต่ปัจจุบันเรามีครัวเรือนที่อยู่ในภาคเกษตรถึงร้อยละ 40 แต่ทํารายได้ไม่ถึงร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ จึงทําให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูง เกษตรกรกลายเป็นกลุ่มผู้ยากจนที่รัฐต้องใช้งบประมาณจํานวนมากในการให้ความช่วยเหลือ ที่สําคัญผลิตภาพของผลผลิตทางการเกษตรของเราต่ำ แม้ในพืชผลที่เราส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก” นายอภิสิทธิ์กล่าว


นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จากนี้ไปจะมีหลายปัจจัยกดดันจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาวะโลกร้อน ที่ส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ ปัญหาภัยพิบัติ ผนวกกับการกีดกันทางการค้าในลักษณะเดียวกับที่การประมงของไทยเผชิญมาแล้ว ภาวะสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนปุ๋ย ซึ่งไทยต้องพึ่งพาการนําเข้าปุ๋ยเกือบทั้งหมด จําเป็นต้องมีมาตรการเตรียมการรับมือโดยด่วน

“แนวโน้มโลกให้ความสําคัญต่อเรื่องสุขภาพมากขึ้น เน้นสินค้าออร์แกนิก การผลิตที่มุ่งความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี ส่งผลต่อความต้องการสินค้าเกษตรโดยตรง ขณะเดียวกัน ไทยมีคู่แข่งมากขึ้น โดยเฉพาะ เวียดนาม ถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในหลายๆ สินค้า เช่น ข้าว ทุเรียน” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หัวใจของการยกเครื่อง คือ การนําเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนการจัดการเรื่องดิน น้ำ อากาศ ปรับตัวเข้าสู่การทําเกษตรแม่นยําเต็มรูปแบบ แต่การจะดําเนินการดังกล่าวได้ ต้องเริ่มต้นด้วยการมีโครงการเพิ่มพูนทักษะ (Upskill) ให้เกษตรกรไทยเรียนรู้การใช้เครื่องมือสมัยใหม่เหล่านี้ พร้อมกับการได้รับโอกาสจากการเพิ่มมูลค่าของสินค้าและการทําการตลาด โดยรัฐให้การสนับสนุนทั้งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และเงินทุนที่จะต้องใช้ในการปรับเปลี่ยน


นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า รัฐควรใช้โอกาสในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ปรับปรุงนโยบายของรัฐต่อภาคการเกษตร โดยนําเครื่องมือที่ใช้ในการสนับสนุนเกษตรกรในปัจจุบัน เช่น โครงการประกันรายได้ ในการกําหนดเงื่อนไขและสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรปรับตัว และใช้โอกาสนี้ดําเนินนโยบายเกี่ยวกับการเพิ่มอํานาจการต่อรองของเกษตรกร และกลุ่มเกษตรกร เพื่อมิให้การเปลี่ยนแปลงเอื้อประโยชน์เฉพาะต่อธุรกิจขนาดใหญ่ รวมทั้งสร้างแพลตฟอร์มต่างๆ ให้เกษตรกรเข้าถึงตลาดโลกโดยตรงได้ง่ายขึ้น

“การเร่งปรับปรุงพัฒนาเกษตรกรไทยเป็นเรื่องเร่งด่วน ไทยหมดเวลาแล้ว ถ้าเรายังย่ำอยู่กับที่จะแข่งขันในตลาดโลกไม่ได้แล้ว แต่หากการยกเครื่องประสบความสําเร็จ จะเป็นการยกระดับทั้งภาคการเกษตร ความเป็นอยู่ของเกษตรกร แก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนเสริมสถานะของประเทศไทย ในภาวะที่โลกกําลังเผชิญกับปัญหาความมั่นคงด้านอาหาร” นายอภิสิทธิ์กล่าวในที่สุด


ด้านนายณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา บรรยายหัวข้อ “เกษตรกรไทยกับเทรนด์ความยั่งยืน” ว่า สินค้าเกษตรไทยยังมีอนาคตมากในเวทีโลก โดยเฉพาะเกษตรแปรรูปด้านอาหาร และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ด้านสุขภาพ แต่ปัญหาคือต้องมีการจัดสมดุลระหว่างผู้ส่งออก หรือผู้ประกอบการรายใหญ่ รายเล็ก ให้มีความสามารถด้านการแปรรูปและส่งออกใกล้เคียงกัน เพราะผู้ประกอบการขนาดเล็กจะสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าได้มากกว่า และกระจายซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรได้กว้างขวางกว่า ในราคาที่เป็นธรรมกว่า

"การลงทุนด้านเครื่องจักรในการแปรรูปเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ด้านอาหารที่พัฒนาขึ้นอย่างมาก และต้นทุนลดลง หากรัฐบาลมองความสัมพันธ์เหล่านี้ออก และมีนโยบายส่งเสริมที่ถูกจุด บูรณาการร่วมกับภาคการศึกษาวิจัย เอกชนขนาดกลางและขนาดเล็ก อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปจะเป็นอนาคตของประเทศ และส่งผลดีต่อประชาชนในประเทศ มากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งหมดในอนาคต” นายณัฐพงศ์กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น