1.ศาลพิพากษาประหารชีวิต “อดีต ผกก.โจ้" กับพวก คดีคลุมถุงดำ 7 ใบ ก่อนลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ด้านแม่ผู้ตายรับไม่ได้ อยากให้ตายตกตามกัน!
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาทุจริต 3 นางจันทร์จิรา ธนะพัฒน์ และนายจักรกฤษณ์ กลั่นดี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ กับพวกรวม 7 คน ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และอีกหลายข้อหา ฯลฯ
สืบเนื่องจากช่วงระหว่างวันที่ 4-6 ส.ค. 2564 พวกจำเลยได้จับกุมนายจิระพงษ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต และถูกควบคุมไว้ในคดียาเสพติด และถูกฆ่าถึงแก่ความตาย ขณะอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ที่ ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งจำเลยทั้ง 7 คน ให้การปฏิเสธฐานฆ่าผู้อื่นฯ
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลย ที่ 1-7 กับพวกรวม 13 คน ล่อซื้อจับกุมนายจิระพงษ์ หรือมาวิน กับแฟนสาว คดียาไอซ์ จากนั้นจำเลยที่ 1-5 และ 7 นำตัวผู้ตายมาสอบสวนเพื่อขยายผลจับกุมยาเสพติด ที่ห้องปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือห้อง 05 โดยไม่ทราบว่ามีการติดกล้องวงจรปิด แต่เมื่อศาลเปิดภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด ก็ยอมรับว่า เป็นบุคลในภาพ และมีพยานโจทก์ปากอื่นที่เป็นเจ้าหน้าที่กองตรวจพิสูจน์หลักฐานเบิกความยืนยันว่า ไม่พบการตัดต่อคลิปภาพดังกล่าว ซึ่งมีการใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ตายทีละใบ จนครบจำนวน 7 ใบนาน 6 นาทีเศษ
นอกจากนี้ยังใส่กุญแจมือไพล่หลัง ใช้เข่าทับร่างกายเพื่อมิให้ดิ้นรนขัดขืน เพื่อบังคับให้บอกข้อมูลที่ซุกซ่อนยาเสพติด ซึ่งตรวจดูโทรศัพท์ผู้ตายแล้วเจอภาพยาเสพติดอีกจำนวนหนึ่ง และข่มขู่ว่า "กูจะเอามึงยันตาย หากไม่บอกความจริง" จนผู้ตายส่งเสียงร้อง และพลัดตกจากเก้าอี้และหมดสติอยู่ที่พื้นห้อง จากนั้นจำเลยที่ 1 และพวกได้ช่วยกันปั้มหัวใจ ตรวจดูชีพจร แต่พบว่าผู้ตายหมดสติแล้ว จึงพากันนำส่งโรงพยาบาลพริ้นซ์ปากน้ำโพ ซึ่งแพทย์ได้ช่วยเหลือจนสามารถกู้สัญญาณชีพกลับมาได้ แต่ยังอยู่ในภาวะวิกฤติ
การที่จำเลย 1, 2, 3, 4, 5 และ 7 ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ตาย ย่อมเล็งเห็นผลว่า ผู้ตายอาจขาดอากาศหายใจได้ ซึ่งการตายเป็นผลโดยตรงจากการถูกคลุมศีรษะด้วยถุงพลาสติก จนขาดอากาศหายใจ การกระทำของจำเลยทั้ง 6 คน จึงมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยใช้ถุงพลาสติก 7 ใบคลุมศีรษะทีละใบด้วยความโหดร้ายทรมาน
ส่วน ด.ต.ศุภากร จำเลยที่ 6 ฟังได้ว่า แม้จะมีส่วนร่วมกับการจับกุมตัวนายจิระพงษ์ หรือมาวิน แต่เมื่อจำเลยที่ 1-5 และ 7 นำตัวมาสอบสวนขยายผลยาเสพติด จำเลยที่ 6 ได้เข้าไปยังห้องที่เกิดเหตุดังกล่าวแล้วเห็นว่าผู้ตายนอนหมดสติอยู่ที่พื้นห้อง ก็มีการตื่นตกใจและได้เดินออกจากห้องไป ไม่กลับเข้ามาอีก จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกให้ช่วยนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล จึงได้เข้ามาช่วยเหลือดังกล่าว
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-5, 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 157, 289(5) (มีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล โดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย), 308 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
การกระทําความผิดของจำเลยที่ 1-5, 7 ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงและทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น และฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1-5, 7 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น (โดยเป็นเจตนาเล็งผลตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง) โดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิต ส่วนการกระทําความผิดของจำเลยที่ 6 ที่กระทำผิดฐานต่างๆ ยกเว้นฐานร่วมกันฆ่า พิพากษาจำคุก 8 ปี
อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งเจ็ดรับข้อเท็จจริงบางส่วน และนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง หลังเกิดเหตุจําเลยทั้งเจ็ด พยายามช่วยเหลือผู้ตายโดยช่วยปั๊มหัวใจผู้ตาย และรีบนำตัวผู้ตายส่งโรงพยาบาล จนแพทย์ช่วยรักษาผู้ตายมีสัญญาณชีพและหัวใจกลับมาเต้น ก่อนที่ผู้ตายจะถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จำเลยรู้สึกผิดช่วยค่าปลงศพผู้ตายเป็นเงิน 30,000 บาท และวางเงินบรรเทาผลร้ายให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสองคนละ 300,000 บาท นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1-5, 7 ตลอดชีวิต คงจำคุกจำเลยที่ 6 มีกำหนด 5 ปี 4 เดือน ส่วนข้อหาและคำขออื่นให้ยก
ส่วนคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เมื่อจำเลยทั้งเจ็ดเป็นเจ้าพนักงาน เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 บัญญัติว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐที่จำเลยทั้งเจ็ดสังกัดอยู่โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
หลังฟังคำพิพากษา นายจักรกฤษณ์ กลั่นดี พ่อของมาวิน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่ตนยังไม่เห็นคลิป พอได้ฟังศาลอ่านพฤติการณ์อย่างละเอียด ก็รู้สึกคาดไม่ถึงว่าจำเลยจะทำขนาดนี้ ส่วนเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหม หลังจากนี้ ก็จะไปดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหายกับศาลแพ่ง ซึ่งตอนแรกได้คำนวณค่าเสียหายจากการที่หากมาวินมีชีวิตอยู่อีก 10 ปี จะสามารถดูแลครอบครัวได้เป็นเงิน 1.5 ล้าน แต่ก็มีทนายความมาแนะนำว่า ให้เพิ่มวงเงิน จึงขอปรึกษากันก่อน
นายจักรกฤษณ์กล่าวอีกว่า โทษที่ศาลตัดสิน ตนพอใจแล้ว และคงจะไม่สู้ต่อในชั้นต่อไป เพราะมองว่า ไม่อยากจะไปพยาบาทอาฆาตกัน
ด้านนางจันทร์จิรา ธนะพัฒน์ แม่ของมาวิน กล่าวว่า วันนี้ตนไม่รู้ว่าจำเลยเขาสำนึกจริงหรือไม่ แต่แม่ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำให้ลูกแม่ตายแบบนี้ แต่ส่วนตัว แม่อยากให้ลงโทษประหารชีวิต ให้จำเลยเป็นไปตามลูก เพราะจากที่ฟังศาลบรรยายพฤติการณ์ มันยิ่งกว่าที่ตนเคยดูคลิป ฟังแล้วรับไม่ได้ จึงอยากให้ประหาร แลกกับชีวิตลูกตน
สำหรับรายชื่อตำรวจทั้ง 7 นาย ที่เป็นจำเลยคดีนี้ ประกอบด้วย พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ หรือ ผกก.โจ้, พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง สว.สส., ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค รอง สวป., ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา รอง สวป., ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว ผบ.หมู่ ป., ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น ผบ.หมู่ ป. และ ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว ผบ.หมู่ ป.
2.หวย 30 ล้านไม่จบ! "ครูปรีชา" ไม่ยอมแพ้ แม้ศาลฎีกายกฟ้อง "หมวดจรูญ" เตรียมสู้ที่ศาลแพ่งต่อ อ้าง มีหลักฐานสำคัญ!
ความคืบหน้าคดีหวย 30 ล้าน จากกรณีที่ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ อดีตข้าราชการตำรวจ สภ.บ่อพลอย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ได้นำสลากกินแบ่งรัฐบาล 1 ชุด รวม 5 ใบ ที่ถูกรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 หมายเลข 533726 เป็นเงินจำนวน 30 ล้านบาท ไปขึ้นเงินรางวัลที่กองสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ถูกนายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทพมงคลรังษี จ.กาญจนบุรี ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีในคดีอาญา ข้อหายักยอกทรัพย์ รับของโจร ที่นำสลากฯ ที่ถูกรางวัลที่ 1 ดังกล่าวไปขึ้นเงิน โดยนายปรีชา อ้างว่าสลากดังกล่าวเป็นของตนเอง ซึ่งการต่อสู้ในชั้นศาลใช้เวลานานหลายปี โดยศาลได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ภาค 7 พิพากษาว่า “ไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้อง”
สำหรับคดีนี้เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย. 2560 จนมาถึงวันนี้เป็นระยะเวลาเกือบ 5 ปี โดยมีรายงานว่า ยังมีคดีอื่นๆ ที่ทางหมวดจรูญยื่นฟ้องครูปรีชาอีก 7 คดี โดยทนายจะนำคำพิพากษานี้ไปใช้ยื่นศาลในการพิจารณาคดีที่เหลือทั้งหมดต่อไป ไม่เพียงเฉพาะครูปรีชาเท่านั้น แต่จะดำเนินคดีกับพยานของครูปรีชาด้วย
หลังฟังคำพิพากษา ร.ต.ท.จรูญ เผยว่า ดีใจที่ศาลให้ความยุติธรรมกับตน เพราะรอมานาน ทำให้หมดปัญหาไปเปลาะหนึ่ง ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับทนายความว่าจะดำเนินการอย่างไร ต้องขอไปปรึกษากันก่อน
ร.ต.ท.จรูญ กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ตั้งแต่เป็นคดีแรกๆ เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไปว่า ต่อไปเวลาซื้อลอตเตอรี่จะต้องถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแล้ว และก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะจะได้มีหลักฐานว่าเราซื้อมาจริง “อยากจะบอกกับสังคมที่ติดตามคดีนี้มาอย่างยาวนานว่า หากทำอะไรแล้วเราไม่ผิด ก็ไม่ต้องไปกลัว สู้ให้ถึงที่สุด คดีนี้ผมได้สู้มาถึงที่สุดแล้ว หากสู้แล้วมารู้ว่าเราไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ให้ไปขอความเป็นธรรมที่อื่น สุดท้ายคดีที่ผมสู้มาสรุปแล้วก็ได้รับความเป็นธรรม”
ขณะที่นายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความของ ร.ต.ท.จรูญ กล่าวว่า ได้ยื่นฟ้องครูปรีชาไปแล้ว 1 เรื่อง คือการที่ครูปรีชาฟ้องเท็จ ศาลบอกว่าให้ยื่นคำร้องขึ้นมาเพื่อจะยกขึ้นมาพิจารณาในลำดับต่อไป สำหรับการเบิกความเท็จ หรือพวกพยานเท็จทั้งหลาย เนื่องจากในคำพิพากษามีข้อความอยู่ท่อนหนึ่งที่ท่านได้วินิจฉัยว่า “แม้โจทก์จะมีพยานบุคคลมาเบิกความสอดคล้องต้องกัน แต่คำเบิกความของพยานโจทก์นั้นมีการปรุงแต่งข้อเท็จจริง” โดยมีคำสั่งที่บอกว่า เกลาให้กลม ทำให้เหมือนว่าพยานให้การสอดคล้องต้องกัน แต่ขัดกับความเป็นจริง ศาลจึงบอกว่าพยานโจทก์นั้นไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้น พยานที่มาเบิกความไว้ต้องมีความรับผิดชอบบ้าง เพราะสิ่งที่พวกคุณพูดในศาลเป็นการให้การเท็จ ทำให้คุณลุงจรูญได้รับความเสียหาย ซึ่งเราจะได้ดูในบทต่อไปของคดีนี้ รับรองว่า เร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
นายอาคม กล่าวด้วยว่า “เรื่องที่เราจะดำเนินการนั้น จะต้องมีคนติดคุก ไม่ใช่แค่ครูปรีชาเท่านั้น แต่หมายรวมถึงพวกครูปรีชาทุกคนที่มีชื่อในคำพิพากษาที่ศาลเขียนถึง เราจะดำเนินคดีกับทุกคนอย่างแน่นอน ส่วนใครจะรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน จะต้องรอดูอีกครั้งหนึ่ง”
ด้านนายปรีชา กล่าวว่า หลังจากนี้ตนจะไปดำเนินการเกี่ยวกับคดีแพ่งต่อ คดีแพ่งที่ตนฟ้องเอาไว้ คือคดีเรียกทรัพย์คืนจากหมวดจรูญ “คำพิพากษาระบุแต่เพียงว่าผมไม่ได้มีอำนาจฟ้อง แต่ไม่ได้ระบุว่าทรัพย์ไม่ได้เป็นของผม ดังนั้น วันนี้ไม่ได้ถือว่าเราแพ้คดี ยังคงมีอีกหลายคดี อีกทั้งในคำพิพากษาก็ยังไม่ได้ระบุว่าใครเป็นเจ้าของลอตเตอรี่ ซึ่งคดีแพ่งจะพิสูจน์ต่อไปได้ว่าใครที่เป็นเจ้าของลอตเตอรี่ตัวจริง”
นายปรีชากล่าวถึงกรณีที่หมวดจรูญฟ้องร้องตนมากถึง 7 คดีด้วยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ทางคดี และเป็นเรื่องในอนาคต ขณะนี้ขอพูดเรื่องปัจจุบันก็พอ ไม่ได้รู้สึกกังวล เพราะเราเชื่อในสิ่งที่เป็นความจริงและความถูกต้อง โดยบอก “ความจริงก็คือความจริง” ยืนยันว่าลอตเตอรี่นั้นเป็นของตน แต่การนำพยานหลักฐานต่างๆ มันมีข้อจำกัด และตนได้พยายามนำหลักฐานบางตัวที่พบภายหลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพยานเหล่านี้ตนจะต้องนำสู่กระบวนการพิจารณาในคดีแพ่งต่อไป โดยพยานบางชิ้นเรามาพบภายหลัง แต่ไม่ได้นำสืบ แต่จะนำเข้าสืบในคดีแพ่งต่อไป
3. ป.ป.ช. ชี้มูล "กนกวรรณ" รมช.ศธ. กับพวก รุกที่อุทยานเขาใหญ่ "พ่อ" โดนด้วย ชงอัยการฟ้องศาล ประสานกรมที่ดินเพิกถอนโฉนด!
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แถลงผลการตรวจสอบ น.ส.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กรณีบุกรุกที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเหตุเกิดเมื่อปี 2545 มีการออกโฉนดโดยการเดินสำรวจ โดยโฉนดเลขที่ 411158 ออกให้นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ส่วนโฉนดเลขที่ 41159 ออกให้นายสุุนทร วิลาวัลย์ บิดา น.ส.กนกวรรณ รวมเนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน และมีโฉนดเลขที่ 41160 ออกให้ น.ส.น้อย ตุ้มพันธ์ เนื้อที่ 27 ไร่ 1 งาน และมีการอ้างว่า ซื้อต่อมาจากคนที่ใช้ประโยชน์มาก่อน แต่เมื่อตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศเมื่อปี 2546 พบว่า ไม่มีการซื้อขายจริง และเมื่อสำรวจจะพบว่า ที่ผ่านมามีสภาพเป็นป่า ไม่เคยมีการทำประโยชน์มาก่อน
ป.ป.ช.จึงชี้มูลความผิดและแจ้งให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิทั้ง 3 แปลง และเห็นว่า ปัจจุบันยังมีการครอบครองอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้ ที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (รมช.ศธ.) อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. เพื่อฟ้องคดีอาญา โดยอัยการสูงสุดรับสำนวนและสั่งให้ดำเนินคดีอาญา และให้ผู้ถูกร้องไปรายงานตัว ส่วนคำร้องจริยธรรมส่งให้ศาลเพื่อขอให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อศาลรับฟ้องต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่
สำหรับผู้ถูกกล่าหาในคดีนี้ ประกอบด้วย 1. นายจีรศักดิ์ ผลสุข เมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์เดินสำรวจออกโฉนดที่ดินจังหวัดสระบุรี-นครนายก-ปราจีนบุรี-สระแก้ว 2. นางสุรางค์ คัณฑารมย์ เมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับการเดินสำรวจ 3. นายสมศักดิ์ หีบเงิน เมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับการรังวัด 4. นางพรรณเพ็ญ ภาคาญาติ เมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่สอบสวนสิทธิ
5. นายประทาน บานชื่น เมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่เดินสำรวจรังวัด 6. นายทวี หมื่นศรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 14 ตำบลเนินหอ 7. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ผู้นำเดินสำรวจ ปัจจุบันเป็น รมช.ศึกษาธิการ 8. นายสุนทร วิลาวัลย์ ผู้นำเดินสำรวจ ปัจจุบัน นายก อบจ. ปราจีนบุรี 9. น.ส.น้อย ตุ้มพันธ์ ผู้นำเดินสำรวจ 10. นายคณิต เพชรประดับ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งช่างรังวัด 6 กรมป่าไม้
นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน นายจีรศักดิ์ ผลสุข ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นายสมศักดิ์ หีบเงิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนายประทาน บานชื่น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 ได้ร่วมกันมีหนังสือขอให้จังหวัดปราจีนบุรี ส่งระวางแผนที่รูปถ่ายทางอากาศ 5237 II 6072 ที่มีการขีดเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ไปให้กรมป่าไม้ดำเนินการตรวจสอบยืนยันแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยไม่ได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมที่ดิน และผู้ถูกกล่าวหาที่ 10 ผู้ขีดและรับรองแนวเขตอุทยานแห่งชาติ ไม่ได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมป่าไม้
การขีดและรับรองแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2536 และครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2545 โดยนายคณิต เพชรประดับ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 10 จึงเป็นการดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่ง ป.ป.ช.เห็นว่า การกระทำของ นายจีรศักดิ์ นางสุรางค์ นายสมศักดิ์ นางพรรณเพ็ญ นายประทาน และนายคณิต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 83 และการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 6-9 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดย ป.ป.ช.ได้แจ้งผลการพิจารณาให้กรมที่ดินทราบเพื่อพิจารณาเพิกถอนโฉนดที่ดินทั้ง 3 แปลง
ส่วนการกระทำของนางกนกวรรณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยขณะนี้อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งดำเนินคดีอาญาฟ้องนายจีรศักดิ์ นางสุรางค์ นายสมศักดิ์ นางพรรณเพ็ญ นายประทาน และนายคณิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 83 และมีคำสั่งดำเนินคดีอาญากับนายทวี นางกนกวรรณ นายสุนทร น.ส.น้อย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2565
พร้อมให้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาไปรายงานตัวต่อพนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 2 ในวันที่ 9 มิ.ย. เพื่อยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2
อย่างไรก็ตาม ช่วงค่ำวันเดียวกัน (9 มิ.ย.) มีรายงานว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ไปรายงานตัว ทาง ป.ป.ช. จึงได้ขอศาลฯ ออกหมายจับผู้ที่ยังไม่ได้ไปรายงานตัวจำนวน 6 คน ซึ่งศาลได้อนุมัติออกหมายจับแล้ว 4 คน ได้แก่ นายสุนทร นางสุรางค์ คัณฑารมย์ นายสมศักดิ์ หีบเงิน และนายคณิต เพชระประดับ ส่วนอีก 2 คนที่ไม่ได้ถูกออกหมายจับคือ นางกนกวรรณ และน.ส.น้อย ตุ้มพันธ์ เนื่องจากเชื่อว่า ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
4. ปลดล็อกกัญชาพ้นยาเสพติดแล้ว 9 มิ.ย. ขณะที่ ปชช. แห่ลงทะเบียนปลูกกัญชาผ่านแอปล้นหลาม!
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (7 มิ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการปฏิบัติตัวของประชาชนและการบังคับใช้กฎหมายกรณีกัญชา กัญชง ถูกถอดออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.เป็นต้นไป โดยเฉพาะการปลูก เสพ สูบ บริโภค สามารถทำได้ถูกกฎหมาย แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้อย่างเสรี 100% เพราะพิษภัยของกัญชายังคงมีอยู่ มีพฤติกรรมการใช้บางเรื่องที่รัฐจำเป็นต้องควบคุม เช่น การสูบต้องไม่ก่อความรำคาญกับผู้อื่น การสูบแล้วขับรถ อาจผิดกฎหมายเหมือนกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วไม่ขับ การใช้ช่อ ดอก ซึ่งมีสารเสพติดต้องระมัดระวัง ห้ามจำหน่ายแก่เด็ก การผลิตจำหน่ายต้องมีการเสียภาษี อย่างไรก็ตาม จะมีกฎหมายใหม่เพื่อกำหนดรายละเอียดต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ต่อสภา ยังคงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และว่า ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.จนถึงวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานจากหน่วยงานต่างๆ และภาคประชาชน บูรณาการนโยบายพืชกัญชาและกัญชงเพื่อกำกับดูแลในช่วงรอยต่อนี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ด้าน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านป้องกันปราบปราม และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยถึงกรณีปลดล็อกกัญชาว่า นับแต่วันที่ 9 มิ.ย.เป็นต้นไป พืชกัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติด และยกเลิกความผิดฐานผลิต นำเข้า หรือส่งออก มีไว้ในครอบครอง จำหน่าย มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ หรือเสพพืชกัญชา รวมถึงการสูบ ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด
พล.ต.อ.รอย ย้ำว่า “การมีพืชกัญชาไว้ในครอบครอง หรือปลูกกัญชา ไม่ว่าจะมีจำนวนเท่าใด ก็ไม่มีความผิด แต่การมี ใช้ จำหน่าย สารสกัดจากกัญชาที่มีปริมาณสาร THC เกินกว่า 0.2% ไม่มีใบอนุญาต ไม่มีใบสั่งแพทย์ ไม่ผ่านการรับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือเป็นสารสกัดจากกัญชานั้น มีแหล่งที่มาจากนอกราชอาณาจักร ยังถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย”
สำหรับการสูบกัญชานั้น พล.ต.อ.รอย กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.เป็นต้นไป การสูบกัญชาไม่มีความผิด แต่การสูบกัญชาในที่สาธารณะ รบกวนสิทธิผู้อื่น มีความผิดตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 โทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 25,000 บาท อย่างไรก็ตาม การสูบกัญชาในที่สาธารณะ ยังไม่มีกฎหมายควบคุมโดยตรงเช่นบุหรี่ ที่มี พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ควบคุมอยู่
พล.ต.อ.รอย กล่าวด้วยว่า เมื่อกฎหมายยกเลิกความผิดของพืชกัญชา ผู้ต้องขังและผู้ต้องหาคดีกัญชา รวม 4,200 ราย จะได้รับการปล่อยตัวพ้นผิด “นอกจากนี้ ให้คืนทรัพย์สินของกลางในคดีพืชกัญชา รวมทั้งของส่วนตัวผู้ต้องหา ที่ยังมิได้มีการทำลา หรือใช้ประโยชน์ หรือขายทอดตลาดตามคำพิพากษา ส่วนทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องกับการกระทำในคดีเกี่ยวกับกัญชา ที่ตำรวจตรวจยึดหรืออายัดไว้ แต่ยังไม่มีคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน หรือเลขาธิการ ป.ป.ส.ให้ยึดหรืออายัดไว้ชั่วคราว ให้แจ้งเจ้าของทรัพย์สินมารับคืนทั้งหมด”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากมีการปลดล็อกกัญชา กัญชง ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. ทาง อย.ได้เปิดตัวแอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์ “ปลูกกัญ” เพื่อช่วยประชาชนในการจดแจ้งการปลูกกัญชา กัญชง ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเข้าชมและจดแจ้งการปลูกจำนวนมาก ซึ่งจนถึงช่วงเช้าวันที่ 11 มิ.ย. มีผู้เข้าชมถึง 32,106,554 ครั้ง และลงทะเบียนจดแจ้งการปลูกกัญชา กัญชง กว่า 582,399 คน
ด้านสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่เสนอโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และคณะ และร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์กัญชา กัญชง เสนอโดยนางพรรณสิริ กุลนาถศิริ ส.ส.สุโขทัย พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และคณะ
หลังสมาชิกอภิปรายเสร็จสิ้น ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการด้วยคะแนน 373 เสียง ไม่รับหลักการ 7 เสียง งดออกเสียง 23 เสียง และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง จำนวน 25 คน แบ่งเป็น ครม.5 คน ส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน 20 คน แปรญัตติ 15 วัน โดยใช้ร่างของนายอนุทินกับคณะ เป็นร่างหลักในการพิจารณาวาระ 2
5. ป.ป.ช. จ่อเลิกสอบ "เลขาฯ กบข." ไม่แจ้งทรัพย์สินนาฬิกาหรู-กระเป๋าแบรนด์เนม" หลังเจ้าตัวอ้างแค่ของปลอม แต่ขัดแย้งก่อนหน้าที่อ้างว่าของลูกสาว!
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนางศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2563 และล่าสุดวันที่ 14 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา พบว่ามีทรัพย์สินอื่นเป็นชุดเพชร (แหวน สร้อยข้อมือ สร้อยคอ) 1 ชุด มูลค่า 200,000 บาท และกระเป๋า Bottega Veneta 1 ใบ มูลค่า 350,000 บาท แต่การปรากฏตัวต่อสาธารณะผ่านรูปถ่ายในเฟซบุ๊กส่วนตัว การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน มีการสวมใส่เครื่องประดับราคาแพงอยู่บ่อยครั้ง กลับไม่ปรากฏอยู่ในการแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรารายงาน (9 มิ.ย.) ว่า ก่อนหน้านี้ทีมงานนางศรีกัญญา ชี้แจงว่า นาฬิกาหรูและกระเป๋าแบรนด์เนมที่นางศรีกัญญาสวมใส่ถ่ายภาพดังกล่าว เป็นของลูกสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ส่วนราคาที่ซื้อมาก็ไม่ได้แพงมากมายนัก แต่แหล่งข่าวจากสำนักงาน กบข.ให้ข้อมูลว่า หลังปรากฏเป็นข่าว มีสมาชิก กบข.บางรายได้ส่งไลน์ไปสอบถามเลขาฯ กบข.ในเรื่องดังกล่าว เลขาฯ กบข.ชี้แจงว่า เป็นของลูกสาวตามที่เป็นข่าวไป พร้อมระบุว่า ลูกสาวทำธุรกิจด้านแฟชั่นอยู่ที่มิลาน ประเทศอิตาลี ช่วงที่ผ่านมากลับมาทำธุระครอบครัว
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศรารายงานว่า นางศรีกัญญาได้ชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นของ ป.ป.ช.ว่า นาฬิกาหรู และกระเป๋าแบรนด์เนมที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น ทั้งหมดไม่ใช่ของแท้ แต่เป็นของเลียนแบบหรือก๊อปปี้ โดยมีการนำของเหล่านี้มาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ซึ่งไม่มีหมายเลขผลิตภัณฑ์ (Serial Number) อยู่ ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของนางศรีกัญญา ที่เคยปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนก่อนหน้านี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. สำนักข่าวอิศราอ้างแหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.ระบุว่า จากการตรวจสอบนาฬิกาหรูและกระเป๋าแบรนด์เนมที่นางศรีกัญญานำมาแสดง โดยเปรียบเทียบกับภาพถ่ายที่นางศรีกัญญาสวมใส่ต่อสาธารณะ พบว่ามีลักษณะตรงตามภาพถ่าย จึงน่าเชื่อได้ว่า นาฬิกาหรู และกระเป๋าแบรนด์เนมดังกล่าวน่าจะเป็นของปลอมจริง ซึ่งไม่เข้าข่ายทรัพย์สินมูลค่าเกิน 200,000 บาท ที่จะต้องแจ้งแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. โดยขั้นตอนต่อไป เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จะรายงานสรุปผลการตรวจสอบเบื้องต้นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ยุติเรื่องสอบต่อเป็นทางการ เนื่องจากนาฬิกาหรูและกระเป๋าแบรนด์เนมของปลอมดังกล่าว ไม่ถือเป็นการแจ้งแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช.
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวอิศราได้ตั้งคำถามถึงการตรวจสอบของ ป.ป.ช.อยู่ 2 ประเด็น คือ 1. ในเมื่อทรัพย์สินเหล่านี้เป็นของปลอม ทำไมที่ผ่านมาการชี้แจงของเลขาฯ กบข.จะต้องอ้างว่า เป็นของลูกสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. พร้อมระบุตำแหน่งหน้าที่การงานของลูกสาวในลักษณะดังกล่าว เพื่อเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือด้วย 2. กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นในเรื่องนี้ของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. เป็นอย่างไร?
"น่าสนใจว่า ในกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ดังกล่าว ได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยตรวจสอบข้อมูลด้วยหรือไม่? รูปแบบวิธีการตรวจสอบเป็นอย่างไร? มีการตรวจสอบนาฬิกาหรูและกระเป๋าแบรนด์เนมที่เลขาฯ กบข. นำมาแสดงและอ้างว่าเป็นของปลอม ว่าซื้อมาจากไหน? ราคาเท่าไร? ช่วงเวลาใด? มีเอกสารหลักฐานยืนยันหรือไม่? ช่วงเวลาที่จัดซื้อสอดคล้องกับช่วงเวลาที่มีการนำของไปสวมใส่ ถ่ายภาพหรือไม่?"
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หากคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีมติยุติเรื่องไม่สอบสวนต่อในเรื่องนี้ ก็จะต้องมีคำอธิบายพร้อมรายละเอียดหลักฐานประกอบต่อสังคม เพื่อให้ทุกอย่างชัดเจนมากที่สุด เพราะถ้าทุกอย่างชัดเจนทั้งหมด นอกจากประชาชนจะเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสอบมากขึ้นแล้ว ก็ยังจะเป็นผลดีต่อตัวเลขาฯ กบข. ไม่ให้มีรอยด่างพร้อยเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นกรณีนี้อาจจะกลายเป็นกรณีซ้ำรอยการยืมนาฬิกาหรูเพื่อนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ ป.ป.ช.ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการทำงานอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ทางนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ยืนยันว่า ถ้าหากมีการชี้แจงว่า นาฬิกาหรูหลายเรือนและกระเป๋าแบรนด์เนมเหล่านี้เป็นของเลียนแบบหรือก๊อปปี้ ก็คงจะต้องมีการตรวจสอบยืนยันข้อมูลกันอีกครั้ง ทั้งข้อมูลการซื้อขายและราคาด้วย