xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 16-22 ต.ค.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.“โตโน่” ฝ่ากระแสดรามาว่ายน้ำข้ามโขง ลุล่วงด้วยดี ยอดบริจาคร่วมบุญพุ่งไม่หยุด ทะลุ 58 ล้านแล้ว!

แม้จะเจอมรสุมดรามาถาโถมมากมายตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับกิจกรรมว่ายน้ำข้ามโขงในโครงการ “One Man And The River หนึ่งคนว่าย หลายคนให้” ระยะทางกว่า 15 กิโลเมตร เพื่อระดมเงินซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนครพนมและโรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาว แต่ “โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” นักร้อง-นักแสดงชื่อดัง ก็ไม่ถอดใจ เดินหน้ากิจกรรมว่ายน้ำข้ามโขง ที่กำหนดมีขึ้นในวันนี้ 22 ต.ค. ไม่เปลี่ยนแปลง โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก มีผู้รอให้กำลังใจล้นหลามทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาว

โดยกิจกรรมเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า ที่มีการทำพิธีเอาฤกษ์เอาชัยก่อนปฏิบัติภารกิจของโตโน่ ที่ลานพญาศรีสัตตนาคราช จ.นครพนม พร้อมมีการรำถวายพญาศรีสัตตนาคราช นำทีมโดย “ณิชา ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์” พร้อมด้วยเพื่อนดาราร่วมรำถวาย หลังจากนั้น โตโน่ ได้ลงน้ำเริ่มการว่ายน้ำออกจากบริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช ในเวลา 10.09 น.

ทั้งนี้ ก่อนลงว่ายน้ำข้ามโขง โตโน่ ได้เปิดใจสั้นๆ ว่า "วันนี้รู้สึกดีใจ มีความสุขและภาคภูมิใจมาก ที่ได้มาจัดกิจกรรมว่ายน้ำเพื่อการกุศล ช่วยเหลือโรงพยาบาลนครพนม กับโรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาว มันทำให้ผมได้รู้จักคำว่าเสียสละ รู้จักคำว่าการให้ รู้จักความรักสามัคคีระหว่างชาวไทย ชาวลาว ที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคม เป็นการสานสัมพันธ์ไมตรีแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ผมจะจดจำวันนี้ไปตลอด และขอขอบพระคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนครับ”

กระทั่งเวลา 12.09 น. โตโน่ ได้ว่ายขึ้นฝั่ง สปป.ลาว ที่วัดพระธาตุศรีโคดตะบอง แขวงคำม่วน หลังจากนั้นโตโน่ได้ไหว้พระธาตุศรีโคดตะบอง ทักทายพี่น้องชาวลาว โดยทางแขวงคำม่วนได้จัดงานต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่โตโน่

ระหว่างเดินทางไปพบทีมแพทย์ ที่โรงพยาบาลแขวงคำม่วน โตโน่ ได้กล่าวทักทายทุกคนอย่างตื้นตันด้วยว่า “สบายดีเด้อ คนไทยฮักคนลาวเด้อ ฮักกันไปนานๆ เด้อ เต็มใจมาเด้อ มีความสุขหลาย ให้คนไทย-คนลาวทุกคนเป็นกำลังใจให้คุณหมอเด้อ“ จากนั้นได้พักร่างกาย 2-3 ชั่วโมงก่อนว่ายกลับฝั่งไทย

โดยโตโน่เริ่มว่ายน้ำเพื่อกลับฝั่งไทยในเวลา 16.08 น. โดยว่ายออกจากหาดบ้านนาเมือง แขวงคำม่วน และมาขึ้นฝั่งที่ลานพญาศรีสัตตนาคราช จ.นครพนม ในเวลา 16.55 น. ท่ามกลางประชาชนรอให้กำลังใจจำนวนมาก

ต่อมา เวลาประมาณ 17.20 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ขึ้นเวทีบริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช กล่าวขอบคุณโตโน่และทีมงาน สำหรับกิจกรรมว่ายน้ำข้ามโขงครั้งนี้ ที่สำเร็จลุล่วงด้วยดี

ด้านโตโน่ได้ขึ้นเวทีเปิดใจพร้อมกับทีมงานที่ว่ายไปพร้อมกับตนในภารกิจนี้ว่า “ขอบคุณทุกหน่วยงาน ผู้ใหญ่ทุกคนที่ช่วยกัน ขอบคุณคนไทยทุกคน ผมว่าทุกเรื่องนะ ทุกเรื่องเลย ถ้าเกิดว่าเรารักกัน เราสามัคคีกัน เราช่วยเหลือกัน และที่สำคัญคือ เราช่วยกันลงมือทำ ใครทำอะไรได้ก็ลงไปช่วยตรงนั้น ผมว่าบ้านเราจะสวยงามครับ ฝากด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนลาว ขอให้รักกันแบบนี้ไปนานๆ ให้สมกับที่เรามีประเพณี เรามีความเชื่อ ตามความรักความเชื่อที่เราศรัทธากันมา แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่สำคัญ ถ้าเราช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม ดูแลตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ทะเลก็มีโอกาส ทะเลก็มีความหวัง

"ผมว่าทีมเราเป็นทีมที่ดีครับ เรารักและเราสามัคคีกัน เราทั้งหมดนี้ไม่ได้คิดเหมือนกันนะครับ ไม่ได้ชอบเหมือนกัน แต่เรามีเป้าหมายเดียวกัน ดังนั้น ความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะทำให้ประเทศไทย ประเทศลาวเป็นอีกที่ที่น่าอยู่ที่สุดในโลกครับ ขอบคุณทุกคนที่ทำให้วันนี้เกิดขึ้น อยากขอบคุณคนไทยทุกคน ขอบคุณคนลาวทุกคน วันนี้ไม่ใช่ผมนะครับที่ทำสำเร็จ พวกเราทำสำเร็จครับ”

ขณะที่ยอดเงินบริจาคร่วมบุญในครั้งนี้ ก็พุ่งไม่หยุด โดย ณ เวลา 18.30 น. (22 ต.ค.) พุ่งทะลุ 58 ล้านบาทไปแล้ว ซึ่งเดิมตั้งเป้ายอดบริจาคไว้ที่ 17 ล้านบาท สำหรับผู้สนใจยังสามารถบริจาคร่วมบุญกิจกรรมดังกล่าวได้จนถึงวันที่ 31 ต.ค.นี้ โดยโอนไปที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชื่อบัญชี มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมป์ (โครงการเทใจ) เลขบัญชี 034-0-04773-2

2."ศรีสุวรรณ" แจ้งจับ "ลุงศักดิ์" มือชกขณะให้สัมภาษณ์นักข่าวแล้ว ชี้พฤติกรรมย้อนแย้ง เป็นกลุ่ม ปชต. แต่ทำร้ายคนอื่น!


เมื่อวันที่ 18 ต.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางเข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อเอาผิดโน้ส อุดม แต้พานิช จากกรณีทอล์กโชว์เดี่ยวไมโครโฟน-13 ซึ่งมีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการใช้ถ้อยคำบางคำพูดอาจมีลักษณะส่งเสริมให้บุคคลร่วมชุมนุมสาธารณะที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจขัดต่อความมั่นคงของรัฐหรือละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2560 หรือไม่

โดยนายศรีสุวรรณ ได้ยกตัวอย่างคำพูดในการโชว์เดี่ยวฯ-13 ว่า ได้แก่ “วันนี้รถติดเยอะหน่อย มีม็อบไล่คนที่เราอยากจะไล่เขา ก็ให้อภัยเขาไปนะครับ ถือว่าเขาทำงานแทนเรา” ซึ่งจะสื่อความหมายไปอย่างอื่นมิได้ นอกเสียจากการพูดเพื่อที่จะสื่อหรือโฆษณาให้ผู้ฟัง หรือผู้ชม ได้เข้าใจตรงกันว่า มีเจตนาหรือจงใจที่จะให้ทุกคนที่รับฟังและรับชมให้อภัยกลุ่มผู้ที่ออกมาชุมนุมสาธารณะที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา “ทำงานแทนเรา” นั่นเอง ซึ่งการชุมนุมเหล่านั้นล้วนผิดกฎหมาย ฝ่าฝืนข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และมีการสอดไส้การชุมนุมเป็นเรื่องการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ มิใช่การชุมนุมเพื่อขับไล่ผู้นำรัฐบาลแต่อย่างใด

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ทางสมาคมฯ จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมาแจ้งต่อ บก.ปอท.ให้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบสอบสวนกรณีดังกล่าวว่า เข้าข่ายความผิดอาญาต่อแผ่นดินหรือไม่ หากพบว่า เป็นความผิด ให้ดำเนินการตามครรลองของกฎหมายต่อไป

นายศรีสุวรรณ ยืนยันด้วยว่า ที่มาร้องครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับรัฐบาล และว่า ที่ผ่านมา ถ้ารัฐบาลทำไม่ถูกต้อง ก็ร้องมาอยู่แล้วตลอด ส่วนโน้ส อุดม เขาก็เคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมาทุกยุคสมัยอยู่แล้ว แต่บางคำพูดที่เป็นการยุยงส่งเสริมม็อบ ตนไม่เห็นด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่นายศรีสุวรรณกำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอยู่ นายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือลุงศักดิ์ อายุ 62 ปี เจ้าของช่องยูทูบ ศักดินาเสื้อแดง ต่อต้านเผด็จการ และผู้ชุมนุมคณะราษฎร ซึ่งยืนฟังนายศรีสุวรรณอยู่ ได้ถามนายศรีสุวรรณว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปมนายกฯ 8 ปี นายศรีสุวรรณบอกจะดำเนินคดีคนที่ออกมาชุมนุม โดยทันทีที่นายวีรวิชญ์พูดจบ ได้ปรี่เข้าชกนายศรีสุวรรณ หลังจากนั้นยังคงไล่ต่อยและเตะนายศรีสุวรรณ ท่ามกลางนักข่าวจำนวนมากที่ตกใจและพยายามเก็บภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระทั่งมีชายคนหนึ่งเข้าล็อกคอนายวีรวิชญ์เพื่อให้หยุดการทำร้ายนายศรีสุวรรณ แต่ระหว่างที่ทั้งสองต่างล็อกคอกันและยื้อยุดกันอยู่นั้น ได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งมากับนายวีรวิชญ์ได้เข้ามาดึงผมชายที่ยื้อยุดนายวีรวิชญ์ ก่อนที่ภายหลังสถานการณ์จะคลี่คลายลง และมีตำรวจเข้ามายังจุดเกิดเหตุ

หลังเกิดเหตุ นายวีรวิชญ์ เผยว่า ตนคาใจ เพราะหลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปม 8 ปี นายกฯ นายศรีสุวรรณออกมาประกาศว่า ใครชุมนุมจะแจ้งความจับทั้งหมด ซึ่งตนเป็นคนหนึ่งที่ชุมนุม วันนี้ตั้งใจมาตบเพื่อสั่งสอน ซึ่งมีตำรวจที่รู้จักฝากมาตบด้วย กราบขอโทษตำรวจ บก.ป.ที่มาทำแบบนี้ เพราะไม่มีโอกาสเลย เฝ้าและแอบดูว่านายศรีสุวรรณจะไปร้องอะไรบ้าง อยากให้เห็นว่า คำว่าประชาธิปไตย ทุกคนต้องยอมรับความเห็นต่าง ประเทศนี้เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ถ้าถูกดำเนินคดี พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นายวีรวิชญ์ เผยด้วยว่า ก่อนหน้านี้ ตนก็เคยตบหัวนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้ อีสาน ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว

ด้านนายศรีสุวรรณ หลังถูกนายวีรวิชญ์ทำร้าย ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบ ให้ดำเนินคดีนายวีรวิชญ์ ข้อหาทำร้ายร่างกาย ขณะที่นายวีรวิชญ์ หลังก่อเหตุ ได้ขี่รถจักรยานยนต์เดินทางกลับพร้อมกับผู้หญิงอีกคนที่มาด้วยกัน

ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงเหตุการณ์ถูกทำร้ายว่า มีอาการบาดเจ็บที่ใบหน้าจากการถูกต่อย โดยเฉพาะที่ปลายคาง ถามว่าเจ็บไหม ก็ไม่เจ็บอะไรมากเท่ากับเจ็บใจ ยืนยันไม่รู้จักกับคู่กรณี ไม่เคยมีปัญหาขัดแย้ง หรือบาดหมางกันมาก่อน และว่า จากพฤติการณ์เห็นชัดว่า ตั้งใจมาทำร้าย มีการเตรียมตัววางแผนมาเป็นอย่างดี มีทีมมาไลฟ์สด หลังเกิดเหตุมีคนส่งลิงก์มาให้ดู เลยรู้ว่าหลังก่อเหตุเสร็จก็ไปไลฟ์สด ประกาศรับเงินสนับสนุนซึ่งค่อนข้างชัดเจน “พวกเขาบอกว่าเป็นกลุ่มประชาธิปไตย แต่กลับไปทำร้ายร่างกายคนอื่น การกระทำเช่นนี้มันช่างย้อนแย้ง...”

เป็นที่น่าสังเกตว่า ชาวเน็ตได้ขุดการปราศรัยของนายวีรวิชญ์ ผู้ชุมนุมคณะราษฎร และอดีตผู้ชุมนุมเสื้อแดงปี 53 เคยกล่าวปราศรัยบนรถกระบะ ที่บริเวณหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2563 ซึ่งเฟซบุ๊กประชาไท ได้บันทึกไว้ ระบุว่า “คำว่าประชาธิปไตย คือต้องให้เกียรติความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน คำว่าประชาธิปไตย มันต้องยอมรับความเห็นต่างกัน เราต้องเจรจาพูดคุยกัน” แต่พฤติกรรมของนายวีรวิชญ์ กลับตรงข้ามกับที่ตนเองได้เคยปราศรัย

มีรายงานว่า หลังก่อเหตุทำร้ายนายศรีสุวรรณแล้ว นายวีรวิชญ์ได้มีการไลฟ์สดอย่างต่อเนื่องผ่านช่องยูทูบของตนเอง โดยมีประชาชนที่อุดมการณ์เดียวกันให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก รวมทั้งโอนเงินช่วยหากถูกดำเนินคดี ซึ่งภายหลังมีรายงานว่า ยอดบริจาคสูงถึง 6.5 ล้านบาท แต่เจ้าตัวอ้างว่า ตัวเลขดังกล่าวไม่จริง นอกจากนี้นายวีรวิชญ์ยังเผยว่า เตรียมไปออกรายการ โหนกระแสในวันที่ 19 ต.ค.ด้วย

อย่างไรก็ตาม ตำรวจกองปราบฯ ได้นำกำลังเข้าจับกุมตัวนายวีรวิชญ์ที่บริเวณลานจอดรถอาคารมาลีนนท์เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ขณะที่เจ้าตัวเดินทางมาเพื่อออกรายการโหนกระแส โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า เป็นการจับกุมตามหมายจับค้างเก่าคดีที่นายวีรวิชญ์ทำร้ายร่างกายนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของศาลแขวงดุสิต ปี 2564 โดยหลังจับกุม ได้นำตัวส่ง สน.ดุสิต เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา ยืนยัน ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งผู้ต้องหาแต่อย่างใด หลังรับทราบข้อกล่าวหา นายวีรวิชญ์ได้ประกันตัวในวงเงิน 4 หมื่นบาท

มีรายงานว่า นอกจากหมายจับคดีดังกล่าวแล้ว นายวีรวิชญ์ยังมีหมายจับคดีหมิ่นประมาทกรณีปราศรัยโจมตีนายเสกสกลขณะร่วม ครม.สัญจรที่ จ.กระบี่ และ จ.ตรัง เมื่อเดือน พ.ย.2564 ด้วย โดยมีการออกหมายจับเมื่อเดือน ม.ค.2565

เป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีนายวีรวิชญ์ทำร้ายร่างกายนายศรีสุวรรณ ได้เกิดปฏิกิริยาทั้งคนเชียร์และคนตำหนิ ขณะที่หลายคนพยายามดึงสติสังคมว่า ไม่ควรสนับสนุนการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาหรือใช้ความรุนแรงในการทำร้ายคนที่เห็นต่าง

โดยแทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม ระบุว่า “5555555 ชอบว่ะพี่ศรีทนได้เจอซะบ้าง ขวา ซ้าย เตะ ขวา เป็นมวยชัดๆ ๆๆ ทำดูแล้ว อยากซ้อมมวยเลย” ขณะที่ อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นักแสดง ระบุว่า “พี่ศรีโดนต่อย!!! เป็นไงบ้างคะ เจ็บมือมั้ยคะพี่ คนเกลียดพี่มั้ย...ไม่รู้ แต่...คนรักพี่เพิ่มขึ้นแน่นอน พี่ขวาพิฆาต”

ด้านแพรรี่-ไพรวัลย์ วรรณบุตร ระบุว่า “ถึงดิฉันจะไม่ชอบลุงศรีแค่ไหน โดนร้องมาหลายครั้งตอนเป็นพระ แต่ดิฉันไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงนะคะ ถ้าจะชกกัน ควรอยู่บนเวทีมวยเท่านั้นค่ะ”

ขณะที่เฟซบุ๊ก "ปารีณา ไกรคุปต์" อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวเช่นกัน โดยระบุว่า "...สมัยเป็น ส.ส. เคยถูกพี่ศรีร้องเรื่องที่ดินพ่อให้มา จนหลุดออกจาก ส.ส. แต่ไม่เคยรู้สึกโกรธเกลียดพี่ศรี ...ปารีณาขอต่อต้านการใช้ความรุนแรง และถ้าคุณไม่ชอบใคร คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปตบตีเขา ไม่ว่าจะเป็นคนในบ้านหรือนอกบ้าน #ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง #แบบอย่างที่ไม่ดีของสังคม ฝากกรณีนี้กับผู้บังคับใช้กฎหมาย เพราะเป็นการกระทำผิดซ้ำ อุกอาจ เจตนา จงใจเข้าไปทำร้ายร่างกายกัน ขณะมีสื่อมวลชนจำนวนมากกำลังทำข่าวอยู่ ควรมีโทษจำคุก ไม่งั้นต่อไปประชาชนไม่ปลอดภัย สุดท้ายจะกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เอาคืนกันไปมา"

3. ศาลพิพากษาจำคุกอดีต ผอ.โรงเรียนฯ โกงค่าอาหารกลางวันเด็ก 192 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา เหตุทำผิดต่อเนื่อง-พฤติการณ์ร้ายแรง!



เมื่อวันที่ 21 ต.ค. มีรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ถนนมะขามชุม จ.นครศรีธรรมราช ได้อ่านคำพิพาทษาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมเชาว์ สิทธิเชนทร์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าใหม่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 เเละอื่นๆ กรณีเคยปรากฎเป็นข่าวจัดอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลด้วยการให้กินเส้นขนมจีนกับน้ำปลา

โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 162(1) (4) (เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 121/1

ทั้งนี้ การกระทำความผิดของจำเลย เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และการกระทำของจำเลยในแต่ละครั้งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จึงให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 77 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 385 ปี

แต่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 192 ปี 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 50 ปี
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)

เมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามฟ้องและพยานหลักฐานโจทก์ตามทางไต่สวนแล้ว ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยในแต่ละกระทงความผิด แม้คิดคำนวณได้เป็นตัวเงินไม่มากนัก แต่จำเลยได้กระทำผิดมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทั้งจำเลยเป็นผู้บริหารโรงเรียนแต่กลับอาศัยอำนาจหน้าที่เบียดบังเอาผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ทำให้เด็กนักเรียนในปกครองไม่ได้รับอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ และจำนวนที่เพียงพอต่อการพัฒนาการทางร่างกายและย่อมส่งผลเสียในระยะยาว พฤติการณ์แห่งคดีจึงร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

อนึ่ง สำหรับประมวลกฎหมายมาตรา 151 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1 แสนบาท ถึง 4 แสนบาท

4. รวบแล้ว "ด.ต." ขโมยปืนหลวง 159 กระบอก ด้าน ผบช.ภ.1 สั่งเด้ง ผกก.สภ.ปากเกร็ด-ลูกน้องรวม 3 นาย พร้อมตั้ง คกก.สอบข้อเท็จจริง!



เมื่อวันที่ 20 ต.ค. มีรายงานว่า ที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีอาวุธปืนของหลวงหายไปจากคลังที่เก็บ เบิก-จ่ายนับร้อยกระบอก ซึ่งเตรียมเอาไว้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกปฎิบัติหน้าที่และประจำการที่สถานีตำรวจกว่า 200 นาย

ร้อนถึง พ.ต.อ.พงศ์จักร ปรีชาการุณพงศ์ ผกก.สภ.ปากเกร็ด ต้องเรียกประชุมด่วนหัวหน้างานรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง ว่ามีอาวุธปืนหายออกไปจากคลังเก็บประจำสถานีจริงหรือไม่ หายไปมากน้อยเท่าใด มีอาวุธปืนชนิดใดหายไปบ้าง

ซึ่งต่อมา ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด ได้ขอศาลจังหวัดนนทบุรีออกหมายจับ ด.ต.เชาวลิต พุ่มขจร เจ้าหน้าที่ธุรการ สภ.ปากเกร็ด ผู้ต้องหากระทำความผิดลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ กรณีถูกกล่าวหาขโมยปืนหลวงเกือบ 100 กระบอก ซึ่ง ด.ต.เชาวลิตอยู่ระหว่างหลบหนี ด้านศาลอนุมัติหมายจับ

วันเดียวกัน (20 ต.ค.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เผยว่า สามารถควบคุมตัว ด.ต.เชาวลิต ได้แล้วที่ จ.หนองคาย อยู่ระหว่างนำตัวมาสอบสวน ส่วนรายละเอียดต่างๆ ทราบเพียงว่า ด.ต.เชาวลิต เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ มีการลักลอบขโมยอาวุธปืนของทางราชการไปจำนำ หลังทราบเรื่องในระดับโรงพัก มีการพยายามติดตามอาวุธปืนที่หายไปคืนมา โดยไม่ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และว่า หลังจากนี้ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 จะมีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.พงศ์จักร ปรีชาการุณพงศ์ ผกก.สภ.ปากเกร็ด มาปฏิบัติราชการที่ ศปก.ภ.1 เพื่อเปิดทางให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริง

ด้าน พล.ต.ท.จิรพัฒน์ กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ รับผิดชอบถือกุญแจคลังอาวุธ ซึ่งต้องมีการรายงานจำนวนอาวุธในคลังให้ผู้บังคับบัญชาทราบทุกวันที่ 5 ของเดือน โดยครั้งล่าสุด มีการรายงานปกติ แต่ถูก พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ตรวจพบ จึงไล่ตรวจสอบและทราบว่า คนร้าย คือ ด.ต.เชาวลิต ต่อมา จึงได้ขอศาลนุมัติหมายจับ และจับกุมตัวได้ในที่สุด

พล.ต.ท.จิรพัฒน์ กล่าวว่า "ลักษณะการก่อเหตุ คือ มีการทยอยเอาออกไป แล้วนำไปจำนำกับเจ้านั้นเจ้านี้รายละ 3-5 กระบอก ได้เงินมาก็เอาไปใช้ หลังจากนี้จะไปเค้นสอบในรายละเอียดว่า เริ่มทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เบื้องต้นเขามีหน้าที่ถือกุญแจคลังอาวุธ ตอนนี้ได้สั่งให้ ภ.จว.นนทบุรี ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด หากพบว่าใครบกพร่องอย่างไรก็ต้องถูกลงโทษทั้งหมด ส่วนมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุคงต้องรอการสอบสวนต่อไป"

ผบช.ภ.1 เผยด้วยว่า ด.ต.เชาวลิต เป็นคนโสด เริ่มบรรจุรับราชการเมื่อปี 2547 โดยประจำที่ สภ.ปากเกร็ด มาโดยตลอด และว่า เมื่อปี 2564 ทาง สภ.ปากเกร็ด ได้อาวุธปืนล็อตใหม่เป็นอาวุธปืนประเภทกึ่งอัตโนมัติยี่ห้อกล๊อกและซิกซาวเออร์ ทำให้อาวุธปืนในคลังมีอยู่กว่า 200 กระบอก หากตำรวจฝ่ายสืบ ตำรวจจราจร ที่มีภารกิจจำเป็นต้องใช้ก็มาเบิกเอาไป เสร็จภารกิจก็นำมาคืน ซึ่งระบบควบคุมอาวุธปืนของเราก็เป็นแบบนี้ อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ระบบมีความหละหลวม หลังจากนี้อาจมีมาตรการเพิ่มเติมในการถือกุญแจคู่กัน หากมีการเบิกจ่ายก็ต้องใช้กุญแจ 2 ดอก เหมือนกับตู้เซฟของธนาคาร

วันต่อมา (21 ต.ค.) พนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด ได้คุมตัว ด.ต.เชาวลิต ไปขอศาลศาลทุจริตฯ ภาค 1 จังหวัดสระบุรี ฝากขังผัดแรก ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างคุมตัวขึ้นรถ ด.ต.เชาวลิตไม่ตอบคำถามใดๆ กับนักข่าว และมีสีหน้าเคร่งเครียด

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ด.ต.เชาวลิต ให้การว่า ปืนที่ขโมยไปเกือบทั้งหมด นำไปจำนำในพื้นที่ กทม. และนนทบุรี ไม่ได้นำไปขาย เนื่องจากเป็นปืนสำหรับให้ตำรวจใหม่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจ แบบใช้แล้วคืนเป็นรายวัน ซึ่งเงินที่ได้ นำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนเรื่องการพนัน ด.ต.เชาวลิต รับสารภาพว่า เล่นจริง แต่ไม่ได้เสพติด และจำไม่ได้นำปืนออกไปทั้งหมดกี่กระบอก

ทั้งนี้ ด.ต.เชาวลิต ถูกแจ้งข้อหาความผิดตามมาตรา 147 เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนฯ, ความผิดตามมาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ, ปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ รวมทั้งหมด 4 ข้อกล่าวหา

วันเดียวกัน (21 ต.ค.) พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 เผยความคืบหน้าการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อติดตามอาวุธปืนที่ถูก ด.ต.เชาวลิต ขโมยออกจากคลังอาวุธ สภ.ปากเกร็ด รวม 159 กระบอก จากการสอบสวนขยายผลผู้ต้องหาและผู้ครอบครองอาวุธปืนดังกล่าวทราบว่า ปืนส่วนใหญ่กระจายไปอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ในภาคกลาง แต่ก็มีบางกระบอกไปอยู่ถึงใน จ.อุบลราชธานี นครสวรรค์ และจันทบุรี โดยผู้ที่ได้ไปมือแรกจะเป็นกลุ่มผู้ลักลอบเปิดบ่อนการพนันและรับจำนำปืนไว้ ก่อนมีการขายส่งต่อไปให้ผู้อื่น ซึ่งส่วนใหญ่ตอนนี้พบว่า ปืนอยู่กับผู้ครอบครองช่วงที่ 3 แล้ว

สำหรับผู้รับจำนำปืนไปนั้น ย่อมมีความผิดฐานรับของโจรอย่างแน่นอน โดยบุคคลที่ได้อาวุธปืนไป ตอนนี้พิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ร้อยละ 90 แล้ว จากนี้คาดว่าจะต้องมีการเข้าตรวจค้นเป้าหมายเพิ่มเติมอีกแน่นอน

ส่วนปืนในกระเป๋าเดินทางที่มีคนนำมาทิ้งไว้บนสนามหญ้าหน้าสโมสรตำรวจเมื่อคืนวันที่ 20 ต.ค. 25 กระบอก ได้ส่งให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแล้ว ส่วนการสอบสวนผู้ต้องหา ให้การเป็นประโยชน์และรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนจะมีผู้ก่อเหตุด้วยหรือไม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง

ด้าน พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี เผยว่า ตำรวจได้อาวุธปืนกลับมาแล้วประมาณ 50 กว่ากระบอก แต่ยังต้องติดตามในส่วนที่เหลือ โดยสภาพปืนยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเสียหาย

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ ด.ต.เชาวลิต ขโมยปืนราชการ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 ได้เซ็นคำสั่งย้ายตำรวจ 3 นาย ให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 1 (ศปก.ภ.1) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย พ.ต.อ.พงศ์จักร ปรีชาการุณพงศ์ ผกก.สภ.ปากเกร็ด, พ.ต.ท.สุเนตร์ สีชำนาญ รอง ผกก.ป.สภ.ปากเกร็ด และ พ.ต.ท.พรรษา จิวรรักษ์ สว.อก.สภ.ปากเกร็ด พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

5. กสทช.เสียงข้างมากมีมติ 3 ต่อ 2 ไฟเขียวควบรวม "ทรู-ดีแทค" แบบมีเงื่อนไข ขณะที่เสียงข้างน้อยค้าน หวั่นกระทบผู้บริโภค!



เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ประชุม กสทช. ได้พิจารณาการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยเห็นว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อสาธารณะ คณะกรรมการ กสทช.ทุกคนจึงได้ใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลทุกด้านอย่างละเอียดรอบคอบ โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 11 ชั่วโมง ก่อนมีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 รับทราบการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรูฯ กับดีแท็ค แบบมีเงื่อนไข ส่วนเสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็น ไม่อนุญาตการรวมธุรกิจ

ทั้งนี้ เสียงข้างมากมีมติว่า การรวมธุรกิจดังกล่าวไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 (ประกาศฉบับปี 2549) โดยนัยของผลตามข้อ 9 ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม (ประกาศฉบับปี 2561) และให้พิจารณาดำเนินการตามประกาศฉบับปี 2561 โดยรับทราบการรวมธุรกิจ และเมื่อ กสทช. ได้รับรายงานการรวมธุรกิจแล้ว กสทช. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไข/มาตรการเฉพาะตามข้อ 12 ของประกาศฉบับปี 2561

ขณะที่ที่ประชุมเสียงข้างน้อยมีมติว่า การรวมธุรกิจดังกล่าว ฃเป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน และให้พิจารณาดำเนินการพิจารณาตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 โดย กสทช. อาจสั่งห้ามการถือครองกิจการ หรือกำหนดมาตรการเฉพาะตามหมวด 4 ของประกาศดังกล่าว

ส่วน กสทช. พลอากาศโท ดร. ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ของดออกเสียง เนื่องจากยังมีประเด็นปัญหาการตีความในแง่กฎหมาย จึงยังไม่สามารถพิจารณาได้อย่างชัดเจน จึงของดออกเสียง โดยจะขอทำบันทึกในภายหลัง

ทั้งนี้ ที่ประชุมพิจารณาข้อกังวล 5 ข้อ และเห็นชอบเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ ได้แก่ ข้อกังวลเรื่องอัตราค่าบริการและสัญญาการให้บริการ มีเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ ดังนี้ การกำหนดเพดานราคาของอัตราค่าบริการเฉลี่ย ให้อัตราค่าบริการเฉลี่ยลดลงร้อยละ 12 โดยใช้วิธีการเฉลี่ยราคาใหม่ ด้วยการถ่วงน้ำหนักตามจำนวนผู้ใช้บริการในแต่ละรายการส่งเสริมการขาย ภายใน 90 วันหลังจากมีการควบรวม, ให้มีทางเลือกของราคาที่แยกรายบริการเพื่อให้เป็นทางเลือก, ให้นำส่งข้อมูลต้นทุนและข้อมูลที่จำเป็นโดยให้มีหน่วยงานตรวจสอบ, ให้ผู้แจ้งการรวมธุรกิจประกาศให้ผู้ใช้บริการรับทราบ เพื่อมีการตรวจสอบและมีบทลงโทษกรณีทำไม่ได้ เช่น ปรับเป็นจำนวนร้อยละของรายได้ หรือปรับเป็นขั้นบันได และเพิกถอนใบอนุญาต

การกำหนดราคาค่าบริการ โดยใช้ราคาเฉลี่ยทางเศรษฐศาสตร์ ให้นำส่งข้อมูลตามประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำรายงานบัญชีแยกประเภทในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2564 ให้ครบถ้วน โดยให้แยกรายละเอียดเป็นรายเดือน และนำส่งสำนักงาน กสทช. ทุก 3 เดือน หรือเมื่อ กสทช. ร้องขอ เพื่อตรวจสอบ

การคงทางเลือกของผู้บริโภค การกำหนดให้บริษัท TUC และบริษัท DTN ยังคงแบรนด์การให้บริการแยกจากกัน เป็นระยะเวลา 3 ปี

สัญญาการให้บริการ บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องคงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างบริษัทและผู้ใช้บริการ รวมถึงผลประโยชน์ที่ได้รับตามที่ได้มีการทำสัญญาหรือข้อตกลงไว้ตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา เว้นแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาที่เป็นคุณหรือเป็นประโยชน์และได้รับการยินยอมจากผู้ใช้บริการแล้ว, จัดแพ็คเกจสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส

โครงข่าย 5G ต้องครอบคลุมการใช้งานของจำนวนประชากร 85% ภายใน 3 ปี และ 90% ภายใน 5 ปี, ส่งเสริมการแข่งขัน เพิ่มผู้ให้บริการรายใหม่, ห้ามลด cell sites, สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยผ่าน MVNO, รายงานผลการดำเนินงานทุก 6 เดือน เป็นเวลา 5 ปี

ภายหลังการรวมธุรกิจ หาก กสทช. พิจารณาหรือได้รับการร้องเรียนว่า มีการกระทำ พฤติกรรม หรือเหตุอันเป็นการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขันในการให้บริการ กิจการโทรคมนาคมมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญทำให้เงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะไม่เหมาะสมหรือไม่มีประสิทธิภาพ กสทช. อาจระงับ ยกเลิก เพิ่มเติม หรือปรับปรุงเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะใหม่ก็ได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็น

ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา ศ. ดร. พิรงรอง รามสูต 1 ใน 2 กสทช. เสียงข้างน้อย ได้โพสต์เฟซบุ๊กยืนยันจุดยืน ไม่อนุญาตให้รวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค เนื่องจากเห็นว่าเป็นการถือครองธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแง่การลดหรือจำกัดการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ


กำลังโหลดความคิดเห็น