แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทยชี้ความต่างของ 3 เจเนอเรชัน สิ่งที่ผู้ประกอบการยุคดิจิทัลต้องรู้ และเข้าใจหัวใจสำคัญในการรับมือกับอัตราการเปลี่ยนงาน หรือ Turnover Rate ที่พุ่งสูงขึ้น
➢ เจเนอเรชันเอ็กซ์ หรือ Gen-X ผู้ให้ความสำคัญต่อความสมดุลของการทำงานและการใช้ชีวิต
➢ เจเนอเรชันวาย หรือ Gen-Y ตรงไปตรงมามากขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็น และกล้าร้องขอในสิ่งที่คิดว่าตนเองสมควรได้รับ
➢ เจเนอเรชันซี หรือ Gen-Z เก่งการวิเคราะห์ และตัดสินใจรวดเร็ว ไม่กลัวปัญหา กล้าเสนอมุมมองใหม่ๆ นอกกรอบ
ตลาดแรงงานในยุคที่ประสบกับโควิด ดิสรัปชัน (COVID disruption) ที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก วิถีการดำเนินชีวิตของผู้คน และโลกของการทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเฉียบพลัน ผู้คนนิยมทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Working) มากขึ้น องค์กรจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ โดยคำนึงถึงสภาพจิตใจ และขวัญกำลังใจของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ในฐานะผู้นำในการหางาน-หาคนอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการบริการค้นหาพนักงานประจำ คอนแทรกต์ระยะสั้น การบริการ outsourcing ทุกตำแหน่งงาน ตั้งแต่ระดับล่างจนถึงผู้บริหารระดับสูงตามความต้องการของธุรกิจ Visa & Work Permit Payroll และ Outplacement ภายใต้แบรนด์ “แมนพาวเวอร์ (Manpower) เอ็กซ์พีริส (Experis®) และทาเลนต์ โซลูชันส์ (Talent Solutions)” โดยแมนพาวเวอร์กรุ๊ปได้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งนี้เสมอมา เพราะเชื่อมั่นว่า ‘บุคลากรขององค์กร คือ ทรัพยากรที่มีค่าที่สุด’ การสร้างคุณภาพชีวิต และพัฒนาทักษะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และอีกสิ่งสำคัญในลำดับต้นๆ ของการสร้างความสุข และรักษาสมดุลในการทำงานอย่างยั่งยืนคือความเข้าใจในความต่างของแรงงาน 3 เจเนอเรชัน คือ Gen X, Y, และ Z คนรุ่นใหม่ไฟแรง คนหนุ่มคนสาว ที่มักจะมากับความคิดใหม่ๆ ไฟแรงตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ต้องการความมั่นคง และยืดหยุ่นในการทำงาน
คุณลิลลี่ งามตระกูลพานิช ผู้จัดการประจำประเทศไทย แมนพาวเวอร์กรุ๊ป เปิดเผยว่า “จากผลสำรวจตลาดแรงงานของแมนพาวเวอร์กรุ๊ปพบว่า ปัจจุบันอัตราการเปลี่ยนงาน (Turnover rate) พุ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ทักษะทางด้านไอทีและเทคโนโลยีก็เป็นที่ต้องการกว่าก่อน เพราะผู้คนเริ่มทำงานแบบไฮบริดมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ส่งสัญญาณถึงผู้ประกอบการว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการ หรือองค์กรต่างๆ จะต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจและการทำงานอย่างจริงจัง เพื่อให้ตอบรับต่อความต้องการของพนักงาน การรักษาพนักงานที่มีศักยภาพให้คงอยู่ การเตรียมความพร้อมให้พนักงาน หรือระบบที่จะรองรับการทำงานแบบดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง วิธีคิดแบบดิจิทัล และการทำการตลาดผ่านสื่อดิจิทัล การทำงานแบบ Hybrid working เป็นบทบาทความท้าทายใหม่ขององค์กรที่จะต้องปรับตัวเพื่อสร้างสมดุล และความสุขในการทำงานให้แก่พนักงานที่มีความต่างกันใน แต่ละช่วงวัยที่ต้องทำงานร่วมกัน นั่นก็คือ
เจเนอเรชันเอ็กซ์ หรือ Gen-X เป็นผู้ที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2508-2523 เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ เป็นผู้ที่ผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตการทำงานช่วงต้นมาอย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง หรือแฮมเบอร์เกอร์ รวมทั้งเห็นการทำงานแบบทุ่มเททั้งชีวิตของคนรุ่นพ่อแม่ ทำให้ Gen-X ให้ความสำคัญต่อการทำงานแบบ Work-Life Balance เพื่อรักษาสมดุล แต่ยังเน้นเรื่องความรับผิดชอบตามหน้าที่อย่างเต็มที่ รวมทั้งเริ่มเปิดกว้างทางความคิด หรือไอเดียใหม่ๆ และเน้นเป้าหมายของทีมเป็นหลัก
เจเนอเรชันวาย หรือ Gen-Y หรือผู้ที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2523-2537 เปรียบเสมือนน้องคนกลาง ซึ่งตอนนี้หลายคนเริ่มเติบโตขึ้นเป็นระดับ Middle Management ในหลายองค์กรแล้ว เราจะเห็นสไตล์การทำงานในรูปแบบที่แตกต่าง Gen-Y ชอบความชัดเจน เปิดรับความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมามากขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็นและกล้าร้องขอในสิ่งที่คิดว่าตนเองสมควรได้รับ ดังนั้นเราจะเริ่มเห็นรูปแบบของหัวหน้างานที่นำทีมโดยสร้างความท้าทายให้ทีม พุ่งชนเป้าหมายมากขึ้น ดังนั้นความท้าทายขององค์กรคือ การรักษา Gen-Y ให้เผชิญเรื่องใหม่ๆ เสมอ เพราะเป็นเจเนอเรชันที่หากเบื่อก็มีโอกาสเปลี่ยนงานได้ตลอด
เจเนอเรชันซี หรือ Gen-Z ผู้ที่เกิดตั้งแต่พ.ศ. 2540 ขึ้นไป จึงเปรียบเสมือนน้องเล็ก เป็นคนเกิดยุคที่โลกหมุนเร็วมาก จึงมักจะเป็นคนที่วิเคราะห์และตัดสินใจรวดเร็ว ไม่กลัวกับปัญหาและพร้อมรับมือด้วยความสนุก เจนนี้สนุกกับการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว กล้าเสนอมุมมองใหม่ๆ นอกกรอบ ซึ่งเราจะเห็นน้องๆ เจน Z กล้าตั้งคำถามกับรูปแบบและขั้นตอนการทำงานแบบเดิมๆ เพื่อหาทางใหม่ที่เร็วขึ้น ไม่ต้องยึดติดกับเวลาแบบเมื่อก่อน คน Gen-Z จึงเป็นความท้าทายใหม่ที่หนักหน่วงของผู้ประกอบการที่จะต้องรับมือกับ Turnover ที่สูงขึ้นของ Gen-Z หากองค์กรไม่เข้าใจธรรมชาติของ Gen-Z ซึ่งคน Gen-Z ไม่อยู่ในโลกของการทำงานเข้าเช้ากลับเย็นอีกต่อไป ความท้าทายและความสนุกในงานต่างหากคือสิ่งที่ยึด Gen-Z ไว้ได้ องค์กรควรจะรักษาสมดุลระหว่างความท้าทายของงานกับผลตอบแทนที่ดึงดูด เพราะคนเจนนี้พร้อมก้าวออกไปสู่ที่ทำงานที่สามารถตอบโจทย์มากกว่า
“Work from home ไม่ควรถูกจำกัดแค่ที่บ้านอีกต่อไป แต่ควรจะเป็น “ที่ไหนก็ได้” จากร้านกาแฟ จากชายหาด หรือบนเกาะ ตราบใดที่ยังทำงานในชั่วโมงที่ระบุไว้ สามารถทำงานหรือสื่อสารกับทีมได้ตลอด และประสิทธิภาพงานยังคงเดิมอยู่ แต่ทั้งนี้ต้องอิงกับหน้าที่ของตำแหน่งนั้นๆ ด้วย”
ทั้งนี้ ด้วยระยะเวลาเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ดังกล่าวบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น Work from home 100% สลับเข้าทำงานในบางวัน หรือการเข้าออฟฟิศ 100% แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ในฐานะผู้นำในการหางาน-หาคนอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการบริการค้นหาพนักงานประจำ คอนแทรกต์ระยะสั้น การบริการ outsourcing ทุกตำแหน่งงาน ตั้งแต่ระดับล่าง-ผู้บริหารระดับสูง ตามความต้องการของธุรกิจ Visa & Work Permit Payroll และ Outplacement ภายใต้แบรนด์ “แมนพาวเวอร์ (Manpower) เอ็กซ์พีริส (Experis®) และทาเลนต์ โซลูชันส์ (Talent Solutions)” ได้เล็งเห็นถึงอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการทำงานในยุคดิจิทัลที่เพิ่งประสบกับโควิดดิสรัปชัน คือ การทำงานแบบไฮบริด วิถีการทำงานแบบใหม่ควบคู่กับการบริหารที่มีตัวชี้วัดความสำเร็จในการบริหารจัดการต้นทุนทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมๆ กัน
ซึ่งตนเองเชื่อว่าหลายองค์กรทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเริ่มเห็นตรงกันว่า ผลกระทบสำคัญอย่างหนึ่งที่เราได้มาจากสถานการณ์โควิด-19 คือการรักษาสมดุลชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เราเห็นชีวิตคุณภาพจริงๆ ของคนทำงานคือ มีวันที่ได้เจอเพื่อนร่วมงาน ประชุม ปรึกษากัน เพื่อให้ทีมได้มีโอกาสวางเป้าหมายการทำงานร่วมกัน ในขณะที่เราก็ยังมีวันที่เคลียร์งานบางอย่างที่เราอาจจะไม่มีเวลาสะสาง หรือได้ใช้สมาธิในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ กระทั่งทบทวนตัวเองเพื่อการพัฒนาแบบที่ไม่ต้องมีคนมารบกวน และลดเวลาการเดินทาง แต่เพิ่มเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว คนทำงานไม่จำเป็นต้องทำงานที่ออฟฟิศทุกวันก็สามารถปฏิบัติงานได้ดีตามปกติ หรือบางเคสดีกว่าปกติเสียอีก ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นทำให้คนจัดตารางชีวิตได้ดีขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ประหยัดค่าเดินทาง ไม่ต้องรอตอกบัตรเข้าออก สุขภาพจิตทุกคนก็จะดี มีผลดีต่องาน
ดังนั้น แนวคิดการทำงานแบบไฮบริดจึงกลายเป็นรูปแบบการทำงานที่หลายองค์กร รวมทั้งแมนพาวเวอร์ก็นำมาใช้ และได้รับการตอบรับเชิงบวกจากพนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมของเราที่เน้นเรื่องผลงานมาตลอด ในแต่ละเดือนก็ปรับเปลี่ยนจำนวนคนเข้าออฟฟิศตามความเหมาะสม ขึ้นกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในแต่ละช่วงด้วย
คุณลิลลี่กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ได้มีการนำร่องนโยบายทำงานจากที่ไหนก็ได้ หรือ Work From Anywhere 4 วันต่อเดือน โดยเราน่าจะเป็นบริษัทแรกๆ ในไทยที่มีนโยบายแบบนี้ เพราะเชื่อเสมอว่าสวัสดิการของพนักงานและความยืดหยุ่นขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญ หากดูแลทุกคนดี ทุกคนก็จะมีความสุขกับการทำงาน และนำมาซึ่งประสิทธิภาพการทำงานที่ดี การทำงานแบบ Work From Anywhere ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานทั้งในเชิงสวัสดิภาพ ความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับชีวิตทำงาน หรือ Work Life Balance รวมถึงการสานสัมพันธ์ระหว่างพนักงานในออฟฟิศด้วย เราเพิ่มความยืดหยุ่น แต่ยังคงมาตรฐานของประสิทธิภาพงาน ด้วยเงื่อนไขที่แจ้งให้พนักงานทุกคนปฏิบัติตาม เพื่อให้แน่ใจว่าความยืดหยุ่นนี้ไม่ได้หมายถึง การหย่อนยานวินัย ส่วนหนึ่งคือเราก็กำหนดมาตรการที่ชัดเจน เช่น วันที่เข้าออฟฟิศ ต้องเข้ามาระหว่างช่วง 7-9 โมงเช้า และต้องอยู่ถึงอย่างน้อย 4 โมงเย็น นี่คือนิยามของการทำงานแบบไฮบริด ของแมนพาวเวอร์กรุ๊ปประเทศไทย เพราะเราเชื่อมั่นว่า ‘บุคลากรขององค์กร คือ ทรัพยากรที่มีค่าสุด’ การสร้างคุณภาพชีวิต และพัฒนาทักษะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
และหากองค์กรหรือหน่วยงานไหนสนใจบริการของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ท่านสามารถติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 0-2171-2399 https://www.manpowerthailand.com/th หรืออีเมล recruitmentthailand@manpower.co.th และทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย”