xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 13-19 พ.ย.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.ม็อบราษฎรหยุดเอเปค ปะทะ ตร. เจ็บทั้ง 2 ฝ่าย หลังไม่ยอมให้เคลื่อนพลสู่ศูนย์ประชุมฯ ขณะที่หนุ่มสุดทน ติงม็อบเอะอะก็ประท้วง เหมือนพวกขายชาติ ไม่คิดถึงภาพลักษณ์ ปท.!

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. มีการเคลื่อนไหวของม็อบต้านการประชุมเอเปคทั้งที่แยกอโศกมนตรี อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ลานคนเมือง โดย น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือน้องมายด์ แกนนำกลุ่มราษฎรหยุด APEC 2022บอกว่าวันที่ 18 พ.ย.จะเคลื่อนจากลานคนเมืองไปศูนย์ประชุมสิริกิติ์

ต่อมา (18 พ.ย.) กลุ่ม “ราษฎรหยุดเอเปค 2022” ได้เคลื่อนพลออกจากลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ใช้เป็นสถานที่ปักหลักชุมนุมและพักค้างตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. เดินเท้ามุ่งสู่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สถานที่จัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยอ้างว่า เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้นำชาติต่าง ๆ ที่เข้าร่วมประชุม เมื่อมีการเคลื่อนขบวน ทำให้ผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดการเผชิญหน้ากันบริเวณ ถ.ดินสอ ก่อนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อแนวร่วมราษฎรพยายามทลายแนวกั้นของตำรวจ ทำให้เกิดการปะทะกันขึ้น จนมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย

ทั้งนี้ ข้อเรียกร้องของกลุ่ม “ราษฎรหยุดเอเปค 2022” ประกอบด้วย เรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ ยุติบทบาทในการเป็นประธานการประชุมเอเปคโดยทันที เพราะไม่มีความชอบธรรมที่จะลงนามข้อตกลงร่วมกับผู้นำกลุ่มเอเปค และเพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อประชาชน และต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภา และเปิดทางให้มีการเลือกตั้ง พร้อมกับจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง

วันเดียวกัน (18 พ.ย.) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง ในฐานะโฆษกกองอำนวยการร่วมรักษาความปลอดภัยและการจราจรการประชุมเอเปก 2565 (โฆษก กอ.ร่วมฯ) ได้กล่าวถึงการชุมนุมเรียกร้องในช่วงการประชุมเอเปคว่า กลุ่มราษฎรหยุด APEC 2022 ที่ปักหลักชุมนุมลานคนเมือง ยอดผู้ชุมนุมประมาณ 350 คน ได้เคลื่อนขบวนเพื่อเดินทางไปยื่นข้อเรียกร้องต่อการประชุมเอเปค โดยเคลื่อนขบวนฝ่าฝืนข้อกำหนดและเงื่อนไขฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เจรจา แจ้งและประชาสัมพันธ์กับผู้ชุมนุมฯ ให้ทราบอย่างต่อเนื่อง เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะ โดย สน.สำราญราษฎร์ ได้มีคำสั่งกำหนดเงื่อนไข คำสั่งในการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุมฯ โดยมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และได้มีหนังสือแจ้งการปฏิบัติในการชุมนุมสาธารณะให้ตัวแทนทราบตามประกาศดังกล่าวแล้ว ตลอดจนได้ชี้ถึงการกระทำที่อาจกระทำผิดกฏหมายอาญาอื่นๆ 

ต่อมาผู้ชุมนุมได้ฝ่าฝืนโดยเคลื่อนขบวนมาถึงบริเวณถนนดินสอ ตำรวจได้ใช้เครื่องเสียง ประกาศ เจรจา แจ้งเตือนกับกลุ่มผู้ชุมนุม ปรากฏว่า กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยินยอมและฝ่าฝืนกฎหมาย โดยได้ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ขว้างปาก้อนหิน สิ่งของ ทำลายรถยนต์กระบะทางราชการเสียหาย มีการใช้กำลังทำร้ายและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ตำรวจจึงมีความจำเป็นต้องใช้กำลังป้องกันตัวเอง และทำการจับกุมผู้กระทำความผิดเหตุซึ่งหน้าดังกล่าว

ต่อมาเวลา ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมจุดไฟวางเพลิงเผาทรัพย์บนรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยนายบารมี ตำรวจจึงจำเป็นต้องคลี่คลายสถานการณ์ เร่งเข้าดับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ ไม่ให้เกิดอันตรายต่อประชาชนหรือบุคคลอื่นๆ และทำการจับกุมตัวในกรณีดังกล่าว

ส่วนข้อกฎหมายที่ได้ดำเนินการ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 25 คน ได้ดำเนินคดีใน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ทำให้ทรัพย์สินทางราชการเสียหาย วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ทำร้ายร่างกาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ร.บ.รักษาความสะอาด และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับความผิดอื่นที่เกิดขึ้น

ส่วนภาพที่ปรากฏออกมาว่าเจ้าหน้าที่อาจปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุ ทั้งประเด็นการขว้างปาแก้ว จนสื่อมวลชนโดนลูกหลง การทำร้ายสื่อมวลชนที่สวมปลอกแขน การใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมนุม ตลอดจนการใช้ระเบิดควัน ซึ่งไม่อยู่ในอุปกรณ์ยุทธวิธี พล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า จะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยยังไม่สามารถด่วนสรุปได้ เนื่องจากเหตุการณ์เพิ่งเกิด แต่ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมและชี้แจงให้ประชาชนทราบโดยเร็ว เพื่อคลายข้อสงสัย

พล.ต.ต.อาชยน กล่าวด้วยว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ มีตำรวจได้รับบาดเจ็บ 5 นาย ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมเบื้องต้นได้รับบาดเจ็บบริเวณคิ้วข้างขวา อยู่ระหว่างแพทย์ทำการดูแลรักษาส่วนผู้ชุมนุมอื่นๆ กำลังตรวจสอบและติดตามว่า มีผู้เข้าร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บอย่างไรอีกบ้าง

ทั้งนี้ หลายฝ่ายได้แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับการออกมาชุมนุมประท้วงของม็อบกลุ่มราษฎรที่ต้านเอเปค เพราะเป็นการทำลายภาพลักษณ์ประเทศ โดยหนุ่มผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเมื่อวันที่ 18 พ.ย. ตำหนิไปถึงม็อบราษฎรหยุดเอเปก วอนให้คำนึงถึงภาพลักษณ์ของความเป็นเจ้าภาพของประเทศด้วย โดยพูดผ่านคลิปว่า "สวัสดีครับ ทุกคนรู้สึกอย่างไรกับการประท้วงเอเปก สำหรับผมมันใช่เวลาไหมครับ แขกบ้านแขกเมืองเขามา ทำไมไม่ทำตัวให้น่ารัก อันนี้เท่ากับขายชาติหรือเปล่า ไอ้คนประเภทนี้มีเยอะ แทนที่จะทำตัวให้เขาเห็นบ้านเราน่าอยู่ แต่กลับไปทำ เฮ้อ (ส่ายหน้า) จะสามัคคีกับใครได้ครับ ในชาติบ้านเมืองเรายังสามัคคีกันไม่ได้เลย ผมรู้สึกว่ามันไร้สาระขึ้นทุกวันคำว่าประท้วง ประท้วงแบบมีสาระ ประท้วงแบบมีเหตุผล คุยกันแบบมีเหตุผล ไม่ใช่เอะอะประท้วง ประท้วง รอดิสเครดิตคนโน้นคนนี้ ถึงผมจะไม่ชอบรัฐบาลนี้แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่สมควรและไม่เหมาะสมเลย คุณจะทำอย่างนี้มันไม่มีอะไรดีขึ้นมา

"คุณประท้วงมากี่สิบรอบ จากที่ผมเข้าใจนะครับ ว่าเรามาประท้วงเพื่อประชาธิปไตย แต่มันไม่ใช่เลย มันเหมือนคนเห็นแก่ตัว มันเหมือนคนที่อยากได้อยากชนะอย่างเดียว โดยที่ไม่สนผลประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น ผมจะบอกเลยนะ ประท้วงไปก็ไม่มีทางชนะ จะทำให้คนอื่นเขาเกลียดคุณมากด้วย"

2.ประชุมเอเปคในไทยปิดฉากลงแล้ว นายกฯ มอบ "ชะลอม" ให้รอง ปธน.สหรัฐ รับไม้ต่อเป็นเจ้าภาพเอเปค 2023!


สัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสำคัญระดับโลก คือการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคระหว่างวันที่ 18-19 พ.ย. ขณะที่วันก่อนหน้าคือ 17 พ.ย. เป็นการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 33 ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีการค้า/เศรษฐกิจของเอเปค

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปกที่เข้าร่วมการประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจ ครั้งที่ 29 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายแอนโทนี แอลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สมเด็จพระราชาธิบดีฮาจี ฮัซซานัล บลเกียะฮ์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละฮ์ อิบนี อัล-มาร์ฮุม ซุลตัน ฮาจี โอมาร์ อาลี ไซฟุดดีน ซาอาดุล ไครี วัดดิน สมเด็จพระราชาธิบดี พระองค์ที่ 29 และนายกรัฐมนตรีบรูไนดารุสซาลาม นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา นายกาบริเอล โบริก ฟอนต์ ประธานาธิบดีชิลี นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายสีจิ้น ผิง ประธานาธิบดีาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น

สำหรับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่ไทยเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ เน้นหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในยุคหลังโควิด-19 ให้ครอบคลุมและยั่งยืนท่ามกลางบริบทโลกที่ท้าทาย และผลักดันให้ผู้นำร่วมกันรับรอง “เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG” เพื่อให้เอเปคมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจน เพื่อสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ทั้งนี้ ภายหลังเป็นประธานการประชุมเขตผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 (Retreat ช่วงที่ 2) ภายใต้หัวข้อ "Sustainable Trade and Investment การค้าและการลงทุนที่ยั่งยืน” (19 พ.ย.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ได้แถลงสรุปผลการประชุมว่า การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งที่ 29 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ จบลงแล้วอย่างสวยงามและประสบความสำเร็จ หลังจากที่คณะทำงานทุกฝ่ายได้ร่วมกันทำงานมาอย่างแข็งขันตลอดทั้งปี เพื่อสร้างการเจริญเติบโตและอนาคตของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกร่วมกัน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาไทยได้ต้อนรับคณะผู้นำผู้เข้าร่วมประชุม และสื่อต่างชาติ รวมกว่า 5,000 คน ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคได้ประชุมแบบพบหน้า และว่า การประชุมครั้งนี้ นอกจากเป็นเวทีการหารือระหว่างผู้นำแล้ว ยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับแขกพิเศษ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และมกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ได้พูดคุยกับภาคเอกชน หารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค และได้รับฟังมุมมองของกลุ่มผู้แทนเยาวชนเอเปคด้วย

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หยิบยกสถานการณ์การคุกคามด้านนิวเคลียร์ ซึ่งไทย ในฐานะเจ้าภาพเอเปคเข้าใจและมีความห่วงกังวลต่อผลกระทบ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และพร้อมร่วมมือกับหุ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อหาทางแก้ไขประเด็นปัญหาอย่างใกล้ชิดต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ผลการประชุมครั้งนี้ นับเป็นความภูมิใจ และประกาศถึงความสำเร็จของแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อน และยืนยันผลลัพธ์ 3 ข้อ “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล”

ทั้งนี้ ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคเห็นพ้องกับการนำแนวคิดเศรษฐกิจ BCG (แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว) มาขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด-19 อย่างยั่งยืน สมดุล และครอบคลุม พร้อมรับมือความท้าทายในอนาคต ผ่านการร่วมกันรับรองปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ. 2022 และเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นการสะท้อนผลสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย ที่ขับเคลื่อนให้เอเปคสามารถเดินหน้าทำงานท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายในปัจจุบัน

ขณะเดียวกันก็คงความสำคัญในการเป็นเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจชั้นนำของภูมิภาค โดยมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม 3 ข้อตามที่ไทยตั้งเป้า ได้แก่ “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์” เอเปคได้เดินหน้าสานต่อการหารือเรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) ผลงานที่เป็นรูปธรรม คือ จัดทำแผนงานต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิก และเตรียมความพร้อมในการรับมือกับประเด็นการค้าการลงทุนใหม่ ๆ

“เชื่อมโยงกัน” เอเปคได้ฟื้นฟูการเดินทางข้ามแดนระหว่างกันอย่างปลอดภัย และไร้รอยต่อ เพื่อสร้างความพร้อมรับมือวิกฤติใหม่ในอนาคต

“สู่สมดุล” ผู้นำเอเปคทุกคนได้ร่วมกันรับรอง “เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG” วางรากฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างครอบคลุม ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ โดยเน้นเป้าหมายหลัก 4 ข้อ ได้แก่ การจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ การค้าและการลงทุนที่ยั่งยืน การบริหารจัดการทรัพยากรยั่งยืน และการลดและจัดการของเสียอย่างยั่งยืน

โอกาสนี้ ไทยได้ส่งต่อการเป็นเจ้าภาพเอเปคในปีหน้า (2023) ให้แก่สหรัฐอเมริกา โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบ “ชะลอม” ให้แก่นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งชะลอมเป็นภาพแทนสัญลักษณ์การเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย เพื่อส่งต่อให้สหรัฐฯ สานต่อภารกิจในปีหน้า โดยเฉพาะประเด็นความยั่งยืนที่สะท้อนอยู่ในเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG

3. ป.ป.ช.ชี้มูล “ชนม์สวัสดิ์” เมื่อครั้งเป็นนายก อบจ.สมุทรปราการ กับพวก อนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนวัด 836 ล้านมิชอบ!



เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหานายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ กับพวก ร่วมกันพิจารณาและอนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปีงบประมาณ 2554-2556 โดยมิชอบ

ซึ่งต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว จากการไต่สวนพบว่า นายชนม์สวัสดิ์ กับพวก ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างปีงบประมาณ 2554-2556 รวม 68 โครงการ เป็นเงิน 836,129,125 บาท

ซึ่งการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการช่วงเวลาดังกล่าว จำนวน 20 โครงการ วงเงินงบประมาณ 338,753,750 บาท ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายปกรณ์ เนตรประภา ซึ่งมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับผู้บริหารของ อบจ.สมุทรปราการ จะแสดงตัวเป็นตัวแทนหรือคนของผู้บริหาร อบจ.สมุทรปราการไปประสานงานติดต่อกับวัดที่ขอรับเงินอุดหนุนเพื่อก่อสร้างเมรุหรือศาลาการเปรียญ มีการจัดทำคำขอ แบบแปลนและประมาณการราคานำไปให้เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ลงนาม และได้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนำไปยื่นให้กับ อบจ.สมุทรปราการ

เมื่อ อบจ.สมุทรปราการได้รับคำขอแล้ว นายอำนวย รัศมิทัต ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายก อบจ.สมุทรปราการในช่วงปีงบประมาณ 2554 และนายชนม์สวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายก อบจ.สมุทรปราการในช่วงปีงบประมาณ 2555-2556 ได้ร่วมกับนายมนัส บุญอารีย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นปลัด อบจ.สมุทรปราการในช่วงปีงบประมาณ 2554-2555 และนายสายัณห์ รักษนาเวศ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นปลัด อบจ.สมุทรปราการในช่วงปีงบประมาณ 2556 นายวิชัย จันทร์จำรูญ ผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นายชัยยศ ตั้งจิตดำรง ผู้อำนวยการกองช่าง และนายอนุวัช ควรคิด รีบเร่งตั้งงบประมาณรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุน เสนอและเห็นชอบโครงการเข้าแผนพัฒนาของ อบจ.สมุทรปราการ โดยไม่ตรวจสอบรายละเอียดโครงการ รายละเอียดแบบแปลนและประมาณราคาก่อสร้างซ่อมแซมศาสนสถาน ว่ามีความถูกต้องเหมาะสมกับงบประมาณที่ขอมาหรือไม่

มีการจัดทำและประกาศใช้แผนพัฒนาของ อบจ.สมุทรปราการ ประกาศใช้ข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี จนกระทั่งมีการอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้แก่วัดตามวงเงินที่ขอมา โดยในขั้นตอนการรับเงินอุดหนุน เมื่อ อบจ.สมุทรปราการ อนุมัติเงินแล้ว นายปกรณ์ เนตรประภา จะแจ้งให้ทางวัดทราบล่วงหน้า เพื่อนัดหมายกับเจ้าอาวาสวัดให้ไปรับเช็คเงินอุดหนุน เมื่อทางวัดไปรับเช็คมาแล้ว ในวันเดียวกัน นายปกรณ์ จะร่วมกับเจ้าอาวาสหรือผู้แทนวัด นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารพร้อมกับเบิกเงินและมอบให้นายปกรณ์ จำนวนครึ่งหนึ่งของวงเงินที่ได้รับการอุดหนุน จากนั้นบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ฯ ซึ่งมีนายปกรณ์ เป็นกรรมการผู้จัดการ จะได้เข้ามาเป็นผู้รับจ้างดำเนินงานตามโครงการที่ได้รับเงินอุดหนุน

ภายหลังเมื่อ อบจ.สมุทรปราการ ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่วัด และวัดได้รับเงินแล้ว นายชนม์สวัสดิ์ ในฐานะนายก อบจ.สมุทรปราการ กับพวก กลับไม่ตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินอุดหนุน และการดำเนินงานในแต่ละโครงการว่า ได้ดำเนินการเป็นไปตามแบบแปลนและประมาณการราคา คุ้มค่าและเหมาะสมกับงบประมาณที่อุดหนุนหรือไม่ การดำเนินโครงการแล้วเสร็จเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ทุกโครงการมีปัญหาจากการก่อสร้าง อันเกิดจากผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา มีการจ้างช่วง ทิ้งงาน อีกทั้งการก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลน รายการปริมาณงานและประมาณการราคา เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อราชการ

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสำนวนการไต่สวนแล้ว มีมติว่า การกระทำของนายชนม์สวัสดิ์ และนายอำนวย มีมูลเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และมีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และมาตรา 157

การกระทำของนายสายัณห์, นายวิชัย, นายชัยยศ, นายมนัส และนายอนุวัช มีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และการกระทำของบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ และนายปกรณ์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151, 157 ประกอบมาตรา 86


ส่วนเหตุใด ป.ป.ช.เพิ่งจะมาชี้มูลคดีดังกล่าว นายนิวัติไชย ชี้แจงว่า ถ้าดูไทม์ไลน์จะเห็นว่า ป.ป.ช.ทำมาตลอด มีการขยายผล เพราะไม่ใช่วัดเดียวที่ได้รับเงินและเหตุเกิด 3 ปีงบประมาณ เงิน 800 กว่าล้าน แต่เราเจาะแค่ 200 ล้านที่ไม่สัมพันธ์กัน คือจ่ายเงินไปแล้วการก่อสร้างไม่มีประสิทธิภาพ ปล่อยปละละเลยและมีการหาผลประโยชน์ โดยมีการเสนอเข้าที่ประชุม ป.ป.ช 3 ครั้ง ซึ่งที่ประชุมก็มีมติให้มีการไต่สวนเพิ่มเติม จนได้รายละเอียดครบถ้วน ประกอบกับ ป.ป.ช. เห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องสำคัญ ผู้ถูกกล่าวหาเป็นนักการเมืองท้องถิ่น การไต่สวนจึงต้องละเอียด และดำเนินการตามกลไก

4. คนไทยเฮ! ได้ดูบอลโลกครบ 64 แมตช์ หลัง กกท.ปิดดีลกับฟีฟ่าที่ 1,400 ล้าน ด้านผู้ว่า กกท. ขอบคุณ “บิ๊กป้อม-คุณหญิงปัทมา”!



ความคืบหน้าการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20 พ.ย.-18 ธ.ค.นี้ ที่ประเทศกาตาร์ หลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนวิจัย และพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) ให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เพื่อถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 จำนวน 600 ล้านบาท จากที่ กกท. เสนอขอรับ 1,600 ล้านบาท ทำให้ กกท. ต้องหาภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนอีก 1,000 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นมีรายงานว่า มีภาคเอกชน 3 ราย พร้อมสนับสนุนรวมเป็นเงินประมาณ 400 ล้าน ทำให้ กกท. ต้องหาผู้สนับสนุนเพิ่ม ขณะเดียวกันได้ทำหนังสือถึงสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เพื่อเจรจาขอลดค่าลิขสิทธิ์ลงอีก จากที่ก่อนหน้า ฟีฟ่าเคยลดให้จาก 38 ล้านเหรียญ เหลือ 36 ล้านเหรียญมาแล้ว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 พ.ย. นายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่า กกท. เผยว่า ได้เจรจากับฟีฟ่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นข่าวดีของแฟนบอลชาวไทย ที่จะได้ชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก กาตาร์ 2022 ครบทั้ง 64 แมตช์ และว่า ในโอกาสนี้ ต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานบอร์ด กกท. และประธานบอร์ดกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ที่ช่วยประสานงานเรื่องงบประมาณกับ กสทช. และภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซีเมมเบอร์) ที่ช่วยพูดคุยกับ จานนี อินฟานติโน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ในฐานะที่เป็นไอโอซีเมมเบอร์ ด้วยกัน จนทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี

ทั้งนี้ กกท. กับฟีฟ่า เจรจาจบลงที่ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสด 33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 36 บาท) แต่ยังไม่ได้คิดภาษีอีก 15% รวมทั้งต้องติดตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่มีการทำธุรกรรม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาจจะมีโอกาสจบที่ 1,400 ล้านบาท โดยขั้นตอนหลังจากนี้ จะดำเนินการในเรื่องของขั้นตอนการลงนามสัญญา เพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนเกมนัดแรกจะเริ่มวันที่ 20 พ.ย.นี้

ผู้ว่าการ กกท. เผยด้วยว่า กกท. ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ประสานงานและให้มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ให้ประชาชนได้ดูฟรีทุกช่องทาง ได้ปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก กสทช. ในการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 600 ล้านบาท และภาคเอกชนอีกหลายแห่ง ที่ยังได้ให้การสนับสนุน สมทบงบประมาณให้ครบ รวมถึงกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติที่ช่วยเหลืออีกด้วย

5. ธุรกิจอาหารโอด หากรัฐขึ้นค่าไฟปีหน้า ทำต้นทุนพุ่ง ต้องขึ้นราคาอาหาร ขอรัฐลดภาษีให้เอสเอ็มอี!



นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร กล่าวถึงกรณีสำรักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2566 จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4.72 บาทต่อหน่วย โดยปรับขึ้นใน 3 ทางเลือกคือ อยู่ที่ระดับ 5.37 บาทต่อหน่วย ระดับ 5.70 บาทต่อหน่วย และ 6.03 บาทต่อหน่วยว่า ไม่ว่าจะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในระดับใดก็ตาม ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารจะได้รับผลกระทบทั้งหมด เนื่องจากค่าไฟฟ้าถือเป็นต้นทุนคงที่ เพราะเมื่อเปิดร้านอาหาร จะต้องมีตู้แช่อาหารสด รวมถึงร้านอาหารที่ติดเครื่องปรับอากาศจะยิ่งได้รับผลกระทบมาก

นายสรเทพ กล่าวด้วยว่า “เดิมทีค่าไฟฟ้าก่อนจะขึ้นมาที่ระดับ 4.72 บาทต่อหน่วย ที่ปรับเพิ่มจากเดิม 3 บาทกว่าๆ ซึ่งต้นทุนค่าไฟฟ้าในร้านอาหารจะอยู่ในระดับประมาณ 28-30% เมื่อเจอค่าไฟฟ้า 4.72 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 35% หรือมีผลทันที 5% และหากมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอีกครั้งในงวดต้นปี 2566 จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพิ่มขึ้นอีก 5% โดยรวมจากการขึ้นค่าไฟฟ้าครั้งก่อนและครั้งใหม่จะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10% ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นส่วนนี้ผู้ประกอบการอาจจะขึ้นราคาอาหารหรือสินค้า แต่คงขึ้นระดับสูงมากไม่ได้ เนื่องจากการแข่งขันสูง และรายได้ประชาชนยังกลับมาไม่มาก การขึ้นราคาจึงไม่ใช่ทางออกที่ดี”

นายสรเทพยังมีข้อเสนอให้รัฐด้วยว่า อยากให้รัฐนำไปพิจารณาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กรวมถึงรายย่อย (เอสเอ็มอี) คือ 1.อยากให้รัฐอนุญาตให้ธุรกิจเอสเอ็มอีนำส่วนต่างจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เพิ่มขึ้น 10% จากการปรับค่าไฟฟ้า สามารถหักภาษีหรือลดหย่อนภาษีได้ 10% เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบธุรกิจได้ 2.การให้สินเชื่อกับผู้ประกอบธุรกิจ ปัจจุบันรัฐมีกองทุนฟื้นฟูเศรษบกิจ ที่คาดว่ามีเงินประมาณ 4 แสนล้านบาท ขอให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินได้สะดวกขึ้น

ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสหกรรมไทย (อีคอนไทย) กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าถือเป็นต้นทุนหลักของภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ หากมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) จะเป็นการซ้ำเติมภาคธุรกิจอย่างยิ่ง เนื่องจากในปี 2566 ตั้งแต่ต้นปี ผู้ประกอบการต้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้กับแรงงาน ค่าน้ำมัน วัตถุดิบต่างๆ ก็ยังทรงตัวอยู่ระดับสูง

นายธนิต กล่าวอีกว่า แต่อีกเรื่องที่น่ากังวลมากกว่าค่าไฟคือราคาน้ำมัน แม้ปัจจุบันรัฐบาลยังตรึงราคาน้ำมันดีเซลอยู่ แต่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า รัฐบาลจะตรึงได้อีกนานแค่ไหน อีกทั้งช่วงนี้ถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน หากไม่มีการต่อมาตรการเหล่านี้ ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการ รวมถึงภาคประชาชนเข้าไปอีก


กำลังโหลดความคิดเห็น