นพ.เฉลิมชัย รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เผยถ้าประเทศใดคุมสถานการณ์ได้ดีจากสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่งเริ่มเป็นขาลงแล้ว เช่นที่แอฟริกาใต้ อาจจะได้เห็นการเพิ่มของผู้ติดเชื้อเป็นพีกที่สองในระลอกเดียวกันจากสายพันธุ์ย่อยที่สอง ชี้ต้องใช้ความสามารถสมดุลมิติเศรษฐกิจกับสาธารณสุขให้ดี
วันที่ 2 ก.พ. เฟซบุ๊ก "Chalermchai Boonyaleepun" หรือ นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความระบุว่า "โควิดระลอกใหม่นี้อาจเกิดเป็น 2 พีก เหตุจากสายพันธุ์ย่อย BA.2 จากข้อมูลการระบาดของโควิดในช่วงที่ผ่านมาของประเทศไทยเราเองก็อยู่ในทำนองเดียวกับของโลก คือในแต่ละระลอกหรือเวฟ มักจะมีเพียงหนึ่งพีกหรือหนึ่งจุดสูงสุด
ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ได้แก่
1) ระลอกที่หนึ่ง ม.ค.-พ.ค. 2563 เป็นไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่น
2) ระลอกที่สอง ธ.ค. 2563-มี.ค. 2564 เป็นไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่น
3) ระลอกที่สาม เม.ย.-ธ.ค. 2564 เป็นไวรัสสายพันธุ์อัลฟาตามด้วยเดลตา
4) ระลอกที่สี่หรือระลอกใหม่ เริ่มต้นเมื่อ 1 ม.ค. 2565 เป็นไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน
เนื่องจากการระบาดในอดีต แต่ละระลอกไวรัสแต่ละสายพันธุ์นั้น แม้จะมีสายพันธุ์ย่อยอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ผู้ติดเชื้อในแต่ละระลอกจึงมีจุดสูงสุดหรือพีกเพียงพีกเดียวเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับไวรัสโอมิครอนพบว่าสายพันธุ์ย่อยที่สอง (BA.2) แพร่เร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง (BA.1) มากถึง 50%
ทำให้เริ่มสังเกตเห็นลักษณะการติดเชื้อที่ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งพบสายพันธุ์ย่อยที่สองมากขึ้น และได้แซงหน้าสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง ในจังหวะที่จำนวนผู้ติดเชื้อจากสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่งเริ่มลดลง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดพีกที่สองจาก BA.2 ได้ ลักษณะเช่นเดียวกันกับที่เดนมาร์กก็มีสายพันธุ์ BA.2 เป็นหลักแล้ว
ดังนั้น ถ้าประเทศใดที่การระบาดของโอมิครอนยังไม่ถึงพีก แม้มีสายพันธุ์ย่อยที่สองเข้ามาเป็นสายพันธุ์เด่น ก็จะเดินหน้าขึ้นเป็นพีกเดียว แต่เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ขึ้นสูงกว่าสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง แต่ถ้าประเทศใดที่สามารถคุมสถานการณ์ได้ดีจากสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง ทำให้มีการชะลอตัวหรือเริ่มเป็นขาลงแล้ว เช่นที่แอฟริกาใต้ อาจจะได้เห็นการเพิ่มของผู้ติดเชื้อเป็นพีกที่สองในระลอกเดียวกันจากสายพันธุ์ย่อยที่สอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีจังหวะการผ่อนคลายในการควบคุมโรค ทั้งจากภาครัฐและภาคประชาชน ที่อาจจะเร็วเกินไป หรือมากเกินไป เมื่อพบสายพันธุ์ย่อยที่สองเข้าก็อาจจะทำให้เกิดพีกใหม่ได้ เป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีมาตรการผ่อนคลายลงเพื่อให้มิติทางเศรษฐกิจและสังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยได้รับผลกระทบที่ไม่มากนัก แต่จังหวะเวลาและระดับของการผ่อนคลายเป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความสามารถอย่างมาก ต้องทำได้ถูกจังหวะเวลา พอเหมาะพอดีกับไวรัส จึงจะได้ผลดีแบบสมดุลระหว่างมิติเศรษฐกิจและสังคม กับมิติทางด้านสาธารณสุข"
คลิกโพสต์ต้นฉบับ