คำต่อคำ "ไพรวัลย์" อดีตพระนักเทศน์เปิดใจกระแสโซเชียลฯ แอนตี้จัดรายการ "นินทาประเทศไทย" ของเพจน้าเน็ก ก่อนเดินออกจากรายการ ระบุ คนเรามีสิทธิจะคิดยังไงก็ได้ แต่ผมเป็นผมที่ชัดเจน เป็นพระยังไงฆราวาสแบบนั้น ถามกลับคนตามสามล้าน ต้องใช้ชีวิตยังไงคนถึงจะถูกใจ เคารพทุกการเลิกติดตามแต่ขอรักษาพื้นที่ส่วนตัวสำหรับคนที่สนใจแค่นั้น
เมื่อวันที่ 28 ม.ค. รายการออนไลน์ที่ชื่อว่า นินทาประเทศไทย ทางเฟซบุ๊กเพจ Nanake 555 ดำเนินรายการโดย น้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา, ดีเจหมึก วิโรจน์ ควันธรรม, ได๋ ไดอาน่า จงจินตนาการ และ ทิดเอก ไพรวัลย์ วรรณบุตร อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง ได้ออกมาเปิดใจกรณีที่ชาวเน็ตพากันแอนตี้ ก่อนที่จะประกาศยุติบทบาทกลางรายการ หลังจากที่ผ่านมา มีคอมเมนต์จากผู้ชมทางบ้านให้เอานายไพรวัลย์ออกจากรายการ โดยหลังจากที่ได้โพสต์ภาพโปรโมตรายการมีเสียงวิจารณ์กว่า 4,500 ความคิดเห็น ประเด็นส่วนใหญ่ถ้าไม่ตัดเรื่องด่าอย่างใช้อารมณ์หรือถ่มถุย ส่วนมากผิดหวัง รู้สึกหมดศรัทธา และตกใจในจุดยืนของอดีตพระมหาไพรวัลย์ เริ่มแรกชื่นชอบในความเป็นพระสงฆ์หัวก้าวหน้า เป็นปากเป็นเสียงคนรุ่นใหม่ มีวิธีการถ่ายทอดธรรมะแตกต่างจากที่สัมผัสมา และเรื่องราวเกี่ยวกับวงการสงฆ์พูดไม่ถนัดในเครื่องแบบผ้าเหลือง แต่วันนี้กลับมีคอนเทนต์ที่เปลี่ยนไป ผู้คนก็เลยรู้สึกไม่โอเคหลายอย่าง
เมื่อถามว่า คิดยังไงกับเสียงวิจารณ์กว่า 4,500 ความเห็น นายไพรวัลย์ กล่าวว่า ผมมองว่าคนอื่นมีสิทธิที่จะมองผมในแบบไหนก็ได้ ในมิติไหนก็ได้ ผมรู้สึกว่าคนมีสิทธิ์ที่จะคาดหวังผมในมิติไหนก็ได้ ในมุมมองแบบไหนก็ได้ อยากจะให้ผมเป็นอะไรก็ได้ แต่ในชีวิตนี้จะมีคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าผมเป็นยังไง นั่นก็คือตัวผมเอง ตั้งแต่สมัยผมเป็นพระ ผมเช็กเฟซบุ๊ก ผมสมัครเพจมา ผมแสดงอัตลักษณ์และความเป็นตัวตนของผมชัดเจนมาก ถ้าใครเคยติดตามผมตั้งแต่ยุคแรกๆ เพจผมไม่ได้มีไว้สำหรับการคอลเอาต์อย่างเดียว การพูดประเด็นสาธารณะ การพูดเรื่องสังคม ศาสนา การเมือง หลายครั้งผมเป็นคนที่ฮามาก โจ๊กมาก เป็นพระที่หลายคนมองว่าไม่เป็นพระด้วยซ้ำ ผมก็ถูกด่าบ่อย ผมไม่ใช่พระในอุดมคติของคนที่คาดหวังว่าพระควรจะเป็นยังงี้มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยผมเป็นพระแล้ว ฉะนั้นข้อหาหรือสิ่งที่คนกำลังพูดถึงผมตอนนี้ว่า สึกออกมาแล้วเหมือนไม่ได้อะไรเลย อะไรประมาณนี้ 18 ปีไม่มีอะไรเลย หรือไม่เหมือนคนเคยบวชมาเลย หรือผิดหวังในความเป็นพระ ผมว่าถ้าเขาจะผิดหวังควรผิดหวังตั้งแต่ตอนนั้น เพราะผมก็ชัดตั้งแต่ตอนนั้นว่า ผมมันคนอินดี้ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในคอนโทรลของใคร เรื่องไหนถ้าผมอยากพูด ผมพูดเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่มีคนบอกว่า มึงต้องพูด กูไม่พูด ผมจะชัดอย่างนี้ ถ้าบอกให้กูพูด กูไม่พูด แต่ถ้ากูเห็นสมควรว่ากูจะพูด หรือมีประเด็นให้พูด ผมจะพูด ผมจะเป็นคนอย่างนี้ตลอด
จากนั้น น้าเน็กก็อ่านคอมเมนต์จากทางบ้านที่ว่า เอาไพรวัลย์ก็ลาก่อนครับน้า คนแบบนี้มีค่าอะไรให้น่าเชื่อถืออีก ตอนเป็นพระสอนคนอื่น เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต แต่พอสึกออกมาที่สอนคนเป็นล้าน เป็นพระนักเทศน์เบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย กลับกลายเป็นแค่คนปากจัดธรรมดาคนหนึ่ง เดี๋ยวแฟนคลับพี่แกก็จะมาบอกว่า ก็ตอนนั้นเป็นพระแต่ตอนนี้เป็นคนธรรมดา เขาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาปกติสิ แต่อย่าลืมว่า ตอนไพรวัลย์เทศน์นั้นสอนคนปกติธรรมดา ไม่ใช่เทศน์สอนพระสอนเณร ฝากไปบอกด้วยว่า ยังไม่เคยใช้ชีวิตทีหลังอย่าสะเออะไปสอนคนอื่น ผมบอกพี่แกไม่ได้เพราะโดนแบน หวังว่าจะไม่โดนแบนจากน้าเน็ก อีกความเห็นเรียกว่า คุณแพรวัลย์ ถ้าเธอจะเป็นคนสอนสังคม พูดถึงสังคม จะเป็นคนสาธารณะ จะเป็นอินฟลูเอนเซอร์ แล้วเอาคนอวยอย่างเดียว พอคนเมนต์ไม่ถูกใจก็ลบก็บล็อก เธอควรคิดใหม่ดีๆ เธออยากจะออกมาแรด เสริมนม ใส่กี (ผ่าตัดแปลงเพศ) มันก็ชีวิตเธอ ไม่มีใครไปยุ่งหรอก แต่พอคนพูดความจริงแล้วเธอกลับไม่รับฟังแล้วบล็อก เธออย่ามาทำรายการพูดถึงสังคมเลย ถ้าแค่พูดถึงตัวเองก็ยังไม่ได้ อีกอันหนึ่ง พูดแล้วเปลี่ยนไป ชอบหัวเราะ ใช้อารมณ์นั้นเฉยๆ มองว่าสิทธิจะพึงทำจริงๆ แต่การบล็อกคอมเมนต์ที่เห็นต่างหรือที่ด่าก็ตาม มันเป็นการเซ็นเซอร์ข้อเท็จจริงที่คนมาตามที่หลังเขาจะไม่ได้รับรู้ จะเห็นแต่ภาพดีๆ เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพ รักปลอมๆ โดยบางทีไม่รู้ตัวด้วย ก็อาจคิดสั้นๆ ว่าฉันมีสิทธิบล็อกที่ไม่ชอบ แต่ลืมคิดไหมว่าการลบความเห็นหรือการเซ็นเซอร์มันคือการลบประวัติศาสตร์หรือการไม่ยอมรับการนิมิตขึ้นในทางวิชาการ ถือว่าแย่มากๆ
นายไพรวัลย์ กล่าวว่า ถ้าเราจะตัดสินใครสักคนหนึ่งว่าไม่เคยใช้ชีวิต คิดอย่างนี้แคบมาก คนไม่ว่าจะอยู่ในมิติไหน เขาผ่านการใช้ชีวิต เป็นพระก็ผ่านการใช้ชีวิต เป็นพระก็เจอโลก เจอสังคมแบบพระ ไม่ใช่ว่าเป็นฆราวาสจึงผ่านการใช้ชีวิต ผมจะพูดเสมอว่าสังคมพระบางทีเลวร้ายกว่าสังคมฆราวาสอีก มีเรื่องแยกยศศักดิ์กัน อะไรกันในวัด แย่งตำแหน่งกัน มันมีหมด ทุกคนผ่านการใช้ชีวิต อย่าไปตีตราว่าคุณคนเดียวคือคนที่ใช้ชีวิต คนอื่นไม่ใช้ชีวิต ผมว่าพูดอย่างนั้นมันก็ไม่แฟร์กับผมเท่าไหร่ และถ้าใครตามผมจริงจะรู้ว่า ผมไม่ได้เพิ่งปากจัด ผมเป็นพระผมก็ปากจัด มีคนแคปผมไปด่าเยอะแยะไป วันแรกที่สึกผมก็บอกว่าอย่ามาสาระแน ผมก็พูดอย่างนี้ เพราะผมรู้สึกว่า แล้วมันจะเป็นคำพูดที่พูดอยู่นั่นแหละ พูดอยู่เรื่อยๆ จนผมรู้สึกว่า ยุ่งอะไรกับชีวิตฉัน ถึงเวลาฉันไปเอง ไม่ต้องมาผมใช้คำว่าสาระแนด้วยซ้ำ ผมเป็นพระปากจัด อยู่เป็นพระผมก็ปากจัด ไม่ใช่เพิ่งปากจัด ผมเป็นผมที่ชัดเจน ผมจะย้ำอีกครั้งว่าผมเป็นผมที่ชัดเจน ตอนเป็นพระผมชัดเจนยังไง ตอนนี้ผมก็ชัดเจนอย่างนั้น ไม่ได้เคยเปลี่ยน ไม่ได้เปลี่ยน ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนในความเป็นตัวผม
ประการต่อมา นักวิชาการบางคนที่บอกว่าตัวเองหัวก้าวหน้าสุดๆ ก็รับแต่คอมเมนต์ที่เห็นด้วยกัน บล็อกคนเห็นต่างกัน ผมไม่อยากเอ่ยชื่อว่าคนนั้นคือใคร ดูเหมือนเป็นคนหัวก้าวหน้ามาก เป็นผู้นำทางความคิด มีอิทธิพลทางความคิดเช่นเดียวกันกับผม ผมรู้สึกว่าพื้นที่เพจเป็นพื้นที่ของผม ผมจะจัดสรรพื้นที่ของการพูดคุย ของการแลกเปลี่ยนยังไงก็ได้ตามที่ผมเห็นสมควร แต่ผมถามก่อนว่าการที่ผมบล็อกใครสักคนนั้นผิด เขาไม่สามารถด่าผมบนแพลตฟอร์มหรือพื้นที่อื่นๆ ได้เหรอ เขาก็เสียบผมในที่อื่น บางเพจเอาผมไปตัดต่อล้อเลียนโน่นนี่นั่นสนุกสนานเลย ตัดบางอันไปติ๊กต็อก ผมก็เห็นมีคนส่งมาให้ผมดู ผมไปตามจัดการคนนั้นในพื้นที่อื่นเหรอ ไม่ ผมแค่รู้สึกว่านี่คือบ้านผม เพจก็คือบ้านผม ผมจะเปิดให้คนโน้นคนนี้เข้ามา แต่มันคือพื้นที่ของผม ผมบล็อกคุณ คุณก็ด่าผมบนเพจคุณก็ได้ หรือคุณจะตามด่าในเพจน้าเน็กก็ยังได้เลย ตอนนี้เข้ามาด่า คอมเมนต์ด่าก็ยังได้เลย (แสดงว่าเชื่อว่ามีสิทธิที่จะทำอย่างนั้น) ผมคิดว่าผมมีสิทธิที่จะทำอย่างนั้น
เมื่อน้าเน็กถามว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่โดนโจมตี มีกระแสในทางลบ ถ้าวิเคราะห์สิ่งที่้เกิดขึ้นว่าทำไมอยู่ๆ คนรู้สึกไม่โอเค คิดว่าเป็นเพราะอะไร นายไพรวัลย์ กล่าวว่า ผมให้คำตอบกับคนทุกคนไม่ได้ แต่ทุกครั้งถ้าผมจะทำอะไร ผมจะให้คำตอบกับตัวผมเอง ผมทำอะไร พูดอะไรออกไปตอนไหนบ้าง ผมคือคนที่รู้ เหมือนคนบอกผมไม่พูดเลย ผมออกมาเห็นบอกจัดหนักไม่จัดหนัก ผมรู้ ผมออกมา ผมพูดแล้วผมโดนอะไรบ้าง โดนคนไปร้องเรียนว่าหมิ่นคณะสงฆ์โน่นนี่นั่น ผมก็โดน ผมก็ใช้โอกาสของผมเท่าที่มี ในเวลาที่เหมาะสม ในการพูดประเด็นที่สาธารณะ จะให้ผมพูดมั่วซั่วสุ่มสี่สุ่มหน้าไม่ได้ ผมจะใช้ชีวิตตามความพอใจของใครจึงจะถูกใจใคร คนตามเพจผม 3 ล้าน ผมจะใช้จัดสรรชีวิตผมยังไงจึงจะถูกใจคน 3 ล้าน ไม่มีทางเป็นไปได้ ฉะนั้นการเป็นตัวผมจึงพูดเสมอว่า การเป็นตัวผมน้อยที่สุดกว่าการเป็นอย่างอื่น ผมจึงเลิกเป็นอย่างนี้ ใครจะด่าผมก็ด่า เดี๋ยวผมกลับไปผมก็จะกินข้าวไลฟ์สดอยู่ คุณไม่พอใจคุณก็อันฟอลโลว์ไป แต่ไม่ใช่ไม่เข้าใจก็ยังมาด่าอยู่ ก็ยังมาตามบูลลี่อยู่ ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะต้องทำยังไง
"ผมไม่เคยตอบว่าผมทำอะไรผิดไป แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำ ต่อให้ผมคอลเอาต์หรือผมทำอะไร สิ่งที่ผมทำทุกอย่างบนพื้นที่ของผม บนเพจ ไม่ได้กระทบสิทธิใคร หรือไม่ได้ไปทำให้ชีวิตใครเกิดความไม่สงบสุข หรือไม่เรียบร้อยในการใช้ชีวิต ผมรู้สึกว่าอย่างนั้น ไม่ชอบผมแล้วไง ไม่ชอบผมแล้วต้อง เฮ้ย จัดการมันเลย ให้มันจมธรณีไปเลย อย่างนี้หรือเปล่า ผมไม่รู้ว่าต้องอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าจะให้ผมเปลี่ยนแล้วแบบ เฮ้ย กระแสสังคมว่าอย่างนี้ ถ้างั้นก็ตามใจสังคม ผมไม่ทำแน่นอน" นายไพรวัลย์ ระบุ
เมื่อน้าเน็กถามว่า ในแง่ของคนที่ผิดหวังกับแนวทางที่เปลี่ยนไป มีคนบอกว่าก็เข้าใจว่าเป็นชีวิตคุณ คุณก็แสดงออกทุกอย่าง ถ้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ฟอลฯ (ติดตาม) หรือเปล่า นายไพรวัลย์กล่าวว่า ผมว่าคนฟอลฯ ผม แน่นอนเพราะคาดหวังว่าผมคอลเอาต์ ผมพูดเรื่องสาธารณะ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ฟอลผมเพราะผมเป็นแบบนั้น ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับผมบ้าง มีคนจำนวนไม่น้อยที่ฟอลผมเพราะเห็นความตลกขบขันในตัวผม เห็นความอารมณ์ดี เห็นเสียงหัวเราะ เห็นกิจกรรมอื่นๆ ที่ผมทำ ก็ต้องมีเหมือนกัน ผมก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้นโดยที่สุดแล้วก็ต้องแล้วแต่ ถ้าผิดหวัง โอเค กูเคยตามมึงเพราะกูคิดว่ากูจะคอลเอาต์เรื่องนี้ แต่วันนี้มึงไม่คอลแล้ว กูเลิกติดตามมึง แฟร์ๆ เลยครับ ผมไม่มีปัญหา แต่ไม่ใช่ว่าถ้าไม่ติดตามเรื่องนี้แล้วยังมาแบบด่า มาหาเรื่องแซะกับเรื่องที่มันไม่เป็นธรรมกับผม ผมว่าอย่างนี้มันก็ไม่ถูก มาบูลลี่ผม อัตลักษณ์ผม ผมว่ามันก็ไม่ใช่
เมื่อน้าเน็กถามถึงการแขวนคอมเมนต์ที่เห็นต่างแล้วให้คนที่ชอบเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ต่อ นายไพรวัลย์ กล่าวว่า ผมจะไม่พูดถึงใครก็ตามที่ไม่พูดถึงผมก่อน ผมจะไม่แขวนใครก็ตามที่ไม่แขวนผมก่อน โดยเฉพาะทุกคนก็มีสิทธิ ทุกคนมีพื้นที่การติดตาม รู้สึกบางเพจ บางคน มียอดฟอลโลว์อยู่ อาจจะไม่ได้เยอะเหมือนผม แต่ผมรู้สึกว่าในเมื่อคุณพาดพิงถึงผม แล้วเขียนถึงผมยาวมาก ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น และบางอันผมรู้สึกว่ามันไม่จริง มันอาจจะเป็นความจริงแต่มันจริงในมุมของคุณ มันไม่จริงในมุมของผม ในฐานะของคนที่ถูกพาดพิง ทำไมผมไม่มีสิทธิที่จะตอบโต้ ผมก็มีสิทธิที่จะตอบโต้ หรือผมในฐานะของความเป็นผมที่มีคนตามเยอะ ใครจะวิจารณ์อะไรมึงต้องเงียบ มึงห้ามตอบโต้ มึงห้ามชี้แจง มึงห้ามแขวน ผมว่าก็ไม่แฟร์กับผม
เมื่อถามถึงคนที่คาดหวังและผิดหวังกับคอนเทนต์และท่าทีที่เปลี่ยนไป ระหว่างตอนเป็นพระกับตอนที่เป็นฆราวาสแล้ว มีคำอธิบายที่ชัดเจนหรือไม่ นายไพรวัลย์ กล่าวว่า เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงในส่วนไหน ผมไม่เข้าใจ แต่ที่ผมไม่สามารถตอบได้ เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เปลี่ยนอะไร ผมยังคงเป็นผมแบบนี้ตลอด มีโมเมนต์ มีอะไรที่ผมเคยทำ ผมก็ยังทำอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกวันก็แบบคอลเอาต์ พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ มีอะไรเป็นเรื่องส่วนตัวโพสต์ลงเพจไม่ได้ เฮฮาไม่ได้ สนุกไม่ได้ อะไรไม่ได้ ผมว่ามันก็ไม่ใช่
เมื่อถามถึงจุดยืนเพื่อปรับความเข้าใจสำหรับคนที่คาดหวังควรจะเป็นอย่างไร น่าจะเป็นอย่างไร จริงๆ แล้วเป็นอย่างไรกันแน่ และแนวทางการทำคอนเทนต์จากนี้ต่อไป นายไพรวัลย์ กล่าวว่า "ผมจะเป็นตัวตนของผมที่มันหลากหลายและเป็นได้ทุกอย่าง อย่างที่คนคาดไม่ถึง" จากนั้น ได๋ ไดอาน่า ถามว่า ตัวตนของคุณจริงๆ เป็นยังไง นายไพรวัลย์ กล่าวว่า "มันต้องถูกระบุเหรอ" เมื่อถามต่อว่า ไม่...คืออยากรู้เฉยๆ เพราะว่าบางคนตอนที่ฟอลฯ มองว่าเป็นพระ ได้ข้อคิดอะไรไปใช้ต่อในชีวิตจริง พอมาเป็นฆราวาส โดนด่าโดนอะไร ทำไมมองข้ามมันไม่ได้ ต้องมาแขวนอะไรอย่างนี้ แล้วตัวตนจริงๆ เป็นยังไง นายไพรวัลย์ ตอบว่า "ผมว่าผมก็เป็นแบบนี้ แบบที่ผมรู้สึกว่าผมทำแบบนี้แล้วผมโอเค มันทำแบบนี้แล้วมันคือสิ่งที่ผมเป็นในแบบที่ผมเป็น"
เมื่อน้าเน็กถามว่า สรุปว่าหลังจากนี้ในแฟนเพจของคุณ ซึ่งเป็นเพจส่วนบุคคล (individual) นำเสนอทุกอย่างในแบบที่คุณเป็นหลายๆ เรื่อง นายไพรวัลย์ กล่าวว่า ผมมองว่าชีวิตมันไม่ใช่อะไรที่มาสรุปได้อย่างนั้น เหมือนชี้หน้าว่า มึงเป็นยังไงวะ ตัวตนเป็นยังไง ชีวิตมันหลากหลายไหม วันนี้กูอาจจะแฮปปี้ เฮ้ย กูเป็นอย่างนี้ก็ได้ ผมเคยพูดครั้งหนึ่งว่าสมัยที่ผมพูดอะไรแล้วมันเป็นเรื่องซีเรียสมาก ผมแทบจะไม่เคยหัวเราะเลย เพราะผมรู้สึกว่าพอผมหัวเราะแล้วมันขัดอัตลักษณ์ แต่ผมแอบขัดแย้งในใจผมก็คือว่า มึงก็เป็นคนหัวเราะได้นี่หว่า มึงก็เป็นคนสนุกได้นี่หว่า ทำไมมึงไม่หัวเราะบ้าง ทำไมมึงไม่สนุกบ้าง ทำไมมึงต้องให้คนจำคาแรกเตอร์ของมึงแค่ว่ามึงคือพระนักวิชาการ พระที่พูดประเด็นอะไรที่มันเป็นเรื่องซีเรียส หลังจากนั้น ผมไลฟ์กับอาจารย์สมปอง ผมมาอีกโทนหนึ่งเลย แต่ผมก็พูดกับอาจารย์สมปองตลอดว่า อาจารย์อยู่กับผม ก็รู้ว่าผมเป็นอย่างนี้ แต่ผมไม่เคยเอาภาพความเป็นแบบนี้ออกไปบนสื่อ แต่ต้องเข้าใจว่าผมเคารพว่า ใครจะผิดหวังในตัวผม ใครจะไม่ชอบความเป็นตัวผมที่เป็นแบบนี้ ผมไม่วอรี่ (กังวล) เลย ผมเคารพทุกการอันฟอลโลว์ออกไป แต่ผมขอรักษาพื้นที่ผมไว้ สำหรับคนที่เขายังโอเคอยู่ หรือเขาสนใจอะไรบางอย่างที่ยังอยากจะติดตามผมแค่นั้นเอง จะให้มาระบุตัวผมว่าตัวตนมึงเป็นยังไงวะ ไม่ ชีวิตมันเป็นได้มากกว่านี้ อีกหนึ่งปีผมอาจจะเปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่งเลยก็ได้ใช่ไหมครับ ชีวิตมันต้องหลากหลาย มันไม่ควรถูกแช่แข็ง
เมื่อถามว่ามีอะไรที่อยากพูดหรือไม่ได้ถาม นายไพรวัลย์ กล่าวว่า จริงๆ ผมว่าทุกอย่างผมก็อธิบายทุกครั้งไปแล้ว และอธิบายชัด ในเพจผมทุกคนจะชอบบอกว่าผมแขวน แต่ผมคิดว่านั่นคือพื้นที่เดียว ถ้าผมไม่ใช้เพจผมในการอธิบาย ผมจะใช้พื้นที่ไหนในการพูด เหมือนเรามีไมค์อยู่หน้าปาก แต่ไม่ใช้ไมค์ตัวเองในการพูด แล้วจะไปใช้ไมค์อันไหน จะไปหยิบยืมไมค์ของใคร ดังนั้นพื้นที่เดียวที่จะปกป้องตัวผมเองได้ ก็คือเพจของผม และผมเลือกที่จะทำมัน แต่วันนี้ขออนุญาต ผมนั่งรถมากับเลขา ผมไม่ได้ว่าทำเป็นไม่สนใจ ผมไม่ได้ห่วงแค่ผม ผมก็รู้ว่ามันจะต้องมีอิมแพคอะไรบางอย่างแน่ที่จะเกิดขึ้นกับรายการนี้ ผมคุยกับเลขาตั้งแต่ในรถแล้วว่า เดี๋ยวผมขึ้นมาผมจะคุยกับน้า ผมยินดีที่จะมูฟไปเพื่อให้ใครสักคนหนึ่งที่แฟร์กว่านี้ หรือเป็นที่ยอมรับมากกว่านี้มาทำหน้าที่แทนผม (จะขอยุติบทบาทในการทำหน้าที่) ใช่ครับ ผมคิดมาแล้ว ผมไม่ใช่ว่าผมไม่คิด ผมคิด เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะใดๆ อะไรจะเกิดก็ตาม ผมเลือกความเป็นตัวผม ผมไม่เลือกอันอื่นเด็ดขาด ผมจะจัดการและรับผิดชอบตัวผมเอง
ในตอนท้าย นายไพรวัลย์กล่าวว่า ดีใจที่ได้มาทำงาน เป็นเกียรติมาก ผมไม่คิดว่าวันหนึ่งผมจะได้มานั่้งแบบนี้ ได้มาอยู่เวทีเดียวกัน ผมไม่อยากให้บรรยากาศออกไปแบบมีความมาคุ จะให้เหมือนเป็นการอำลาอะไรสักอย่างหนึ่ง เหมือนรุ่นน้องออกจากบริษัท จากนั้น นายไพรวัลย์ได้กอดได๋ ไดอาน่าเพื่อเป็นการอำลา ก่อนที่จะออกกลางรายการ
ชมคลิป คลิกที่นี่