"สฤณี อาชวานันทกุล" นักเขียนคนดัง โพสต์เฟซบุ๊กตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการระบากของ "โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร" หลังประเทศอาเซียนทยอยระบาดกันทั่วแต่ไม่มีรายงานติดเชื้อในประเทศไทย หรือ ภาครัฐจงใจปิดข่าว ถาม ใครได้ประโยชน์
จากกรณี ราคาเนื้อหมูแพงมาก เช่น ซี่โครงหมู ส่วนที่ติดกระดูกซึ่งนิยมนำไปทำเมนูอบ ต้ม ทำน้ำซุป หรือทอดกระเทียม กิโลกรัมละ 140 บาท หมูเนื้อแดงที่นำไปปรุงอาหารเมนูทั่วไป กิโลกรัมละ 170 บาท ส่วนคอหมูที่นิยมนำมาทำเป็นเมนูคอหมูทอด หรือคอหมูย่างแกล้มเหล้าเบียร์ ราคาพุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 200 บาทเลยทีเดียว นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ทำให้เนื้อหมูแพงเนื่องจากโรค ASF ทำให้เกิดความต้องการเนื้อหมูจากไทยมีมาก ฟาร์มขนาดใหญ่เน้นไปที่การส่งออกเพราะขายได้ราคาดี จึงทำให้ขายกันเกลี้ยงฟาร์มจนหมูโตไม่ทัน ส่วนฟาร์มขนาดเล็ก ส่วนหนึ่งเลิกกิจการ เพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 จำนวนหมูในประเทศเลยมีน้อยลง สวนทางกับความต้องการบริโภคที่มีอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับเป็นช่วงเปิดภาคเรียน ภาครัฐมีมาตรการคลายล็อก ทำให้มีครอบครัวและกลุ่มเพื่อนออกมาสังสรรค์กันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะเมนูหมูกระทะต่างๆ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ในขณะนี้เนื้อหมูมีราคาแพงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ม.ค. สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียนคนดังได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว "Sarinee Achavanuntakul" เกี่ยวกับการระบาดของ "ASF" หรือ "โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร" ว่ามีการระบาดในประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เนื้อหมูมีราคาแพง ทั้งนี้ เจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า
"เพิ่งไปดูข้อมูลเรื่องการระบาดของโรค ASF ในหมู อันนี้รวบรวมโดย FAO เมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา จะเห็นว่าระบาดไปทั่วทุกประเทศในอาเซียนรวมทั้งจีนมาพักใหญ่แล้ว แต่ไทยดูบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ประเทศเดียว เพราะรัฐไม่เคยยอมรับว่าเกิดโรค ASF ในไทย จึงไม่เคยรายงาน FAO ถถถถ
คิดว่า น่าจะได้เวลาที่สื่อมวลชนทั้งหลายโดยเฉพาะนักข่าวสืบสวนสอบสวน ลุกขึ้นมาทำข่าวเจาะดีๆ แล้วนะคะว่า "ทำไม" รัฐไทยจึงปิดข่าว ASF มาเป็นปีๆ และใครได้ประโยชน์จากการปิดข่าวนี้บ้าง
รอดูกึ๋นของสื่อไทย"
สำหรับ โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือโรค ASF ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ผู้เลี้ยงสุกรทั่วโลก เนื่องจากจนถึงปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรค
ความร้ายแรงของโรค ASF เป็นเชื้อที่มีความดื้อด้านสูง สามารถอยู่ในเนื้อหมูได้เป็นเวลานาน และทนความร้อนได้ดี แม้จะถูกแปรรูปเป็นแฮมรมควัน ลูกชิ้น ไส้กรอก กุนเชียง หรือเนื้อหมูที่นำมาทำอาหารแล้ว ก็ยังรอดชีวิตอยู่ได้
ถ้าจะให้เชื้อที่เป็นพาหะของโรค ASF ตาย ต้องปรุงอาหารผ่านความร้อนด้วยอุณหภูมิสูงถึง 70 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 20 นาทีขึ้นไป ถ้าเป็นแบบนี้เมนูจำพวกหมูตุ๋น หมูพะโล้ก็น่าจะเอาอยู่
ที่น่ากลัวก็คือ เชื้อที่เป็นพาหะของโรค ASF สามารถหลุดเข้ามาในประเทศไทยได้ ถ้ามีคนเป็นพาหะ แม้ว่าภาครัฐจะมีการจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าหมูแช่แข็งอย่างเข้มงวดแล้วก็ตาม
โชคดีที่กรมปศุสัตว์ของไทยมีมาตรการเข้มงวด ในการนำเข้าสุกร และผลิตภัณฑ์สุกรทุกชนิด จากประเทศที่มีการระบาด ทำให้ในขณะนี้ ไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคซีแอลเอ็มวีที่ปลอดโรค ASF
อ่านโพสต์ต้นฉบับ