xs
xsm
sm
md
lg

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยไม่เห็นด้วย ให้โควตาการจับสัตว์น้ำเป็นจำนวนวัน ชี้ทำลายทะเลหนักขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยฝากรัฐบาลคิดใหม่ให้โควตาการจับสัตว์น้ำเป็นจำนวนวัน เอื้อนายทุนหรือเห็นแก่ประชาชนส่วนใหญ่ ชี้ยิ่งเป็นการทำลายทะเลหนักขึ้น

จากกรณีสมาคมการประมงได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอวันทำประมงเพิ่มขึ้นจากที่ได้รับเดิม โดยอ้างว่าลำบากขาดทุน และเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 พ.ย. นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ชี้รัฐบาลให้โควตาการจับสัตว์น้ำเป็นจำนวนวัน ทำลายทะเล โดยได้ระบุข้อความว่า

"มีอาชีพใดบ้าง ที่สร้างรายได้เกินสิบล้านบาทต่อปี

กรณีมาจากการขอวันทำประมงเพิ่มยิ่งทำลายวงจรอาหารของคนจน ผมได้รับข่าวว่าสมาคมการประมงได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอวันทำประมงเพิ่มขึ้นจากที่ได้รับเดิม โดยอ้างว่าลำบากขาดทุน และเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่

ผมคิดว่าจำเป็นต้องเล่าข้อมูลให้ทุกท่านได้รับทราบความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า อาจเป็นอีกกรณีหนึ่งที่พิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาลว่า เห็นแก่ประชาชนส่วนใหญ่ เห็นแก่อนาคตลูกหลานในวันข้างหน้า หรือ เอื้อประโยชน์ให้นายทุนอุตสาหกรรมประมงกันต่อไปกันแน่

ทุกท่านครับ ท่านควรทราบว่ารัฐบาลไทย ได้กำหนดปริมาณสัตว์น้ำที่จะอนุญาตให้จับได้ในแต่ละปี โดยในปี 2564 กำหนดไว้ที่ไม่เกิน “1.4 ล้านตันต่อปี / (1,400,000,000 กิโลกรัม) โดยรัฐบาลชี้แจงว่าได้คิดจากฐานขนาดสัตว์น้ำเต็มวัยและค่าการศึกษาทางวิชาการที่ดีที่สุดที่มีอยู่แล้ว

ในปริมาณสัตว์น้ำทั้งหมดที่กำหนดไว้นั้น รัฐบาลได้ให้โควตาการจับสัตว์น้ำสำหรับ เรือประมงพาณิชย์ทั้งหมดประมาณ 10,500 ลำ ให้จับได้ประมาณ 85% ของปริมาณสัตว์น้ำที่กำหนดให้จับได้ต่อปี (1.4 ล้านตัน) เท่ากับว่าชาวประมงพาณิชย์ 1 หมื่นกว่าลำ ได้รับส่วนแบ่งไปประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี หากคิดตามน้ำหนักเฉลี่ยให้ทุกลำเท่าๆ กัน เรือประมงพาณิชย์แต่ละลำจะมีโควตาเฉลี่ยจับได้ ปีละ 108 ตันต่อลำต่อปี หรือประมาณ 108,000 กิโลกรัม/ หากทุกลำจับปลาดีๆ มีคุณภาพ ตามขนาดที่ควรจับ เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงมนุษย์ เราสามารถสมมติ มูลค่าสัตว์น้ำในราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 100 บาท ถ้าแต่ละลำสามารถจับได้เต็มโควตา คือลำละ 108,000 กิโลกรัม จะมีรายได้ 10,800,000 บาทต่อลำต่อปี

และหากคำนวณรวมเรือทั้งหมด 11,000 ลำ ประมงพาณิชย์จะได้ส่วนแบ่งจากทรัพยากรของชาติไป 108,000,000,000 บาท (1แสนแปดพันล้านบาท) แต่รัฐบาลไม่ใช้มาตรการอย่างตรงไปตรงมาในการกำหนดจำนวนการจับที่จับได้จริง เพราะอาจกลัวประมงพาณิชย์กดดัน หรืออาจมีหัวคะแนนก็ไม่ทราบได้ จึงมีการตกลงกัน ปรับเปลี่ยนแปลงวิธีการ จากน้ำหนักจริง ไปเป็นกำหนดจำนวนวันที่สามารถออกทำการประมงแทน โดยอ้างว่าหากเรือประมงทำการประมงเต็มวัน น่าจะได้สัตว์น้ำน้ำหนักรวมไม่เกิน 1.2 ล้านตันตามโควตา

ต่อมามีการกำหนดจำนวนวันให้ประมงพาณิชย์ออกทำการประมง ตั้งแต่ 220 วัน, 240 วัน และล่าสุดอนุญาตให้ซื้อขาย “สิทธิจำนวนวัน” ระหว่างเรือแต่ละลำได้ด้วย หมายความว่า บางลำสามารถจับปลาได้ทั้งปี 365 วัน หากมีเรือลำอื่นขายให้ และผลก็คือ ประมงพาณิชย์ยิ่งจับสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนเพิ่มมากขึ้นๆ จนมีอัตราการจับสัตว์น้ำจากทะเลในรูปปลาเป็ดอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น ว่ากันโดยเนื้อแท้แล้ว การกำหนดจำนวนวันทำการประมง ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องในการควบคุมปริมาณการจับ ไม่สามารถควบคุมกลุ่มเรือประมงอุตสาหกรรมไม่ให้กวาดจับเกินศักยภาพการผลิตของทะเลได้เลย

นับแต่ปี 2559-2562 รัฐบาลกำหนดให้เรือประมงพาณิชย์ (10 ตันขึ้นไป) ต้องแจ้งปริมาณน้ำหนักสัตว์น้ำที่จับได้อยู่แล้ว โดยให้กรอกตอนแจ้งเข้าแจ้งออก จึงเชื่อว่ามีฐานข้อมูลปริมาณการจับอยู่ตลอด แนวทางที่ถูกต้องคือ รัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลปริมาณการจับที่ผ่านมา เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาตัดสินใจ และต้องกำหนดปริมาณแบ่งตามน้ำหนักที่จับจริง ไม่ใช่แบ่งเป็นวัน ชาวประมงพื้นบ้านบอกว่า “การกำหนดโควตาการจับสัตว์น้ำ” หากกำหนดเป็นจำนวนวัน เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เรือประมงพาณิชย์สามารถจับสัตว์น้ำเท่าไรก็ได้ สัตว์น้ำชนิด-ประเภทใดก็ได้ จับขนาดลำตัวเท่าไรก็ได้ เพียงแค่ออกทำการประมงตามวันเวลาที่ได้ระบุไว้ เท่านั้น พูดง่ายๆ คือ สามารถกอบโกยสัตว์น้ำจำนวนเท่าไรก็ได้ จะเป็นสัตว์น้ำวัยอ่อนหรือวัยไหนๆ ก็จะกอบโกยให้ได้มากที่สุด จนหมดวันที่กำหนด”

พวกเขาอ้างว่าให้โควตาชาวประมงพื้นบ้านทำประมงได้ 365 วัน ส่วนประมงพาณิชย์ให้แค่ 220 วันเท่านั้น

"นี่คือความเจ็บปวดของคนจน เปรียบเทียบเหมือนกับ "ให้คนขับรถแทรกเตอร์ ไถป่าได้ 220 วัน และให้คนจนมือมีดพร้าถางป่าได้ 365 วัน" ถามว่า "มันจะเกิดผลอย่างไร??? ชาวประมงพื้นบ้านกล่าว

อนึ่ง หากกำหนดโควตาเป็นปริมาณน้ำหนักจริง โดยกำหนดปริมาณน้ำหนักสัตว์น้ำที่เรือประมงแต่ละลำจับได้ต่อปี และหากจับปลาได้จำนวนน้ำหนักที่กำหนดแล้ว ควรต้องหยุดทำการประมง หรือไม่ก็ไปแบ่งโควตาจากเรือลำอื่น เป็นสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า เพราะการกำหนดปริมาณเป็นน้ำหนักจะผลักดันให้เรือประมงพาณิชย์แต่ละลำต้องพยายามจับสัตว์น้ำเศรษฐกิจเต็มวัยเพราะจะได้ราคามูลค่ามากกว่าจับสัตว์น้ำวัยอ่อนปริมาณมากๆ ไปส่งโรงงานผลิตอาหารสัตว์ที่ได้ราคาต่ำกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ทรัพยากรสัตว์น้ำวัยอ่อนก็อยู่รอดปลอดภัยโดยปริยาย เพราะหากมัวแต่จะจับสัตว์น้ำขนาดเล็กก็ไม่ได้มูลค่า ทำให้สัตว์น้ำภาพรวมจะได้โตให้จับต่อไป

บางท่านจะแปลกใจ เผลอใจโอนอ่อน เหมือนกับการทำงานบนบก และคิดว่า รัฐบาลทำร้ายชาวประมงด้วยการให้ทำงานแค่ 220 วัน ไม่เป็นธรรม หรือ หลายท่านอาจคิดว่าหากกำหนดเป็นปริมาณน้ำหนักแล้ว หากชาวประมงรายนั้นจับหมดน้ำหนักที่กำหนดให้ ชาวประมงคนนั้นจะเดือดร้อน ไม่ได้ออกทำการประมง....

กรณีนี้ ผมอยากให้ท่านกลับไปอ่าน บทความนี้ในช่วงแรกอีกครั้ง จะพบว่า หากกำหนดตามน้ำหนัก เรือประมงพาณิชย์แต่ละลำจะได้โควตาการจับ เฉลี่ยปีละ “108 ตัน” หากจับอย่างมีคุณภาพเหมือนชาวประมงพื้นบ้าน จะคิดเป็นเงินมากกว่า "สิบล้านบาทต่อปี" ยังรวยไม่พออีกหรือ มีอาชีพใดบ้างที่สร้างรายได้เกินสิบล้านบาทต่อปี

ผมขอกล่าวถึงชาวประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อยจำนวนนับแสนคน กลับได้รับสิทธิการจับได้แต่ละปี โดยคิดจากส่วนที่เหลือจากที่ประมงพาณิชย์จับได้ คือประมาณ 15% ของ 1.4 ล้านตัน (ประมาณ 2 แสนตัน) เฉลี่ยลำละ 3-4 ตันต่อปีเท่านั้น

จะเห็นว่า การแปลงน้ำหนักจริงเป็นโควตาจำนวนวัน เป็นขบวนการหลอกลวงชาติ เท่านั้นเอง ยิ่งรัฐบาลคิดจะให้โควตาการจับเป็นจำนวนวันแก่ประมงพาณิชย์เพิ่ม ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า แท้จริงแล้วรัฐบาลสนับสนุนประมงอุตสาหกรรมให้ทำลายทะเลหนักขึ้นต่อไป"
กำลังโหลดความคิดเห็น