หมายเหตุ : นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ออกมาตอบโต้ว่า อัตราการเสียชีวิตส่วนเกิน หรือเอ็กซ์เซสเดธ (Excess death) ในไทยมีหลายเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบบริการสุขภาพในระยะวิกฤตโควิด-19 การจำกัดการเดินทาง และความล่าช้าในการเข้ารับการรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ไม่พบหลักฐานที่แสดงว่าเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
---
หลังจากที่มีการพูดถึง Excess death ในข่าว “หวั่นผลข้างเคียงวัคซีน ภาพรวมตายเยอะกว่าปีก่อน ห่วงเด็กยังฉีดทั้งที่ไม่จำเป็น” ซึ่งถ้าจะอ่านรายละเอียดมากกว่าในข่าว ให้เข้าไปดูที่บทความหัวข้อ“Excess Death ทำไมคนตายมากขึ้น?”
อธิบดีกรมควบคุมโรคกรุณาแถลงเกี่ยวกับความกังวลดังกล่าว ผมขอตอบท่านเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
ท่านบอกว่า โควิด 19 สายพันธุ์เดลต้า กระทบระบบบริการ เดลต้าระบาดปีที่แล้ว (2564) ครับ ถ้าเป็นผลจากเดลต้าควรจะเกิดขึ้นปีที่แล้วครับ ตัวเลขที่ผมตั้งคำถามคือ ตัวเลขการเสียชีวิตของคนไทย ในเดือนตุลาคม 2565 เดือนที่ผ่านมานี่เองครับ
ท่านรองอธิบดีอ้างถึงการตายส่วนเกินในผู้สูงอายุ ในปี 2563 และ 2564 ซึ่งยิ่งทำให้ต้องตั้งคำถาม เพราะปีนี้ (2565) การตายส่วนเกินสูงกว่าปี 2564 ครับ ผมมีกราฟให้ดูด้วยครับ จะเห็นว่า ในเดือนตุลาคมปีนี้ ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 61 ปีขึ้นไป ปีนี้เสียชีวิตมากกว่าปี 2564 ชัดเจน ที่สำคัญสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2561-2563 ด้วย
ผมเอากราฟแสดงข้อมูลการเสียชีวิตรายเดือนของแต่ละปีมาให้ดูด้วยครับ จะเห็นว่าเส้นสีน้ำตาล (ปีนี้ 2565) กับเส้นสีน้ำเงิน (ปี 2564) สูงกว่าปีอื่นๆ อย่างมาก
หากพิจารณาเฉพาะปี 2564 เทียบกับ 2565 ก็จะเห็นชัดว่ามีแค่สองเดือนครับ คือเดือนกรกฎาคม กับสิงหาคม ที่จำนวนผู้เสียชีวิตของคนไทยในปี 2564 สูงกว่าปี 2565 โดยสองเดือนดังกล่าวเป็นช่วงที่มีการระบาดหนักของสายพันธุ์เดลต้า
พอมาถึงปีนี้ ปี 2565 สายพันธุ์เดลต้าไม่มีแล้ว อัตราการเสียชีวิตจากโควิดลดลงมาก ข้อมูลของกรมควบคุมโรคเองยืนยันในเรื่องนี้ได้ ตามที่ผมเอามาลงให้ดูด้วยข้างล่าง
และถ้าลองดูเป็นรายปี ผมทำเป็นปีงบประมาณ (ตุลาคม ถึงกันยายน) เพื่อจะได้เอาข้อมูลเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเทียบเป็นรายปีให้ดูได้ จะเห็นชัดเจนตามกราฟข้างล่างครับว่า ปีนี้ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565) มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด
อัตราการเสียชีวิดโดยรวมนี้ ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินนโยบายสาธารณสุขของประเทศครับ คำถามคือ นโยบายข้อใดที่ ทำให้เกิดผลเช่นนี้?
กราฟสุดท้ายคือจำนวนโดสของวัคซีนที่ฉีดรายวันครับ ลองดูครับ พอฉีดมากสักพักอัตราการเสียชีวิตของคนไทยจะขึ้นตาม ที่น่าสนใจคือ จากข้อมูลในต่างประเทศพบว่า ผลเสียของวัคซีนจะเห็นชัดเจนประมาณห้าเดือนหลังจากที่ฉีดครับ
ท่านบอกว่า การศึกษาในประเทศอื่นไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างวัคซีนกับการเสียชีวิต คำถามคือ การศึกษาในประเทศไหนครับ อย่าแค่อ้าง กรุณาเอาข้อมูลดูครับ
เอาง่ายๆ การศึกษาในประเทศไทย พบว่า ในเด็กที่ได้รับ mRNA (ซึ่งที่จริงควรเรียกว่ายีนของไวรัส) เข็มสองมีอัตราการเป็นหัวใจอักเสบ 1 ใน 43 ครับ หัวใจอักเสบที่ทำให้เสียชีวิตได้ครับ อันนี้แค่ผลข้างเคียงเดียว
ไม่พูดถึงปัญหาจากมะเร็ง ที่มีงานวิจัยอธิบายกลไกที่ mRNA ไปมีผลต่อการเกิดมะเร็ง หรือ การที่ mRNA ไปมีผลต่อภูมิคุ้มกัน จนทำให้ติดเชื้อรุนแรง วัณโรคกำเริบ หรือเป็นภูมิแพ้ ผื่นคัน ฯลฯ ถ้าอยากได้งานวิจัยเหล่านี้ผมยินดีส่งให้ครับ
นอกจากนี้ท่านยังบอกว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพในการลดการเสียชีวิตถึงหลายแสนราย รบกวนเอาวิธี “คำนาณ” ตัวเลขดังกล่าวมาให้ดูหน่อยครับ เพราะการ “คิดเลข” แบบนี้ขึ้นอยู่กับ “ข้อสรุป” หรือ เงื่อนไข ต่างๆ ที่ใช้ครับ ถ้าเงื่อนไขผิด ผลก็เชื่อถือไม่ได้ครับ
ที่สำคัญ ท่านไม่ให้ความสำคัญกับผลจากการรักษาที่ดีขึ้น จากการที่เชื้อลดความรุนแรงลง หรือจากการที่คนส่วนใหญ่ติดเชื้อจนมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติเลยหรือครับ ทำไมจงใจจะยกความดีความชอบให้กับบริษัทยาเท่านั้น
สุดท้าย ผมตั้งคำถามว่า ทำไมยังเชียร์ให้เด็กๆ ไปรับวัคซีนอยู่ ท่านบอกเองว่า ให้กลุ่มเสี่ยงเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือ ข้อมูลของท่านเองระบุว่า เด็กไทยกลุ่มอายุน้อยกว่า 10 ปี เสียชีวิตจากโควิดต่ำ เพียง 13 รายในประชากรล้านคน และเด็กที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มีโรคอื่นร่วม ไม่ใช่เด็กปกติที่แข็งแรง ดังนั้นทำไมต้องฉีดเด็กปกติด้วย
ที่สำคัญตอนนี้เด็กส่วนใหญ่ติดเชื้อแบบไม่มีอาการไปแล้ว มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติไปแล้ว มีความจำเป็นอะไรที่ต้องฉีดวัคซีนซ้ำ วัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันการแพร่เชื้อไม่ได้ จะฉีดเพื่อป้องกันปู่ย่าตายาย ก็ไม่มีข้อมูลสนับสนุน
สุดท้ายวัคซีนที่เอามาฉีดเด็กๆ ตอนนี้นั้น คือวัคซีนกันเชื้ออู่ฮั่น ไม่ใช่เชื้อโอมิครอนที่ระบาดอยู่ตอนนี้ วัคซีนตกรุ่นแบบนี้เอามาฉีดให้เด็กๆ ไปทำไมครับ
ผมเคยเรียนแล้วว่ายินดีเอาข้อมูลไปให้ หรือถ้าจะมีการประชุมหารือกันเรื่องนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กๆ ก็ยินดีครับ ติดต่อมาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มาได้เลยครับ ผมรออยู่ครับ