1.หลายฝ่ายสวดยับ รบ. ผุดกฎหมายขายชาติ ให้ต่างชาติซื้อที่ดินได้ 1 ไร่ แลกลงทุน 40 ล้าน ด้าน "วัชระ" เตรียมถวายฎีกา หากรัฐบาลไม่ทบทวน!
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ซึ่งร่างฯ นี้ จะมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
สำหรับสาระสำคัญของร่างฯ ดังกล่าว เป็นการกำหนดกลุ่มคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภท ที่สามารถได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ได้แก่ 1. กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง 2. กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ 3. กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย 4. กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
ทั้งนี้ จำนวนเนื้อที่ที่ได้รับสิทธิ ไม่เกิน 1 ไร่ ตามมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งต้องใช้ที่ดินนั้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับตนเอง ภายในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล หรืออยู่ภายในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง โดยมีจำนวนเงินลงทุนในธุรกิจหรือกิจการประเภทหนึ่งประเภทใด ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท และต้องดำรงการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (เพิ่มขึ้นใหม่จากกฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2545) หากถอนการลงทุนในธุรกิจหรือกิจการก่อนครบกำหนดเวลาการดำรงทุน ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ถอนการลงทุน
สำหรับขั้นตอน เงื่อนไข และวิธีการขอ ให้ยื่นคำขอและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังอธิบดีกรมที่ดินเพื่อพิจารณาเสนอรัฐมนตรีต่อไป
นายอนุชา ย้ำด้วยว่า ร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว มีเจตนารมณ์เพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย โดยเปิดโอกาสให้มีการลงทุนที่หลากหลายขึ้น และมีมาตรการที่จะช่วยดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนภายในประเทศมากขึ้น เพื่อกระตุ้นภาคเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม และเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 14 ก.ย. 2564 และวันที่ 24 ม.ค. 2565 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในที่ประชุม ครม.ว่า ร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว สามารถทบทวนได้ทุกๆ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจและสังคมไทยในขณะนั้นๆ หลังจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะส่งร่างฯ ดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ครม.ไฟเขียวให้ต่างชาติ 4 กลุ่มซื้อที่ดินในไทยได้ 1 ไร่ โดยแลกกับการลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วยต่างมองว่า นี่เป็นการขายชาติขายแผ่นดินหรือไม่?
สำหรับผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ ได้แก่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการองค์การสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความในเฟซบุ๊ก (29 ต.ค.) ว่า “คัดค้านการขายแผ่นดินให้ต่างชาติ” ซึ่งมีชาวเน็ตเข้ามากดไลก์และแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยคอมเมนต์เห็นด้วยกับ “ศรีสุวรรณ” เช่น อันนี้สนับสนุนนะศรี, ลุยครับพี่ศรี, เห็นด้วยครับ ขอให้การร้องสำเร็จครับ, กูรักพี่ศรี..ก็งานนี้ล่ะ, อย่าลืมทำการบ้านไปด้วยนะพี่ศรี ฯลฯ โดยส่วนใหญ่ต่างให้รีบร้องเรียนคัดค้านเรื่องดังกล่าว
ด้าน น.ส.ปารีณา ไกร์คุปต อดีตส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก (29 ต.ค.) เช่นกัน โดยระบุว่า “เมื่อประชาชนไม่ต้องการแลกเงินลงทุนจากต่างชาติกับผืนแผ่นดินไทย สละไม่เอาเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ และสละได้แม้กระทั่งชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยให้ลูกหลานเรา อย่างที่บรรพบุรุษไทยเคยทำกันมา อนาคต...ถึงลูกหลานจะสามารถอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย แต่มันคือการ...เช่า...ที่มีนายกกำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นต่างชาติ จึงขอให้นายกโปรดฟังเสียงประชาชน จากใจสลิ่มชื่อปารีณา ที่จะเป็น fc พลเอกประยุทธตลอดชีวิต #รักเธอประเทศไทย”
ขณะที่นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จี้รัฐบาลให้ทบทวนมติขายที่ดินให้ต่างชาติ 1ไร่ หากนำเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท โดยระบุว่า เหตุผลที่อ้างว่ามาตรการดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากโควิด-19 นั้น ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์กันแน่ ระหว่างนายทุนที่ดินหรือประชาชน เพราะหากต่างชาติได้กรรมสิทธิ์แล้ว จะเรียกคืนลำบาก เหมือนอ้อยเข้าปากช้าง ไม่ยุติธรรมกับคนไทย หากรัฐบาลไม่ทบทวน จะยื่นถวายฎีกาเพื่อขอความเป็นธรรมต่อไป
ด้านนายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย มองว่า การที่คณะรัฐมนตรีเตรียมเสนอร่างกฎกระทรวง เรื่องการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว โดยมุ่งเป้าเฉพาะเจาะจงกลุ่มคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง ได้สิทธิวีซาพำนักระยะยาว หรือ LTR Visa ภายใต้เงื่อนไขต้องมีจำนวนเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาทไม่น้อยกว่า 3 ปี แลกสิทธิขอถือครองที่ดิน เพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ ในฐานะของคนไทยคนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับกฎกระทรวงดังกล่าว เพราะการกระทำของรัฐบาลไม่ต่างจากการขายแผ่นดินไทยให้กับคนต่างชาติ ปัญหาที่รัฐบาลจำเป็นต้องขายแผ่นดินไทยเพื่อแลกกับการลงทุน มองว่าเป็นนโยบายที่จนแต้ม และจำเป็นต้องทำเพื่อนำเงินมาลงทุน หวังว่าชาวต่างชาติจะนำเงินมาลงทุน
2.รวบ "พ.ต.ท.-จนท.พาณิชย์" แอบขายข้อมูลคนไทยกว่า 1,000 ข้อมูลให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน แลกรายได้เดือนละ 6 แสน!
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ได้นำทีมแถลงข่าวหลังตรวจพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โดยได้มีการจับกุมดำเนินคดีแล้ว
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า จากปฏิบัติการ “เด็ดปีกมังกร” จับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ของทางกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 16 ราย เป็นกลุ่มรับจ้างเปิดบัญชีม้า 8 ราย กลุ่มรวบรวมบัญชีม้าเพื่อส่งต่อให้นายทุนชาวจีน 1 ราย และกลุ่มที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลผู้เสียหายเพื่อนำไปใช้ในการหลอกลวง 2 ราย
โดยผู้ที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลของผู้เสียหายเพื่อนำไปใช้ในการหลอกลวง 2 รายดังกล่าว เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้โอนเงินเข้าบัญชีของเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 2 รายอย่างต่อเนื่อง คาดว่า ทำมานานพอสมควร โดยมีข้อมูลของคนไทยถูกฉกไปขายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วกว่า 1,000 ข้อมูล ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ราย อยู่ในส่วนงานที่สามารถดูฐานข้อมูลของผู้เสียหายได้
รอง ผบ.ตร.กล่าวด้วยว่า ขอฝากเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไปได้ว่า อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยที่มีคนนำมามอบให้ เพื่อแลกกับข้อมูลที่ท่านสามารถเข้าถึงได้และไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของท่าน เพราะหากตรวจพบว่าข้อมูลนั้นถูกกลุ่มคนร้ายนำไปใช้ประโยชน์ ท่านก็จะถูกจับกุมดำเนินคดี และมีโทษตามกฎหมายที่หนักมากกว่าคนทั่วไป
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกจับ รายแรก เป็นตำรวจ ยศ พ.ต.ท. พฤติการณ์ คือ จะเข้ารหัสไปกดดูฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของผู้เสียหาย โดยพบว่า เข้าไปกดดูจนนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนรายที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่าง กระทรวงพาณิชย์ จะเข้าระบบไปล้วงข้อมูลการจดทะเบียนการค้า หรือตราธุรกิจของผู้เสียหาย ไปขายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะดูข้อมูลว่า เหยื่อรายใดรวย มีทุนจดทะเบียนทางธุรกิจด้วยเงินจำนวนมาก แล้วจึงนำข้อมูลไปขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทั้ง 2 ราย จะมีรายได้จากการขายข้อมูลคนไทยให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน วันละ 20,000 บาท หรือเดือนละ 600,000 บาท โดยทางธนาคารพบการเคลื่อนไหวของเงินจากบัญชีม้า เข้ามายังบัญชีของผู้ต้องหา จึงประสานตำรวจตรวจสอบ และนำไปสู่การจับกุมดังกล่าว
สำหรับผู้เสียหายรายล่าสุด ที่ถูกฉกข้อมูลทะเบียนราษฎรไปขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นหมอ อาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำปลอมเว็บไซต์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แล้วโทรแจ้งผู้เสียหายว่า ทำความผิดคดีอาญา จะต้องถูกตรวจสอบเงินในบัญชี พร้อมส่งหมายจับปลอมที่มีภาพใบหน้าของผู้เสียหาย และข้อมูลทางธุรกิจไปให้ผู้เสียหายดู ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินไปยังบัญชีม้าจำนวนกว่า 6,970,000 บาท ก่อนจะมารู้ภายหลังว่า ถูกหลอกแจ้งความออนไลน์เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา
มีรายงานว่า พ.ต.ท.ที่แอบขายข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน ก็คือ พ.ต.ท.กรรณบวร บุญเกิด สวป.สภ.อ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งหลังจากถูกดำเนินคดี ทางตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.กรรณบวร ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อสอบวินัย โดยจะสอบให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน ทั้งนี้ พ.ต.ท.กรรณบวร อ้างว่า การเข้าไปดูข้อมูลทะเบียนราษฎรของผู้เสียหายและให้ข้อมูลกับเพื่อนหญิง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เป็นการนำไปใช้เพื่องานวิจัยในการเรียนระดับปริญญาโทเท่านั้น ไม่ใช่การนำไปขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากมีผลตอบแทนเป็นเงินโอนเข้าบัญชีเดือนละกว่า 6 แสนบาท
3. "ชวน" ไม่ยื้อคดีที่ถูก "ทักษิณ" ฟ้องหมิ่น ประสาน ตร.ส่งตัวให้อัยการฟ้องต่อศาล ก่อนหน้าคดีหมดอายุความแค่ 3 วัน!
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. พนักงานอัยการได้นำตัวนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาฯ จากกรณีเมื่อวันที่ 28 ต.ค.2555 นายชวนได้ปราศรัยถึงนโยบายจังหวัดชายแดนภาคใต้ สมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ว่ามีความผิดพลาด นายทักษิณจึงได้ฟ้องนายชวน ซึ่งพนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายชวนในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาฯ และไม่ฟ้องในความผิด พ.ร.บ.คอมฯ ให้พนักงานอัยการเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ก่อนหน้าคดีจะหมดอายุความในวันที่ 28 ต.ค.2565
ภายหลังยื่นฟ้อง ศาลได้สอบคำให้การ จำเลยให้การปฏิเสธ ก่อนที่ศาลจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี เเละนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 16 ม.ค. 2566 เวลา 09.00 น.
ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการประธานรัฐสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก (26 ต.ค.) ระบุว่า จากการที่ทักษิณ ชินวัตร ได้มอบอำนาจให้ทนายความแจ้งความดำเนินคดีนายชวน หลีกภัย จากเหตุการณ์วันที่ 28 ต.ค. 2555 เมื่อครั้งที่นายชวน หลีกภัย ได้ไปบรรยายในงานโรงเรียนการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้พูดถึงกระบวนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อครั้งนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่เกิดความผิดพลาด
ทักษิณ ชินวัตร จึงมอบอำนาจให้ทนายความแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องเฉพาะข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ต่อมาพนักงานสอบสวนมีการนัดหมายเวลา แต่เนื่องจากมีเวลาไม่ตรงกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนกระทั่งคดีเงียบหายไป จนทุกฝ่ายคิดว่าคดียุติไปแล้ว แต่ปรากฏว่า คดีดังกล่าวยังไม่ยุติ พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง ก็ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ และพนักงานอัยการก็เห็นควรสั่งฟ้องเช่นกัน
เมื่อตนได้รับการติดต่อจากพนักงานสอบสวนว่า คดีดังกล่าวจะหมดอายุความวันที่ 28 ต.ค. 2565 (อายุความคดีนี้ 10 ปี) และให้ไปพบพนักงานอัยการในวันที่ 25 ต.ค. เพื่อนำตัวส่งพนักงานอัยการเพื่อส่งตัวฟ้องศาล เพราะเหลือเวลาแค่ 3 วัน ก็จะหมดอายุความ
จากนั้นตนก็ได้รับโทรศัพท์จากท่านชวน หลีกภัย ที่สอบถามถึงเรื่องคดีนี้ โดยสาระสำคัญหลักการที่ท่านชวนย้ำอย่างชัดเจน คือ “ราเมศอย่าให้คดีขาดอายุความ องค์กรตำรวจ องค์กรอัยการจะเสียหายได้ จะต้องยึดหลักในการเคารพกฎหมาย ทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ผมพร้อมสู้คดี”
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของวันที่ 25 ต.ค. ที่ตนในฐานะทนายความ ดำเนินการประสานทุกฝ่ายเพื่อเข้าพบพนักงานอัยการส่งตัวฟ้องศาล พิมพ์ลายนิ้วมือ เดินทางไปพบพนักงานอัยการ และไปศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อให้พนักงานอัยการได้นำตัวไปฟ้องต่อศาล และทำการประกันตัว
จากการที่เหลือเวลาเพียง 3 วัน ที่จะขาดอายุความ มีคนแนะนำว่าให้ดึงเวลาเพื่อให้ขาดอายุความ คดีจะได้จบไป แต่ท่านชวน หลีกภัย ไม่เลือกเส้นทางดังกล่าว แต่ยังคงยึดมั่นในหลักการความถูกต้อง เป็นตัวอย่างในการเคารพกฎหมาย อยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
นายราเมศ ระบุด้วยว่า ในส่วนของเนื้อหาคดีขออนุญาตไม่กล่าวถึง แต่งานนี้รับประกันว่า น่าติดตามชมไม่น้อยกว่าคดียุบพรรค และคดีทุจริตจำนำข้าว เพราะข้อเท็จจริงทั้งหมดในสมัยรัฐบาลทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่กรือเซะ เหตุการณ์ที่ตากใบ เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุการณ์จากการปราบปรามยาเสพติด จะถูกยกขึ้นมาชำแหละอีกรอบหนึ่งผ่านคดีนี้ อย่างแน่นอน
วันเดียวกัน (26 ต.ค.) นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวถึงคดีที่ถูกนายทักษิณฟ้องฐานหมิ่นประมาทว่า คดีดังกล่าวจะหมดอายุความในวันที่ 28 ต.ค. แต่คดียังอยู่ที่สถานีตำรวจ ยังไม่มีหมายเรียกมาถึงตน ดังนั้น ถ้าตนต้องรอหมาย คดีอาจจะขาดอายุความได้ และจะส่งผลให้ตำรวจและอัยการเสียหาย ส่วนตัวถือหลักว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน จึงได้ขอให้นายราเมศ ประสานตำรวจและอัยการ และขอให้อัยการดำเนินการฟ้องร้องตนเอง เพื่อไม่ให้อายุความขาด และเมื่อตนถูกกล่าวหาก็มีหน้าที่สู้คดีไปตามกระบวนการ ทำให้ขณะนี้อัยการมีการสั่งฟ้องเป็นที่เรียบร้อย และได้มีการพิมพ์ลายนิ้วมือในฐานะผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ส่วนกรณีหมายเรียกรับทราบข้อกล่าวหาที่ยังไปไม่ถึงตนนั้น เพิ่งได้รับรายงานว่า หมายดังกล่าวเพิ่งไปถึงจังหวัดตรังแล้ว
นายชวน กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย และทุกคนต้องรับผิดชอบ ตนเป็นคนพูดอะไรพูดตรง ไม่พูดอะไรที่ไม่จริง และเมื่อพูดแล้วก็ต้องรับผิดชอบกับคำพูด เมื่อมีคดีเกิดขึ้นก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นกรณีกรือเซะ-ตากใบ เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลในขณะนั้นอยู่หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า เรื่องที่ฟ้องร้องเป็นเรื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นนโยบายการแก้ไขปัญหา ในสมัยนั้นมีการใช้คำพูดเรียกว่าโจรกระจอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนยืนยันหลายครั้งว่า เป็นความผิดพลาดที่นำไปสู่ความสูญเสียครั้งสำคัญจนมาถึงทุกวันนี้ แต่ทั้งหมดเนื่องจากเมื่อเป็นคดีความแล้ว ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของคดี
4. "ชลบุรี เอฟซี" ยกเลิกสัญญา "วรวุฒิ" หลังเมาแล้วขับชนคนตาย-เจ็บ ด้าน "เฉลิมพงษ์" ถูกแบน 2 นัด ปรับ 1 แสน ฐานประพฤติตัวไม่เหมาะ!
เมื่อวันที่ 26 ต.ค. เวลา 04.30 น. ร.ต.ท.นนทนันท์ นวนงาม รอง สว.(สอบสวน ) สภ.เมืองชลบุรี ได้รับแจ้งมีรถชนคนเดินออกกำลังกาย เหตุเกิดบนสะพานใหม่ตอนที่ 2 ถนนเลียบชายทะล ต.บ้านโขด อ.เมือง จ.ชลบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังรุดไปที่เกิดเหตุ พบศพ น.ส.กัญญา พงษ์หัสส์บรรณ อายุ 62 ปี ใส่ชุดออกกำลังกาย สภาพขาขวาหัก ศีรษะแตก นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 1 ราย ทราบชื่อคือ นายพงษ์ (ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง) ขาขวาหัก กู้ภัยนำส่ง รพ.ชลบุรี เป็นการด่วน ห่างออกไปประมาณ 20 เมตร เจ้าหน้าที่พบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีดำ หมายเลขทะเบียน กจ 8061 มหาสารคาม สภาพด้านหน้ามีรอยชน และด้านท้ายรถพังยับเยิน โดยมีนายวรวุฒิ สุขุนา อายุ 23 ปี หรือ "แบงค์" นักฟุตบอลตำแหน่งผู้รักษาประตู ทีมฟุตบอลชลบุรีเอฟซี อ้างเป็นคนขับ อยู่ในสภาพคล้ายคนเมา ตำรวจตรวจวัดแอลกอฮอล์ ได้ 184 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ยอมเซ็นรับทราบ
จากการสอบถามนายเสวต จีวัชรินทร์ ชาวบ้านที่เดินออกกำลังกาย และเห็นเหตุการณ์ เผยว่า รถเก๋งคันดังกล่าวขับมาเร็วมาก จากนั้นได้ยินเสียงดัง เมื่อหันไปดูก็เห็นรถหมุนเฉี่ยวชนฟุตบาท และมีสะเก็ดไฟพุ่งกระจาย ขณะเกิดเหตุรถได้พุ่งมาทางตนเอง จึงได้หลบลงข้างสะพานทำให้รอดจากการถูกชน ส่วนผู้ตายและผู้บาดเจ็บนั้น เดินบนถนนข้างที่มีการตีเส้นให้เป็นทางปั่นรถจักรยาน 2 ล้อ จึงถูกรถพุ่งชนเข้าอย่างจัง ทำให้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว
หลังเกิดเหตุ ได้มีชายใส่เสื้อขาว ไม่ทราบชื่อ ขับรถฟอร์จูนเนอร์ สีขาว โดยมา 2 คนกับชายรูปร่างใหญ่ โดยจะพาคนขับขึ้นรถไป แต่ทางตำรวจและกู้ภัยได้ขวางไว้ไม่ให้ไป ชายรูปร่างใหญ่ที่คล้ายอยู่ในอาการเมา กลับโวยวายพูดจาหาเรื่องเจ้าหน้าที่กู้ภัยและด่าผู้สื่อข่าว พร้อมทั้งด่าตำรวจสายตรวจที่มาควบคุมสถานการณ์ และทำท่าชกเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เจ้าหน้าที่หลบทัน กู้ภัยและชาวบ้านจึงเข้าล็อกตัวและพูดหว่านล้อมให้สงบสติอารมณ์ จากการตรวจสอบชายรูปร่างใหญ่ ทราบชื่อในเวลาต่อมา คือ นายเฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว อายุ 36 ปี เป็นนักฟุตบอลตำแหน่งกองหลัง ทีมฟุตบอลชลบุรี เอฟซี แต่ไม่มีใครแจ้งความเอาผิดอะไร จึงได้เดินทางกลับไป เบื้องต้นตำรวจตั้งข้อหานายวรวุฒิ สุขุนา ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิตและบาดเจ็บ และข้อหาเมาแล้วขับ
ในเวลาต่อมา พ.ต.อ.นิทัศน์ แหวนประดับ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ได้เข้าสอบปากคำผู้ต้องหาด้วยตัวเอง โดยนายวรวุฒิ ยังอยู่ในอาการเศร้าเสียใจ ร้องไห้สะอื้นตลอดเวลา พร้อมกับได้ยกมือไหว้ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าผิดไปแล้ว และจะไม่ดื่มเหล้าอีกตลอดชีวิต
ทั้งนี้ พ.ต.อ.นิทัศน์ เผยหลังสอบปากคำว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาขับขี่รถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและสาหัส ขณะที่ผู้ต้องหายังคงให้การภาคเสธ
ด้านนายวิทยา คุณปลื้ม ประธานสโมสรชลบุรี เอฟซี ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 หลังจากสโมสรชลบุรี เอฟซี ออกแถลงการณ์ฉบับแรกไปก่อนหน้า กรณีวรวุฒิ สุขุนา เมาแล้วขับรถชน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต โดยระบุว่า หลังจากมีการหารือเพิ่มเติมกันของทีมผู้บริหาร และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับข้อมูลหลักฐานที่มีการนำมาพิจารณาเสริม จึงมีข้อสรุปเพิ่มเติมจากแถลงการณ์ฉบับแรก
จากผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ที่มีการตั้งข้อหานายวรวุฒิ สุขุนา ว่า “ขับขี่รถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บสาหัส” และจากพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ถึงแม้จะมีการขอประกันตัวเพื่อไปให้การกับทนายและในชั้นศาล
จากที่สโมสรได้แถลงบทลงโทษในฉบับแรกไปว่า “จะไม่ส่งนายวรวุฒิ สุขุนา ลงสนามในการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก จนกว่าคดีจะสิ้นสุดและได้รับโทษตามกฎหมาย” จึงมีการพิจราณาบทลงโทษใหม่ โดยมีมติจาก สโมสรชลบุรี เอฟซี จะทำการ “ยกเลิกสัญญา” ซึ่งมีผลทันที
และการออกมาแสดงความรับผิดชอบของผู้จัดการทีม นายศศิศ สิงห์โตทอง ผ่านคลิปวีดีโอ ที่ขอยุติบทบาท ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชลบุรี เอฟซี ทางผู้บริหารสโมสรเคารพการตัดสินใจ และมีมติอนุมัติให้มีผลตามประสงค์ของเจ้าตัวเช่นกัน
ทั้งนี้ นายวิทยาได้เดินทางไปเยียวยาช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต รวมทั้งผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับของนายวรวุฒิ พร้อมเผยว่า ในพิธีฌาปนกิจผู้เสียชีวิตวันเสาร์ที่ 29 ต.ค. นายวรวุฒิ สุขุนา จะเข้าพิธีบรรพชาสามเณร (บวชหน้าไฟ) เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิต ก่อนจะมีการส่งตัวเข้าสู่กระบวนการและขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
ส่วนกรณีที่ปรากฎทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของนายเฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว นักฟุตบอลทีมชลบุรี เอฟซี ที่เดินทางไปในที่เกิดเหตุ ก่อนแสดงกิริยาท่าทางและวาจาไม่เหมาะสมต่อเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานนั้น แม้จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม จะพบว่าเป็นการเข้าใจผิดกัน แต่เฉลิมพงษ์ ถือเป็นนักกีฬาฟุตบอลที่มีชื่อเสียง และเคยติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ อีกทั้งภายในสโมสรชลบุรี เอฟซี ได้รับมอบหมายให้ลงเล่นเป็นผู้เล่นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์ดังกล่าวจึงทำลายภาพลักษณ์ทั้งสโมสรชลบุรี เอฟซี, สโมสรฟุตบอลทีมอื่นๆ, นักกีฬาฟุตบอลอาชีพด้วยกัน รวมไปถึงวงการฟุตบอลภายในประเทศ ดังนั้นสโมสรชลบุรี เอฟซี ได้พิจารณาบทลงโทษ
โดยสโมสรจะไม่ส่งลงสนาม ทั้งการแข่งขัน รีโว่ ไทยลีก 2022/23 และการแข่งขันฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ ช้าง เอฟเอคัพ 2022/23 จำนวน 2 นัด โดยมีผลทันทีตั้งแต่ในเกมการแข่งขันไทยลีก ที่จะพบกับ สุโขทัย เอฟซี ที่สนามชลบุรี ยูทีเอ สเตเดี้ยม ในวันที่ 29 ต.ค. และการแข่งขัน ช้าง เอฟเอคัพ รอบ 64 ทีมสุดท้ายที่ชลบุรี เอฟซีจะเดินทางไปเยือนทีม นครปฐม ยูไนเต็ด ในวันที่ 2 พ.ย. รวมทั้งสิ้น 2 นัด นอกจากนี้ยังลงโทษปรับเงิน 100,000 บาท
5. "ศรีสุวรรณ" ยื่น กกต.สอบสัญชาตินายทุนจีนบริจาคให้ พปชร. 3 ล้าน หากยังถือสัญชาติจีน ความผิดถึงขั้นยุบพรรค!
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รับเงินบริจาค 3 ล้านบาท จากนายทุนชาวจีน ซึ่งเป็นเจ้าของสถานบันเทิงชื่อดังย่านยานนาวา
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกทลายสถานบันเทิงชื่อดังย่านยานนาวา และมีการพาดพิงถึงนักธุรกิจชาวจีนมากมาย นอกจากนี้ ได้มีการยืนยันจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ว่า พรรค พปชร.ได้รับเงินบริจาคจากนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งเป็นเจ้าของสถานบันเทิงดังกล่าวจำนวน 3 ล้านบาท เมื่อปี 2564 จึงเป็นข้อสงสัยว่า นักธุรกิจชาวจีนเคยมีสัญชาติจีน และได้มีการแปลงสัญชาติมาเป็นสัญชาติไทยแล้วเมื่อปี 2557 มีบัตรประชาชนเป็นคนไทย
แต่เนื่องจากบุคคลดังกล่าวเป็นนักธุรกิจที่ประกอบกิจการหลากหลาย มีบริษัทในเครือนับสิบบริษัท จึงเป็นข้อสังเกตว่า การแปลงสัญชาติมาเป็นคนไทย เขาได้สละสัญชาติจีนด้วยหรือไม่ หรือว่ามีการถือสองสัญชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 44 ที่ระบุว่า ห้ามพรรคการเมืองรับเงินรับทองหรือรับประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่ให้การสนับสนุนการทำลายความมั่นคงการทำลายเศรษฐกิจของชาติ และการทำลายระบบราชการของชาติ มาตรา 72 ระบุว่า ห้ามพรรคการเมืองไปรับเงินหรือทรัพย์สินประโยชน์อื่นใดโดยรู้ หรือควรรู้ว่าแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมาตรา 74 ระบุว่า ห้ามพรรคการเมืองรับเงินจากบุคคลที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย
นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า “เรื่องเหล่านี้เกี่ยวพันกับตัวบุคคลที่แปลงสัญชาติหรือโอนสัญชาติมาเป็นสัญชาติไทยแล้ว ซึ่งไม่ทราบว่าบุคคลนั้นได้ถือสองสัญชาติอยู่หรือไม่ และการที่ตำรวจได้ไปทลายสถานบันเทิงดังย่านยานาวา โดยเป็นผับที่ไม่ได้ขออนุญาตตามกฎหมาย มีการเสพยาเสพติด อาจจะเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดต่อศีลธรรมอันดีและจารีตของประเทศ รวมถึงความมั่นคง เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวก็เป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ จึงจำเป็นที่ กกต.จะต้องดำเนินการตรวจสอบเชิงลึก และวินิจฉัยว่า บุคคลดังกล่าวถือ 2 สัญชาติจริงหรือไม่ และเกี่ยวพันไปถึงธุรกิจทั้งหมดนับสิบบริษัท มีนอมินีเข้าไปถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เพราะถ้าเกินกว่ากฎหมายกำหนดก็จะถือว่าเป็นบริษัทของคนต่างด้าว เป็นข้อห้ามในกฎหมายพรรคการเมืองเช่นกัน โดยหากพบว่ามีความผิด ก็จะเข้าข่ายตามมาตรา 92(3) เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้”
เมื่อถามว่า นายสมศักดิ์ ออกมายืนยันว่า เงินที่ได้รับบริจาคถูกต้องถามกฎหมาย นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หากยืนยันว่า บุคคลดังกล่าวแปลงสัญชาติมาเป็นสัญชาติไทย และไม่ได้ถือสองสัญชาติก็มีสิทธิที่จะสนับสนุนให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งในประเทศไทยได้ แต่ต้องไม่เกิน 10 ล้านบาท ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดไว้
เมื่อถามว่า กกต.จะต้องมีการตรวจสอบไปถึงพรรคการเมืองอื่นด้วยหรือไม่ กรณีการรับเงินบริจาคในลักษณะเดียวกันนี้ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ถ้าก้าวไปถึงพรรคการเมืองไหน แล้วเชื่อมโยงไปถึงพรรคการเมืองไหนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ส่วนตัวคิดว่าเป็นอำนาจของ กกต. และนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อสร้างความโปร่งใสในการจัดการเลือกตั้งในอนาคต รวมถึงการควบคุมพรรคการเมืองในประเทศด้วย
ด้านนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จำนวน 3 ล้านบาท เมื่อปี 2564 และมีกระแสข่าวว่า มีความเชื่อมโยงกับผับชาวจีนย่านยานนาวา กล่าวถึงกรณีที่สื่อบางฉบับได้นำเสนอข่าวสารผ่านสื่อสาธารณะและระบบคอมพิวเตอร์ กล่าวหาว่าตนเป็นเจ้าของ และผู้ดำเนินกิจการที่อาคารจินหลิง ซึ่งเจ้าพนักงานได้เข้าตรวจค้น พบยาเสพติดและกล่าวหาว่าตนเป็นมาเฟีย เป็นผู้มีอิทธิพลในลักษณะเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ตน โดยตนขอยืนยันว่า การรายงานข่าวทั้งหมดเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง ตนเป็นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวโดยสุจริตมานานแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับการกระทำตามรายงานข่าวแน่นอน
นายชัยณัฐร์ เผยด้วยว่า "สถานที่ประกอบการดังกล่าว เป็นของสมาคมไหหนำ และให้เช่าแก่ผู้อื่น ซึ่งทราบว่าผู้เช่าได้นำสถานที่ดังกล่าวให้เช่าช่วงแก่ผู้อื่นไปตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2564 และผู้เช่าช่วงซึ่งเป็นผู้ประกอบการในสถานที่ดังกล่าว ได้ต่อสัญญาครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 เป็นเวลา 3 ปี โดยที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ และทราบว่าผู้เช่าช่วงก็มีตัวตนเป็นหลักแหล่ง"
นายชัยณัฐร์ กล่าวด้วยว่า การนำเสนอข่าวดังกล่าว เป็นการหมิ่นประมาทตน เป็นความผิดทางอาญา และต้องรับผิดทางแพ่งด้วย ดังนั้นตนจึงจำเป็นต้องปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โดยจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง