“คำร้อง” จากทนายความคดีน้ำมันรั่ว ... ราชการไม่ได้มีเป้าหมายเดียวกับเรา คือ “ทำให้ทะเลระยองกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม”
รายงานพิเศษ
อ่านประกอบ : เมื่อไร้ผู้คนสนใจ ฟื้นฟูทะเลระยองก็แค่สร้างภาพ คำทำนายที่แม่นยำของชาวประมง
“ย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงที่ทำคดีน้ำมันรั่ว ปี 2556 ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นเหตุน้ำมันรั่วครั้งใหญ่ที่สุด มีคนสนใจมากมาย สื่อมวลชนทุกสำนักรายงานข่าวเกาะติด ตั้งแต่การกำจัดคราบน้ำมันไปจนถึงขั้นตอนการชดเชยเยียวยาและฟื้นฟูทะเล แต่ในท้ายที่สุดเราก็พบว่า ไม่ได้มีเพียงข้อโต้แย้งเฉพาะในขั้นตอนการกำจัดคราบน้ำมัน แต่ยังมีข้อโต้แย้งในประเด็นอื่นที่สำคัญค้างคาอยู่ ระหว่าง ชาวบ้าน ชาวประมง กับ หน่วยงานรัฐ และผู้ประกอบการที่ก่อให้เกิดมลพิษ”
“ไม่มีรายงานการสำรวจความเสียหายของทะเลระยอง” คือ ความแตกต่างที่ แสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความในคดีน้ำมันรั่วอ่าวระยอง ปี 2556 พูดถึง
ทนายแสงชัย เล่าว่า ระหว่างที่การสู้คดีของชาวบ้านเพื่อเรียกร้องเงินชดเชยเยียวยาดำเนินไป อีกด้านหนึ่งหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ในการแก้ไขฟื้นฟูทะเลระยอง ก็ปล่อยให้บริษัทเอกชน รับบทบาทเป็นฝ่ายจัดจ้างทีมนักวิชาการไปศึกษาวิธีการฟื้นฟูทะเล พร้อมนำเสนอข้อมูลว่า ทั้งน้ำมันดิบและสารเคมีที่ทำให้น้ำมันจมลงไป ไม่ใช่สารที่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ ซึ่งหน่วยงานรัฐก็ให้ความเชื่อถือข้อมูลนี้ จนกลายมาเป็นกิจกรรมปล่อยปู ปล่อยปลา ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำวัยอ่อนลงไปในทะเล
“นักวิชาการกลุ่มนี้บอกว่า น้ำมันดิบก็เป็นสารอินทรีย์ตามธรรมชาติ สารเคมีที่ใส่ลงไป ก็แค่ไปทำให้น้ำมันแตกตัวออกไป แถมยังยืนยันด้วยว่า สัตว์ทะเลสามารถบริโภคสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทะเลก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ... แต่สิ่งที่เราพบในช่วง 6 เดือนหลังเกิดเหตุ คือ เต่าตาย หอยตาย โลมาตาย หรือแม้กระทั่งสัตว์ทะเลขนาดเล็กอย่าง กุ้งเคย ที่เคยเป็นของขึ้นชื่อของอ่าวระยองก็แทบจะหายสาบสูญไปเลย รวมไปถึงปลาใหญ่ ซึ่งชาวประมงแทบจะจับไม่ได้เลย มีความเสียหายทั้งในระบบห่วงโซ่อาหาร ทั้งระบบเศรษฐกิจของพื้นที่”
“ผลกระทบตรงนี้กลับไม่มีใครศึกษาอย่างจริงจัง ไม่มีการสำรวจ ไม่มีรายงานการเก็บสถิติตัวเลขทางวิชาการ หน่วยราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบ กลับใช้วิธีมอบหมายให้บริษัทเอกชนที่ก่อเหตุไปทำการศึกษา แล้วก็ไปถือเอาผลการศึกษาของนักวิชาการที่บริษัทจ้างมา มาทำเป็นรายงาน ดังนั้นต้องถามว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเหรอ ไม่ใช่ปัญหาของกรมประมงเหรอ ไม่ใช่ปัญหาของกระทรวงทรัพยากรฯเหรอ หรือไม่ใช่ปัญหาของผู้ว่าราชการจังหวัดเหรอ กลายเป็นว่า เมื่อบริษัทเขาเป็นผู้จ่ายเงินทำการศึกษาแล้ว เขาก็จ่ายเงินฟื้นฟูด้วยการปล่อยสัตว์น้ำลงทะเล ก็กลายเป็นการจบเรื่อง โดยที่หน่วยราชการไม่ต้องทำอะไร”
เมื่อปรากฎการณ์ที่ออกมาเป็นเช่นนี้ ทนายแสงชัย จึงมองว่า เป้าหมายของหน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชน คือ การทำกิจกรรมเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการที่ทำผิดพลาดไปจนเกิดเหตุน้ำมันรั่ว ได้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยการปล่อยสัตว์น้ำลงไปทดแทนแล้ว ซึ่งต่างจากกลุ่มประมงพื้นบ้าน ที่มีเป้าหมายว่า ต้องทำให้ระบบของทรัพยากรในอ่าวระยองกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม
“เหมือนอ่างน้ำสกปรก เราพยายามจะเอาสัตว์น้ำไปปล่อยในอ่างสกปรก แล้วมันจะรอดมั้ย ปลาที่อยู่ในอ่างมันยังไม่รอดเลย ตราบใดที่เรายังไม่แก้ไขด้วยการล้างสิ่งสกปรกออกมาจากน้ำก่อน แล้วเราเอาปลาใหม่ไปเติมในอ่างเดิมที่ยังสกปรกมันก็จะตายอีก ... ถ้าชาวบ้านเขาพูดแบบนี้แล้วยังไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะพูดให้เข้าใจได้อย่างไร”
“ความชัดเจนมันจึงขึ้นอยู่กับผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย หรือผู้ควบคุมนโยบายในการฟื้นฟู ปัญหาที่ชาวบ้านเขามองเป็นเป้าหมายและกลายมาเป็นข้อเรียกร้อง คือ จะต้องทำยังไงให้ทรัพยากรในอ่าวมันกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม เพียงแค่มองปัญหานี้ตรงๆกันอย่างเดียว ก็ยังทำความตกลงกันไม่ได้”
เมื่อปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากเหตุน้ำมันรั่วปี 2556 ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ตรงกัน ก็ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์จากการฟื้นฟูที่นำไปสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจของชาวประมงพื้นบ้านได้ ทนายแสงชัย จึงเห็นว่า ปัญหาในรูปแบบเดิมจะเกิดขึ้นอีกกับเหตุน้ำมันรั่วรอบที่ 2 ในปี 2565 อย่างแน่นอน เพราะหน่วยราชการเริ่มพูดถึงรูปแบบการปล่อยสัตว์น้ำวัยอ่อนลงสู่ทะเลอีกแล้ว ทั้งที่ยังไม่เคยลงไปสำรวจความเสียหายอย่างจริงจังเลย โดยเฉพาะเมื่อดูข้อเท็จจริงประกอบไปด้วยและพบว่า น้ำมันรั่วรอบที่ 2 อาจสร้างความเสียหายมากกว่า เพราะเกิดเหตุรั่วจากท่อส่งน้ำมันใต้ทะเลหลายครั้ง แถมยังให้ข้อมูลปริมาณน้ำมันที่รั่วออกมาอย่างสับสน ปริมาณน้ำมันที่ถูกรายงานผ่านหน่วยราชการไม่มีที่มาของข้อมูลที่พิสูจน์ได้ ทำให้ยังคงมีความเคลือบแคลงสงสัยจากชาวบ้านอยู่มาก
เมื่อเห็นรูปแบบการทำงานของหน่วยราชการจากเหตุน้ำมันรั่วครั้งที่ 2 ยังคงเป็นไปในรูปแบบเดิมทั้งที่เคยทำผิดพลาดมาแล้ว ทนายแสงชัย จึงตั้งข้อสังเกตไปถึงท่าทีของหน่วยราชการต่างๆว่า ให้ความเกรงอกเกรงใจกับบริษัทเอกชนมากเกินไปหรือไม่ เพราะแม้ว่าบริษัทจะเป็นผู้ก่อมลพิษจากความผิดพลาดทำให้น้ำมั่นรั่วลงไปในทะเล แต่กลับไม่มีการสำรวจความเสียหายเพื่อดำเนินคดี และยังปล่อยให้เอกชนเป็นฝ่ายจ้างทีมนักวิชาการมาทำรายงาน และเป็นฝ่ายกำหนดแนวทางฟื้นฟู แต่ที่ผู้ได้รับผลกระทบตัวจริงอย่างกลุ่มประมงพื้นบ้าน กลับไม่ได้รับพื้นที่ในการให้ความคิดเห็นเพื่อวางแผนฟื้นฟูใดๆเลย
ดังนั้น ทนายแสงชัย จึงมองไปถึงปัญหา “ข้อกฎหมาย” ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ เพราะที่ผ่านมา กฎหมายที่จะนำมาใช้ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ หรือชุมชนท้องถิ่น ยังไม่แข็งแรงพอ ซึ่งอาจเป็นเพราะต้องระมัดระวังว่า หากกฎหมายสิ่งแวดล้อมเข้มงวดมากเกินไป ก็จะไปเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน
จึงเสนอว่า แต่ละหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลให้เกิดความปลอดภัยในกิจการที่อาจส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ควรไปกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้นในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการ หรือการให้สัญญาสัมปทานต่างๆ เพื่อทำให้บริษัทเอกชนเหล่านี้ ต้องมีระบบป้องกันความผิดพลาดที่ดีขึ้น ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยขึ้น เมื่อเกิดเหตุแล้วมีการแก้ไขอย่างถูกต้องรวดเร็วขึ้น และต้องมีค่าความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่กำหนดไว้แล้วในเงื่อนไขการออกใบอนุญาต
“กฎหมายยังไม่ชัดเจนเพียงพอ แต่ถ้าผู้บริหารระดับสูงจะวางเป็นนโยบายของหน่วยงานรัฐที่ชัดเจนถูกต้อง แล้วใช้นโยบายแบบนี้มากำกับดูแลบริษัท ก็สามารถทำได้ เช่น การให้สัญญาสัมปทาน หรือการวางเงื่อนไขในการกำหนดใบอนุญาตต่างๆ หน่วยราชการมีอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขในการขออนุญาต แม้ในกฎหมายจะไม่เขียน แต่ถ้าการกำหนดเงื่อนไข มันเป็นประโยชน์ต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม มันก็จะไม่ไปผิดกฎหมาย แต่ต้องยอมรับว่า มันอาจจะไปกระทบกับต้นทุนการผลิตบ้าง อาจทำให้บริษัทมีกำไรน้อยลงบ้างก็เป็นไปได้ เพราะมีค่าใช้จ่ายมาปรับปรุงระบบ”
“หน้าที่ให้บริการทางนิเวศของทะเล คืออะไร ถ้าเราปล่อยให้ทะเลทำหน้าที่เพียงแค่ เดินเรือพาณิชย์ เป็นแนวท่อส่งก๊าซ ขุดเจาะน้ำมัน ขนส่งน้ำมัน เราลองคิดดูกันว่า เราจะใช้ทะเลได้อย่างคุ้มค่าไปอีกกี่ปี และในระหว่างนั้นวิถีชีวิตของผู้คนจะเป็นอย่างไร ชาวประมงต้องเลิกอาชีพไปทำอะไร หากเรายังใช้ทะเลแบบนี้ ผมยังมองไม่เห็นอนาคตของทะเลไทยเลย” ทนายแสงชัย ทิ้งท้าย