“รสนา” ลั่นหยุดโกงได้ กทม.เปลี่ยนแน่นอน ตั้งเป้าเริ่มต้น 20% แค่นี้ก็เหลือเงินไปเพิ่มเบี้ยผู้สูงวัยจากเดือนละ 800 เป็น 3,000 บาท ชูนโยบายเลิกไล่จับผู้ค้าแผงลอย พร้อมหาพื้นที่ที่เหมาะสมให้ด้วย
วันที่ 4 เม.ย. 2565 น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 7 ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “นิวส์วัน”
โดย น.ส.รสนา ได้กล่าวว่า ลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในนามอิสระ เพื่อจะได้เข้าไปรักษาประโยชน์ของประชาชน ตนไม่เคยเป็นนอมินีของใคร หรือพรรคการเมืองใด แต่ถ้าจะเป็นนอมินีตนจะเป็นนอมินีของประชาชน
หลายคนคิดว่าการตรวจสอบทุจริตเป็นเรื่องของการตรวจสอบ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นงานบริหาร ในสมัยที่ตนเป็น ส.ว.กทม. ตนได้รับเลือกจากประชาชน 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 49 ตอนนั้น ส.ว. ใน กทม. มี 18 คน ตนได้คะแนนเป็นอันดับ 4 แต่ถูกรัฐประหารไป หลังจากนั้น ปี 51 เลือกตั้ง ส.ว. จังหวัดละ 1 คน ตนก็ได้รับความไว้วางใจจากชาว กทม.ว่า เราได้รักษาผลประโยชน์ของประชาชน แล้วก็ได้รับเลือกมาด้วยคะแนนที่สูงสุดในประเทศ ตนจดจำคะแนนเหล่านี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องการคือจะทำงานต่อให้กับ กทม.
“ถ้ามีการหยุดโกง กทม.เปลี่ยนแน่นอน แล้วถ้าหยุดการโกงจาก กทม.ไปสู่การหยุดโกงทั้งประเทศ ประเทศไทยเปลี่ยนแน่นอน” น.ส.รสนา ระบุ
น.ส.รสนา กล่าวอีกว่า ตนคิดว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ กทม. คือ เรื่องความเหลื่อมล้ำ ซึ่งออกมาในหลายๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะถนนที่ปลอดภัย ถนนที่เหมาะสมกับผู้พิการ และเวลานี้เรากำลังจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ เพราะฉะนั้นการคิดถึงเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นเรื่องที่สำคัญมากอันหนึ่ง
ในช่วงที่อยู่กับโควิด 3 ปี คนตกงานเยอะแล้วก็ส่งผลกระทบไปถึงคนรายได้น้อย วันก่อนตนไปวัดกัลยาได้พบคุณยายท่านหนึ่งมานั่งขอทาน คนสูงอายุได้เงินจากหลวงเดือนละ 800 บาท แต่ต้องเช่าบ้านในราคา 1,500 บาท ประเทศไทยมันไม่ควรที่จะต้องมีสภาพแบบนี้
ตนได้ให้ทีมงานศึกษาในเรื่องบำนาญประชาชน 3,000 บาท ทำได้ก่อนที่ กทม. แม้ว่ารัฐบาลจะไม่สนับสนุน ถ้าเราลดการโกงลงไปได้เพียง 20% จะมีเงินเหลือ
รายละเอียดเรื่องของตัวเลข คนสูงอายุใน กทม.มีอยู่ 1.1 ล้านคน ถ้าเราหักคนสูงอายุที่เป็นข้าราชการที่มีบำนาญ หักผู้สูงอายุที่มีรายได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยเบี้ยผู้สูงอายุ เราจะมีผู้สูงอายุอยู่ประมาณ 5.33 แสนคน ถ้าต้องการเพิ่มเงินจาก 800 บาทเป็น 3,000 บาท จะใช้เงินทั้งสิ้นราว 14,600 กว่าล้านบาท เท่านั้นเอง
เรามีข้อมูลว่า กทม.มีเรื่องของการจ่ายเงินใต้โต๊ะ ตั้งแต่ 20-35% ตนมีเจตนารมณ์เลยว่าจะลดการรับเงินใต้โต๊ะให้ได้ 20% ถ้าเราดูงบประมาณของปี 65 จะอยู่ที่ราว 8 หมื่นล้านบาท ถ้าตัดงบส่วนที่เป็นงบเงินเดือน งบค่าใช้จ่าย ที่เป็นเรื่องของข้าราชการประจำออกไป แล้วเรามาดูงบการใช้สอยที่เหลืออยู่ประมาณ 4 หมื่นกว่าล้าน แล้วก็เราก็จะหารายได้เพิ่ม จากเวลานี้ขยะของเราถือว่าเป็นทรัพย์สิน แต่ทำไมจึงต้องใช้เงินปีละหลายพันล้านในการกำจัด ซึ่งคิดว่าถ้าให้มีกระบวนการแยกขยะอาหารออกจากขยะแห้ง เราจะสามารถสร้างรายได้แล้วก็ลดรายจ่าย
น.ส.รสนา กล่าวต่อว่า เราต้องเปิดโอกาสให้คนเล็กคนน้อย มีนโยบายเลิกไล่จับผู้ค้าแผงลอย ส่วนในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เราจะจัดหาพื้นที่ให้ด้วย แล้วก็จะสานต่องานของ พลตรี จำลอง ศรีเมือง อดีตผู้ว่า กทม. ท่านเป็นคนริเริ่มรถไฟฟ้า โดยต้องการให้ 15 บาทตลอดสาย ซึ่งตนคิดว่าตอนนี้สามารถทำราคา 20 บาทตลอดสายได้