1.“ปารีณา” เศร้า หลังศาลฎีกาฯ สั่งพ้น ส.ส.-ห้ามเล่นการเมืองตลอดชีวิต พ้อ “ไม่เหลืออะไรแล้ว” แต่พร้อมพบกันใหม่นอกสภาเร็วๆ นี้!
เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กรณีครอบครองพื้นที่ ส.ป.ก.ในจังหวัดราชบุรี หรือคดีฟาร์มเลี้ยงไก่ “เขาสนฟาร์ม” เกือบ 700 ไร่
ซึ่งคดีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิด น.ส.ปารีณา เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2564 ว่า การยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบดังกล่าว เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเป็น ส.ส.กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง และกรณีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 11 ข้อ 17 ประกอบ ข้อ 27 วรรคสอง ป.ป.ช. จึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ให้วินิจฉัยกรณีดังกล่าว หลังศาลฎีกาฯ รับคำร้อง ได้มีคำสั่งให้ น.ส.ปารีณา หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.เป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 2564 จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา กระทั่งต่อมา ศาลฎีกาฯ ได้นัดพิพากษาในวันที่ 7 เม.ย.2565
เมื่อถึงกำหนด น.ส.ปารีณา ไม่ได้เดินทางมาศาล แต่มอบหมายให้นายทิวา การกระสัง ทนายความ เดินทางมาฟังคำพิพากษาแทน
โดยศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาว่า น.ส.ปารีณา ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม จึงมีคำสั่งให้ น.ส.ปารีณา พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.นับจากวันที่ 25 มี.ค. 64 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาฯ สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ น.ส.ปารีณา ตลอดไป และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี ส่งผลให้ น.ส.ปารีณา ไม่มีสิทธิลงสมัครรับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 วรรคสี่ และ พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 81, 87 และมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ข้อ 3 ข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง
หลังศาลฎีกาฯ ตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และห้ามสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต ปรากฏว่า ในไลน์กลุ่ม ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้มี ส.ส.เข้ามาให้กำลังใจ น.ส.ปารีณา จนกระทั่งเวลา 10.21 น. น.ส.ปารีณา ได้ตัดสินใจดีดตัวเองออกจากไลน์กลุ่ม ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อ น.ส.ปารีณา ตั้งแต่รู้ผลคำตัดสินของศาล แม้ตอนแรกจะไม่สามารถติดต่อได้ แต่ภายหลัง น.ส.ปารีณา ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ตอนนี้ยังไม่เจอใคร ยังไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้ตัวชา กำลังทำใจอย่างเดียว ไม่ต้องทำพื้นที่แล้ว เพราะเหมือนคนตกงาน 100% ไม่มีสภาให้ไป ไม่มีไก่ให้เลี้ยง ไม่เหลืออะไรแล้ว”
อย่างไรก็ตาม วันต่อมา (8 เม.ย.) น.ส.ปารีณา ได้โพสต์เฟซบุ๊กตอนหนึ่งว่า "ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีบนถนนการเมือง ปารีณาตั้งใจทำหน้าที่ผู้แทนทั้งในสภา และนอกสภาอย่างเต็มที่ ปารีณาทุ่มเทจิตใจ และทุนทรัพย์ให้กับพวกพ้องและพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ได้รับการยอมรับ และชนะเลือกตั้งตลอด ไม่เคยสอบตก วันนี้ ปารีณา ถูกพิพากษาลงโทษอย่างรุนแรง ไม่สามารถสมัครอะไรได้ตลอดชีวิต ...วันนี้ ความผิดของปารีณา เปรียบได้กับการลงโทษสูงสุด การลงโทษในคดีมีหลายระดับ คือ เริ่มจากปรับ จำคุก หรือประหารชีวิต ปารีณาถูกพิพากษาเปรียบเสมือนทำผิดร้ายแรงถูกประหารชีวิต (ทางการเมือง) จากที่ดินพ่อให้มา และนี่คือคดีที่จะเป็นบรรทัดฐานต่อนักการเมืองและข้าราชการต่อไป ถึงแม้ปารีณาไม่สามารถเป็นผู้แทนของท่านได้อีกต่อไป ปารีณาขอขอบคุณทุกกำลังใจ และจะขอยึดมั่นอุดมการณ์ของปารีณาต่อไป และเราจะได้พบกันอีกเร็วๆนี้นอกสภานะคะ"
ล่าสุด (9 เม.ย.) น.ส.ปารีณา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้แจงว่า "สื่อแทบทุกสำนักพาดหัวข่าว ลงข่าว บิดเบี้ยว จนเกิดความเสียหาย เข้าข่ายหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กล่าวหาว่า ปารีณาผิดจริยธรรมร้ายแรงเซ่นบุกรุกป่านั้น จะขอเรียนสื่อให้ช่วยนำเสนอข่าวให้ถูกต้อง และช่วยอ่านคำวินิจฉัยของศาลให้ครบถ้วน เพราะไม่มีประโยคใดในคำพิพากษา ระบุว่า ปารีณาผิดจริยธรรมในพื้นที่ป่า แต่เป็นการผิดจริยธรรมในพื่นที่ ส.ป.ก. และพื้นที่สีส้ม (พื้นที่สีส้ม หมายถึงพื้นที่ว่างเปล่า ที่สามารถออกโฉนดได้) ปารีณาเชื่อว่า สื่อไม่มีเจตนาจะหมิ่นประมาท จึงขอร้องให้ช่วยสำเสนอข่าวให้ถูกต้องต่อไป"
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ (7 เม.ย.) แสดงความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ กรณี น.ส.ปารีณา โดยระบุว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้กรณีนักการเมืองละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงไปให้ศาลฎีกาตัดสิน และมีโทษประหารชีวิตทางการเมือง เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง โดยให้เหตุผลว่า 1.มาตรฐานจริยธรรมเป็นเรื่องจริยธรรม จรรยาบรรณ เป็นเรื่องภายในองค์กร ต้องให้แต่ละองค์กรกำหนดและชี้ขาดกันเอง หน่วยงานอื่น ๆ เขาก็ทำกันเอง ลงโทษกันเอง
2. มาตรฐานทางจริยธรรมไม่ใช่เรื่องเกณฑ์ทางกฎหมาย ไม่ใช่ถูกหรือผิดกฎหมาย แต่เป็นเรื่องความเหมาะสม จึงไม่ควรให้ศาลชี้ขาด ลงโทษ ศาลเกี่ยวข้องได้แบบรีวิวทบทวน เช่น ข้าราชการถูกลงโทษทางวินัย ก็อาจฟ้องศาลให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษได้ เป็นการตรวจสอบว่าคำสั่งลงโทษชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่กรณีนักการเมืองกลับนำมาตรฐานจริยธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระออกมาปรับใช้ และยังให้ ป.ป.ช. มาชี้มูล ส่งให้ศาลฎีกาชี้ขาด
3.โทษสูง การตัดสิทธิสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิต ไม่ควรมี นี่คือการทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรง ประหารชีวิตทางการเมือง โดยรัฐธรรมนูญปี 2560 เอามาใช้สองกรณี คือ ติดคุกเพราะคอรัปชั่น และละเมิดจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งผู้ร่างเที่ยวเอาไปโฆษณาว่านี่คือ “รัฐธรรมนูญปราบโกง” แต่จริง ๆ แล้วการโกงก็ยังมี และเพิ่มขึ้น ส่วนช่องทางนี้ก็เอาไว้เล่นงานนักการเมืองกันไปมา “ผมจึงไม่เห็นด้วยกับกรณีศาลฎีกาตัดสินคุณปารีณา และเสนอว่าเราไม่ควรดีใจกับเรื่องแบบนี้ ตรงกันข้าม เราควรรณรงค์ชี้ปัญหาพิษภัยรัฐธรรมนูญ ปี 2560 และต่อสู้กับ “นิติสงคราม” ครับ”
2.อัยการตีกลับสำนวน ตร.แจ้งข้อหา “กระติก” ให้การเท็จ เหตุคดีเกี่ยวพันหลายคนหลายข้อหา สั่งสอบให้สิ้นกระบวนการ เพื่อความเป็นธรรม!
ความคืบหน้าการดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกรณีการเสียชีวิตของแตงโม น.ส.นิดา พัชรวีระพงษ์ ดารานักแสดงชื่อดัง ที่ตกจากเรือสปีดโบ๊ทเสียชีวิต เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ท่ามกลางความสงสัยของสังคมว่า เป็นอุบัติเหตุหรือฆาตกรรมกันแน่ เพราะมีพิรุธหลายจุด รวมทั้งมีการให้การเท็จและทำลายพยานหลักฐานโดยคนบนเรือ
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย. นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน ซึ่งเป็น 1 ใน 5 คนที่อยู่บนเรือสปีดโบ๊ท ซึ่งก่อนหน้านี้อ้างว่า ตนนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ท้ายเรือ และแตงโมมาจับขาเพื่อปัสสาวะที่ท้ายเรือ ก่อนตกจากเรือ ได้เข้าพบตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา หลังถูกออกหมายจับในข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยก่อนหน้านี้ ตำรวจได้แจ้งข้อหาเพิ่มนายตนุภัทธ เลิศทวีวิทย์ หรือไฮโซปอ และนายไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์ หรือโรเบิร์ต อีก 2 ข้อหาเมื่อวันที่ 2 เม.ย. คือให้การเท็จเรื่องดื่มสุรา และทำลายหลักฐานขวดไวน์และแก้วที่ใช้ดื่มสุรา
วันต่อมา (4 เม.ย.) นายสิระ เจนจาคะอดีต ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งรับเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้ "กระติก" อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ ผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม ซึ่งเป็น 1 ใน 5 คนบนเรือสปีดโบ๊ท ได้พากระติกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาให้การเท็จ ที่ สภ.เมืองนนทบุรี
ทั้งนี้ นายสิระ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "วันนี้กระติกพบพนักงานสอบสวน ให้ปากคำรับสารภาพ
อย่างหมดเปลือก ทุกซอกทุกมุม เป็นประโยชน์กับรูปคดี และการทำงาน เป็นประโยชน์กับสังคม คนที่แสวงหาประโยชน์ด้านนี้จะได้ยุติสักที ส่วนผู้อื่นขอฝากไว้ด้วย อะไรที่ยังไม่พูดความจริง ก็ให้พูดความจริงเพราะหนีไม่พ้น น้องกระติกพูดไปหมดแล้ว หมดเปลือก สุดท้ายผู้ต้องหาจะรับผิดเอง ต้องรับกรรมติดคุกติดตะราง วันนี้กระติกได้พูดหมดแล้ว ถ้าคิดอะไรไม่ออก ขอแนะนำว่ามาปรึกษาผมก็ได้ ทั้ง 4 คนที่อยู่บนเรือ ถ้าเชื่อทนายอย่างเดียว สุดท้ายทนายก็ได้ค่าจ้างไป"
ด้านกระติก ชี้แจงว่า มีบางข่าวบอกว่าตนให้การกลับไปกลับมา ซึ่งไม่จริง ตนไม่ได้กลับไปกลับมา อะไรนึกได้ก็ให้การเพิ่มเติม “เรื่องฉี่ท้ายเรือตัดออกไปเลย เพราะไม่เห็นไม่เคยพูดตั้งแต่แรกด้วย เพราะไม่เห็น มีคนบอกมา คือแซนเป็นคนบอก เป็นพาร์ตของแซน เราไม่เคยให้การว่าเห็นด้วย”
ขณะที่นายสิระ กล่าวว่า รับสารภาพ แล้วแต่ความเมตตาของศาล เดี๋ยวพนักงานสอบสวนจะส่งให้อัยการ อัยการก็ฟ้อง สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากเรารับสารภาพก็ยอมรับทุกอย่าง
วันต่อมา (5 เม.ย.) พนักงานอัยการจังหวัดคดีศาลแขวงนนทบุรี ได้ประชุมพิจารณาคดีที่พนักงานสอบสวนส่งตัวกระติกให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องข้อหาให้การเท็จ ซึ่งผู้ต้องหาให้การสารภาพในชั้นสอบสวน โดยพนักงานอัยการประชุมพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า แม้คดีนี้พนักงานสอบสวนมีอำนาจนำผู้ต้องหามายังพนักงานอัยการเพื่อฟ้องศาลโดยมิต้องสอบสวนและให้ฟ้องด้วยวาจา ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 20 ก็ตาม
แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีสำคัญ ที่สังคม สื่อมวลชน ตลอดจนประชาชนให้ความสนใจ เพราะคดีนี้เป็นการกล่าวหาผู้ต้องหาที่ให้การกับพนักงานสอบสวน ซึ่งคดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตคนอื่นและข้อหาอื่นอีกอยู่ในเหตุการณ์ พนักงานอัยการฯ ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงอื่นๆ รวมทั้งเพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และคดีนี้เป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงที่ยุ่งยากและซับซ้อน แม้ผู้ต้องหาจะให้การรับสารภาพ แต่พนักงานอัยการจะไม่ยื่นฟ้องตามบันทึกคำให้การรับสารภาพของผู้ต้องหา โดยให้คืนตัวผู้ต้องหาพร้อมบันทึกคำให้การรับสารภาพ ให้พนักงานสอบสวนเพื่อทำการสอบสวนจนเสร็จสิ้นกระบวนการสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเสียก่อน และเมื่อทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป
2 วันต่อมา (7 เม.ย.) นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่ของแตงโม พร้อมด้วยนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ตามที่ตำรวจได้เรียกเข้าให้ปากคำเพิ่มเติม เพื่อนำไปประกอบสำนวนว่าจะมีการแจ้งข้อหาทำลายพยานหลักฐานกับกระติกเพิ่มเติมหรือไม่ เนื่องจากพนักงานสอบสวน พบว่า จากการตรวจสอบโทรศัพท์ของทั้ง 5 คน พบว่า มีการลบรูปภาพ และทำลายข้อมูลอีกหลายรายการออกไป ทำให้การดำเนินคดีหรือเอาผิดบุคคลอื่นๆ บนเรือหายไป และอาจมีความเป็นไปได้ที่ทุกคนบนเรือจะถูกดำเนินคดีในข้อหาทำลายพยานหลักฐาน เนื่องจากทั้งหมดมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ ซึ่งที่ผ่านมา มีเพียงนายนิทัศน์ กีรติสุทธิสาธร หรือจ๊อบ ถูกตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวเพียงคนเดียว
3. “แรมโบ้-จุรีพร” ประสานเสียงยันคลิปสนทนาหลุดปมโควต้าหวย-ยืมเงินแค่หยอกเล่น ด้าน “บิ๊กตู่” ยังให้โอกาส หลังเรียกแจง!
เมื่อวันที่ 3 เม.ย.เพจ ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้โพสต์คลิปเสียงที่มีการลือกันว่า เป็นเสียงของนักการเมืองคนหนึ่ง ที่พูดกับผู้หญิงคนหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องเงินและเรื่องโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยทนายษิทรา ระบุว่า ...เสียงในคลิปคล้ายแรมโบอีสาน และอีกคนแหล่งข่าวบอกว่าคือนักการเมืองพรรคเดียวกัน เนื้อหาคือใช้โควต้าลอตเตอรี่ของสลากกินแบ่งในทางที่แปลกๆ ผมรบกวนท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลช่วยตรวจสอบทีนะครับ...
โดยเนื้อหาในคลิปเสียง ฝ่ายชายระบุว่า คนรู้จักของตนทำธุรกิจเกี่ยวกับสลากออนไลน์ โดยบุคคลดังกล่าวได้นำเงินมาช่วยในช่วงที่มีการหาเสียงจำนวน 15 ล้าน ต่อมา มีการจับกุมหวยออนไลน์ ซึ่ง 1 ในนั้นเป็นบุคคลที่ตนเคยไปยืมเงิน จึงกังวลว่า บุคคลดังกล่าวจะขู่ทวงหนี้ ขณะที่เสียงฝ่ายหญิง ตอบบทสนทนาว่า ทราบเรื่องราวทั้งหมด เนื่องจากอยู่ด้วยกันระหว่างหาเสียงตลอด เดี๋ยวจะไปคุยกับบุคคลดังกล่าวให้ แต่พี่ต้องดูแลเรื่องลอตเตอรี่ให้นะ พี่ดูแลหนูด้วย ซึ่งฝ่ายชายระบุว่า พี่ดูแลอยู่แล้ว
ต่อมา ทนายษิทราเขียนในช่องแสดงความเห็นด้วยว่า “แรมโบ้อีสาน รับกับผมแล้วนะครับว่า คลิปเสียงจริง คุยกับ จุรีพร สินธุไพร เป็นการคุยเล่นกันเฉยๆ”
วันเดียวกัน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด พร้อมด้วยนางจุรีพร สินธุไพร ข้าราชการการเมืองประจำสำนักนายกฯ ได้เข้าพบตำรวจ สน.ดุสิต เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายกิ๊ก ไม่ทราบชื่อ-นามสกุล โดยระบุว่า นายกิ๊กเป็นผู้บันทึกเสียงการสนทนาระหว่างนายเสกสกลกับนางจุรีพร ก่อนจะถูกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์
นายเสกสกล กล่าวว่า มาแจ้งความดำเนินคดีกับคนตัดต่อคลิป และให้ปากคำเพิ่มเติมกับตำรวจ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ได้โทรศัพท์ติดต่อนางจุรีพร ซึ่งรู้จักกันมานานร่วม 20 ปี มีการพูดคุยกันทุกเรื่อง หยอกล้อกันมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องยืมเงิน ตนเป็นคนที่ชวนนางจุรีพรให้มาอยู่พรรคพลังประชารัฐ เหตุการณ์ในคลิปเสียง นางจุรีพร ได้สอบถามเรื่องโควต้าลอตเตอรี่ แต่ได้บอกไปว่า ไม่มีอำนาจในการให้โควต้าหวยใคร ต้องทำไปตามระบบ เพราะอำนาจเป็นของกองสลาก นับตั้งแต่ได้รับตำแหน่งประธานคณะทำงานเฉพาะกิจฯ ก็มีผู้คนเข้ามาขอโควต้าสิทธิสลากกินแบ่งฯ จำนวนมาก
นายเสกสกล ยังมองด้วยว่า สาเหตุที่มีการตัดต่อคลิปดังกล่าวเผยแพร่ มี 2 สาเหตุ คือเกมการเมือง และการแก้ไขปัญหาสลากกินแบ่งฯ ที่นายทุนเสียผลประโยชน์มูลค่านับหมื่นล้านบาท และว่า ก่อนหน้านี้ มีตัวแทนของบริษัทที่เคยเข้าไปจับกุม มาเจรจาผลประโยชน์ให้มากมายนับร้อยล้านบาท ซึ่งได้ปฏิเสธไป หากต้องการเงินจริง คงไม่ไปขอจากนางจุรีพร
ด้านนางจุรีพร กล่าวว่า ปกติแล้ว นายเสกสกลมักจะหยอกล้อตนตามปกติ และไม่มีความลับระหว่างกัน โดยเหตุดังกล่าวมาจากการที่นายเสกสกลใช้แอพลิเคชั่นไลน์โทรมาหยอกล้อว่า ขอยืมเงิน ซึ่งได้เปิดลำโพงระหว่างพูดคุย ส่วนที่ตนขอโควต้าสลากกินแบ่งฯ นั้น เป็นเพียงการหยอกล้อ ส่วนนายกิ๊กไม่ใช่คนสนิทของตน แต่เป็นคนรู้จักกับคนสนิทของตน วันเกิดเหตุไปทานอาหารกับครอบครัว ขณะที่พูดคุยกับนายเสกสกล ได้เปิดลำโพง แต่นายกิ๊กที่ติดตามมากับการ์ด ทำการบันทึกเสียง หลังเกิดเหตุได้ติดต่อนายกิ๊ก ให้มาพบ เพื่อสอบถามถึงการนำไปเผยแพร่ ซึ่งติดต่อได้แล้ว ขณะที่กำลังจะเข้าพบ กลับไม่ยอมเข้ามา และติดต่อไม่ได้ จึงได้มาลงบันทึกประจำวันเอาไว้
ต่อมา ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์กรณีคลิปเสียงนายเสกสกลว่า นายเสกสกลได้ชี้แจงไปแล้ว และได้เรียกมาสอบถามแล้วเช่นกัน โดยนายเสกสกลได้ชี้แจงถึงความจำเป็นที่เขาทำและพฤติกรรมที่ผ่านมาในอดีต ก็ขอให้ดูสิ่งที่เขาทำในวันนี้ และตนก็ให้โอกาสเขา และเขาก็ไม่ได้ทำคนเดียว คณะทำงานที่ตั้งขึ้นมา ทั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ผบ.ตร. รวมทั้งหน่วยงานอีกจำนวนมาก และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ต้องไปดูว่าประเด็นที่ทำนั้นทำเพื่ออะไร เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่ต้องการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาปกติ ก็ต้องไปดูว่าเกี่ยวพันกับอะไรบ้าง และผิดกฎหมายตรงไหน เพราะฉะนั้นเรื่องเก่ากับเรื่องใหม่ อย่าเพิ่งเอามาปนกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวหรือไม่ เพราะขณะนี้เกิดความไม่เชื่อมั่นในการแก้ปัญหาสลากแพง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่เชื่อมั่น ใครล่ะที่ไม่เชื่อมั่น ตอนนี้เมื่อเป็นเรื่องขึ้นมา ก็มีการชี้แจง กฎหมายก็เข้าไปตรวจสอบจริงหรือไม่ เขาแก้ปัญหากันอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ ก็ฟังทั้งสองทางสิ ในเรื่องของการบริหาร และถ้ามันผิดกฎหมาย ก็ไม่เอาใครไว้ทั้งนั้นแหละ”
4. “แทมป์ มังกรฟ้า” โวยตำรวจบุกรวบ ทำเกินกว่าเหตุ ยันตนไม่ผิด ด้านกองสลากตัดสิทธิผู้ค้ารายย่อยขายหวยให้มังกรฟ้ากว่า 9,000 ราย!
เมื่อวันที่ 6 เม.ย. พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภ.4 คณะทำงานชุดปฏิบัติการพิเศษฯ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการเข้าตรวจค้น 2 จุดใน จ.นนทบุรี เพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา โดยได้จับกุมนายพชรล์ เมสสิยาห์พร หรือแทมป์ อายุ 30 ปี และ น.ส.ปานรดา ไชยพุฒิธาดา อายุ 43 ปี กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท มังกรฟ้า ลอตเตอรี่ จำกัด
ก่อนแจ้งข้อกล่าวหา 4 ข้อ คือ 1.ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน 2.ร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยไม่ได้จดทะเบียนประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง 3.ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความอันเป็นเท็จ หรือความจริงที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค และ 4.ร่วมเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาล และยังไม่ได้ออกรางวัลเกินราคาที่กำหนด
ต่อมา นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความของนายพชรล์ ได้เดินทางที่ สภ.ชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี เพื่อประกันตัวนายพชรล์ ในวงเงิน 1 แสนบาท ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และว่า การออกหมายจับครั้งนี้ เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ และข้อหาที่แจ้งตามหมายจับเป็นข้อหากระจอก
นายอนันต์ชัย กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้ ตนนัดจะแถลงข่าวในวันเดี่ยวกันนี้ แต่ช่วงเช้าเจ้าหน้าที่บุกจับคุณแทมป์ก่อน ตนจึงมาประกันตัวคุณแทมป์ เพื่อเอาตัวคุณแทมป์ไปแถลงข่าว การที่ตำรวจมาเตะตัดขาตน มันผิดคนแล้ว
ต่อมา นายพชรล์และนายอนันต์ชัย ได้เปิดแถลงข่าวที่สำนักงานบริษัท มังกรฟ้า ถ.ราชพฤกษ์ อ.ปากเกร็ด โดยนายพชรล์ กล่าวว่า ได้แต่งตั้งนายอนันต์ชัยเป็นทนายว่าความในคดีดังกล่าว และว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้อธิบายให้เจ้าหน้าที่ฟังถึงวิธีการทำงานของแพลตฟอร์มมังกรฟ้า จากสลากฯ 100% ตนเพียงแค่ 2% เท่านั้น ทุกวันนี้แพลตฟอร์มของมังกรฟ้า มีรายได้ช่องทางเดียวจากค่าสแกน ได้กำไร 3-5 บาทต่อ 1 ใบ เท่านั้น และยืนยันมาตลอดว่า ตนเป็นเพียงเจ้าของแพลตฟอร์มเท่านั้น เหมือนเจ้าของตลาดที่พ่อค้ามาเช่าแผงขายเท่านั้น
นายพชรล์ ยังกล่าวด้วยว่า “ผมมองว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการทำเกินกว่าเหตุ ที่มีการพูดว่าผมติดสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ยศใหญ่ ขอตอบว่าไม่จริง ผมไม่เคยจ่ายสินบนให้ใคร เพราะหากทำแบบนั้นก็เหมือนกับผมทำความผิดจริง จนต้องจ่ายเงินเพื่อปกปิดความผิดดังกล่าว และผมยังไม่รู้จักนักการเมืองคนไหนเลย แม้แต่คุณแรมโบ้ ผมก็ไม่รู้จัก ผมรู้สึกว่าเหมือนถูกกลั่นแกล้งมากกว่า”
ขณะที่นายอนันต์ชัย กล่าวว่า จะทำหนังสือคัดค้านยื่นไปที่ศาลอาญา หลังจากนี้จะต่อสู้คดีไปตามพยานหลักฐาน ถ้าแพลตฟอร์มมังกรฟ้าถูกปิด แต่แพลตฟอร์มอื่นไม่ถูกปิด หลังจากนี้คอยดูว่า จะมีการฟ้องร้องกลับหาใครบ้าง มังกรฟ้าไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นต้นเหตุการทำให้สลากแพง และไม่ได้กักตุนสลากอย่างที่เป็นข่าว ขอกราบเรียนไปถึงนายเสกสกล และนายกฯ ที่ตนรับว่าความไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเมือง หากปิดแพลตฟอร์มมังกรฟ้าได้ ก็ต้องปิดแพลตฟอร์มอื่นด้วย ถ้าไม่ดำเนินการ จะดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 157
ด้านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะหัวหน้าชุดเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาขายสลากเกินราคาฯ ได้เดินทางไปที่ สภ.ชัยพฤกษ์ เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงาน พร้อมยืนยันว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับผู้กระทำผิดและเข้าตรวจค้น ไม่ได้เป็นการกลบเกลื่อนเรื่องคลิปเสียงที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ แต่เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานหลังจากที่เคยเข้าไปตรวจค้นสำนักงานมังกรฟ้าเมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา จนนำไปสู่การจับกุมในวันเดียวกันนี้
นายเสกสกล ยังมั่นใจในพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ว่าจะสามารถเอาผิดผู้กระทำผิดได้ พร้อมยืนยันว่า การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จะนำไปสู่การแก้ไขปัยหาการขายสลากเกินราคาได้ โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการอย่างจริงจังกับแพลตฟอร์มเจ้าอื่นๆ ทุกราย เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติ
ด้าน พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เผยว่า หลังตรวจสอบหลักฐานแล้วพบว่า มีบุคคลที่มีโควต้าสลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับมังกรฟ้า เป็นโควต้าสลากรายย่อยกว่า 7,600 ราย องค์กรการกุศล 181 องค์กร (ที่นำไปจัดสรรให้กับสมาชิกในองค์กร) รวมแล้วกว่า 9,000 ราย ที่เราตัดสิทธิ จะมีผลในวันที่ 15 พ.ค.นี้
พ.ท.หนุน กล่าวยืนยันด้วยว่า “เป็นสิ่งที่สำนักงานสลากฯ จำเป็นต้องทำ เพราะว่ามันเป็นความผิดที่ชัดแจ้ง หลังได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นความผิดในเรื่องการขายส่ง ทางสำนักงานสลากฯ ได้ระบุไว้ในสัญญาอย่างชัดเจนว่า เมื่อรับสลากไปแล้ว ต้องนำไปขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ห้ามไปขายส่งหรือขายต่อให้ใคร หรือเอาไปขายในแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของตน เพราะทำให้กลไกราคาของสลากสูงขึ้น หลายคนสงสัยว่า ทำไมถึงไม่ถูกตัดสิทธิทันทีก่อนหน้านี้ เพราะทางสำนักงานสลากฯ ได้จัดส่งสลากไปก่อนหน้าแล้ว จึงไม่สามารถตัดสิทธิได้”
5. สปสช.จับมือสภาเภสัชฯ-700 ร้านยา บริการ "เจอ แจก จบ" ผู้ป่วยโควิดสีเขียว เพื่อเข้าถึงยารวดเร็ว-ลดแออัดติดต่อ รพ.!
เมื่อวันที่ 6 เม.ย. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เผยว่า ขณะนี้ยังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวหรือมีอาการเล็กน้อย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปรับแนวทางรักษาเป็นแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน (OPSI) หรือ เจอ แจก จบ ในสถานพยาบาลต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้ารับบริการ โดยเฉพาะหน่วยบริการใกล้บ้าน สปสช.ได้ร่วมกับสภาเภสัชกรรม เชิญชวนร้านยาที่มีความพร้อมบริการเพื่อร่วมดูแลผู้ติดเชื้อโควิดที่ไม่มีภาวะเสี่ยงตามที่ สธ.กำหนดเป็นหน่วยบริการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้รวดเร็ว
นพ.จเด็จ กล่าวว่า ผู้ที่ตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีดติดเชื้อโควิดที่มีอาการเล็กน้อยและไม่มีภาวะเสี่ยงตามที่ สธ.กำหนด สามารถรับยาสำหรับดูแลอาการเบื้องต้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ โดยร้านยาจะรับค่าใช้จ่ายกรณีบริการทางเภสัชกรรมในการดูแลผู้ติดเชื้อโควิดตามหลักเกณฑ์ของ สปสช.ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นการจ่ายแบบเหมาจ่ายในอัตรา 700 บาทต่อราย ครอบคลุมบริการ ดังนี้ 1.บริการให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวในการแยกกักตัวที่บ้าน 2.ค่ายาฟ้าทะลายโจรและยาพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด รวมค่าบริการจ่ายยากรณีที่แพทย์สั่งจ่ายเฉพาะในการดูแลผู้ติดเชื้อโควิดที่จำเป็นต้องได้รับตามมาตรฐานที่ สธ.กำหนด โดยรวมค่าจัดส่งยา 3.ค่าบริการให้คำปรึกษา แนะนำการใช้ยา และติดตามอาการผู้ติดเชื้อเมื่อครบ 48 ชั่วโมงแรก และ 4.การจัดระบบส่งต่อเมื่อผู้ติดเชื้อโควิดมีอาการเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องส่งต่อ
นอกจากนี้ ยังมีการจ่ายเพิ่มเติมแบบเหมาจ่ายในอัตรา 150 บาท สำหรับการให้คำปรึกษาหรือการดูแลรักษาเบื้องต้น เมื่อผู้ติดเชื้อมีอาการเปลี่ยนแปลงและผู้ติดเชื้อโควิดได้ติดต่อกลับร้านยา เพื่อขอรับคำปรึกษาหลังให้การดูแลครบ 48 ชั่วโมงแล้ว โดยก่อนให้บริการจะมีการพิสูจน์ตัวตนของผู้รับบริการเพื่อยืนยันการเข้ารับบริการ และบันทึกข้อมูลการให้บริการผ่านโปรแกรม AMED Telehealth ระบบบริการการแพทย์ทางไกล ปัจจุบันมีร้านยาทั่วประเทศเข้าร่วมแล้วกว่า 700 แห่ง ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการกับ สปสช.แล้ว 440 แห่ง ที่เหลืออยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาได้ที่เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/downloads/197
ภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่ 2 กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่แสดงอาการหรืออาการไม่รุนแรง หากเข้าไปรับบริการแบบผู้ป่วยนอกที่ รพ. อาจจะทำให้เกิดความแออัดได้ สภาเภสัชกรรมจึงร่วมกับ สปสช. จัดทำหลักเกณฑ์เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มารับยาและคำแนะนำต่างๆ โดยเภสัชกรที่ร้านยาได้ โดยต้องเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี ไม่ใช่หญิงตั้งครรภ์ ไม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่มีโรคประจำตัว และมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรค เช่น มีภาวะอ้วน เป็นต้น หากไม่เข้าเกณฑ์เหล่านี้สามารถโทรติดต่อหรือมาที่ร้านยา สแกน QR code เพื่อยืนยันตัวตนตามระบบของ สปสช. แล้วรับยาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ร้านยาจะจัดเซ็ตยาสำหรับรักษาตามอาการส่งให้ที่บ้าน เช่น ฟ้าทะลายโจร พาราเซตามอล ยาแก้ไอ ละลายเสมหะ ตลอดจนเกลือแร่สำหรับกรณีมีอาการท้องเสีย จากนั้นจะติดตามอาการไปอีก 48 ชั่วโมง และหากอาการรุนแรงมากขึ้นก็จะส่งต่อผู้ป่วยเข้าระบบเพื่อให้แพทย์รับช่วงดูแลต่อ
ภก.ปรีชา กล่าวอีกว่า "ขณะนี้มีร้านยาเข้าร่วมให้บริการประมาณ 700 แห่งทั่วประเทศ ผู้ใช้สิทธิบัตรทองสามารถสังเกตสติกเกอร์ที่หน้าร้านยา จะมีข้อความว่า "สถานบริการเภสัชกรรมชุมชน" และบรรทัดล่างจะเขียนว่า "เครือข่ายเภสัชกรอาสาปรึกษาโควิดผ่านระบบเภสัชกรรมทางไกล" ขอให้มั่นใจว่าจะได้รับการบริการที่ได้มาตรฐาน เภสัชกรเป็นบุคลกรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องยา คุ้นเคยกับอาการของโรคอย่างมาก สามารถให้บริการผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงหรือไม่แสดงอาการได้เป็นอย่างดี"
ภก.ปรีชา กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันร้านยาในโครงการสามารถให้บริการได้เฉพาะสิทธิบัตรทอง ข้าราชการ และพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังไม่รวมผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ดังนั้น จึงขอเชิญชวนไปยังสำนักงานประกันสังคมอำนวยความสะดวกและเพิ่มการเข้าถึงบริการแก่ผู้ประกันตน สามารถติดต่อมาที่สภาเภสัชกรรมเพื่อหารือแนวทางการร่วมมือกันต่อไปได้