วันนี้ (25 ธ.ค.) นายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ อดีตเลขาธิการพรรคภราดรภาพ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ (คลองไทย) เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม (สคส.) กล่าวว่า ตนได้ร่วมประชุมและศึกษาความเป็นไปได้ ร่วมกับ พล.อ.ต.ณัฎฐอรรจน์ ถวิลหวัง ประธานคณะกรรมการ สคส. ซึ่ง พล.อ.ต.ณัฎฐอรรจน์ เคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการแห่งชาติ ศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ ที่ก่อตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี (มติ ครม. 16 ต.ค. 2544) โดยที่ผ่านมา ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ (คลองไทย) มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตอบคำถามกระทู้ที่ 002 ร.ของสมาชิกวุฒิสภาที่สอบถามผ่านราชกิจจานุเบกษา วันที่ 11 ก.พ. 2564 ว่า คณะกรรมการแห่งชาติฯ ชุดดังกล่าวได้บรรจุอยู่ในบัญชีรายชื่อคณะกรรมการที่ยกเลิกของกระทรวงคมนาคมไปแล้ว (สิ้นสุดสถานภาพลงแล้วเมื่อช่วงเดือน พ.ค. 2548) ก็ตาม
นายพันธ์ยศ กล่าวว่า ในปี 2557 พล.อ.ต.ณัฎฐอรรจน์ ได้ตั้งคณะทำงานความร่วมมือยุทธศาสตร์การค้าไทยจีนของรัฐบาลไทยกับ นายหวี่ ปิน ประธานกรรมการบริษัท จงจิ้นริชเวย์ โฮลดิ้ง ประเทศไทย จำกัด และจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลของประเทศไทยบริเวณคลองกระ รองรับการเปิดการค้าเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นเส้นทางการค้าการลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามแนวทางการพัฒนาของ ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ของจีน ที่แสดงต่อที่ประชุมเอเปก ในตอนนั้นประธานาธิบดีจีนได้ประชุมทวิภาคีกับ พล.อ.ประยุทธ์ และยกวาระการพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 มาหารือ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอบรับในความคิดริเริ่มและพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลดังกล่าว และเป็นที่มาของการจัดตั้งศูนย์วิจิยและพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลของประเทศไทยบริเวณคลองกระ (คลองคอดกระหรือคลองไทย) โดยรัฐบาลไทยในอดีตมีมติอนุมัติให้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ (คลองไทย) หากดำเนินการได้นับเป็นโครงการพัฒนาที่เป็นเมกกะโปรเจคของประเทศอีกชิ้นหนึ่งที่จะสร้างเจริญด้านเศรษฐกิจและอื่นๆ ของไทยในอนาคต
นายพันธ์ยศ กล่าวว่า นอกจากนี้ สคส. ได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ร่วมกับสมาคมมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งมี พล.อ.ต.ณัฏฐอรรจน์ เป็นนายกสมาคม โดย สคส.และสมาคมมิตรภาพฯ ได้มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อใช้ในการป้องกันโควิด-19 ให้กับ สปป.ลาว โดย ฯพณฯ แสง สุขะทิวง เอกอัครรัฐทูต สปป.ลาว ประจำประเทศไทย ให้การต้อนรับและรับมอบอุปกรณ์ข้างต้น อีกทั้งตนกับ สคส.นำอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แจกจ่ายให้หลากภาคส่วน เช่น มูลนิธิกู้ภัยหลวงพ่อวัดในกุฏิ-ที่ว่าการอำเภอกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ /มูลนิธิร่วมกตัญญู / โรงพยาบาลดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ และพื้นที่อื่นๆ เพื่อให้คนไทยผ่านวิกฤตไปด้วยกัน
“ในครั้งนั้นคณะได้หารือกับเอกอัครรัฐทูต สปป.ลาว ประจำประเทศไทย เกี่ยวกับการค้า การลงทุน การคมนาคมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสองประเทศในวันข้างหน้า โดยมีเรื่องการขุดคลองกระร่วมเป็นหนึ่งในการหารือด้วย เพราะเส้นทางสายไหมทางทะเลคลองกระ (คลองไทย) จะเกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน และชาติอื่นๆ หากดำเนินการเสร็จสิ้น จะมีเรือสินค้าใช้เป็นเส้นทางผ่านจากไทยไปยังประเทศฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 2,000 ลำ ร่นระยะเวลาการเดินทาง 3 เส้นทางเดิมลงได้ 7 วัน (1. สายตะวันออกจากเซียะเหมิน-มหาสมุทรแปซิฟิก-ทวีปอเมริกา 2. สายใต้จากเซียะเหมิน-เกาะไหหลำ-แหลมญวน-อ่าวไทย-แหลมมลายู 3. สายตะวันตกจากเซียะเหมิน-ทะเลจีนใต้-ช่องแคบมะละกา-แหลมกู๊ดโฮป ทวีปแอฟริกา) และจากการสำรวจข้อมูลโลจิสติกส์การค้าจีน-ไทย พบว่า ผู้ประกอบการธุรกิจตอบรับเข้าร่วมใช้เส้นทางสายไหมทางทะเลเส้นใหม่ของไทยสูงถึงร้อยละ 60 ถือได้ว่าเส้นทางคลองกระ (คลองไทย) จะเป็นเส้นทางที่เปลี่ยนโลก-เปลี่ยนไทยในอนาคต”
นายพันธ์ยศ กล่าวอีกว่า ดังนั้น สคส. ได้จัดทำโครงการ “คลองกระ..เส้นทางเปลี่ยนโลก” เพื่อให้นักธุรกิจรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษา และถ่ายทอดแนวความคิดโครงการนี้ไปสู่รุ่นต่อๆ ไปในอนาคต ในปัจจุบันโครงการนี้ได้ดำเนินกิจกรรมมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้น สิ่งที่ตนหารือกับ พล.อ.ต.ณัฎฐอรรจน์ และฝ่ายที่เกี่ยวพบว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปมาก จากภาวะโควิด-19 ดังนั้น ไทยต้องปรับตัวให้รับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ แม้ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จะบอกว่า ต้องใช้เวลาศึกษารอบด้านในเรื่องนี้ แต่ความจริงแล้วสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติตั้ง กมธ.วิสามัญ เพื่อศึกษาการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. 2563 และดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว รอเพียงบรรจุวาระให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา ตรงนี้ก็ชัดเจนระดับหนึ่งว่าสภาผู้แทนราษฎรสนใจเรื่องนี้เพราะไทยได้ประโยชน์
“แนวคิดข้างต้นของ กมธ.วิสามัญฯ ตรงกับผม และ พล.อ.ต.ณัฎฐอรรจน์ หวังว่าโครงการคลองกระนั้นน่าจะนำมาหารือกันใหม่โดยขอเชิญทุกภาคส่วนร่วมกันเป็นเจ้าภาพศึกษาเรื่องนี้คู่ขนานกับรายงานของ กมธ.วิสามัญฯชุดข้างต้น จากนั้นจัดทำประชามติให้ทุกอย่างโปร่งใสว่าควร-ไม่ควรขุดคลองกระ แต่ตนและคณะเชื่อว่าเมกะโปรเจกต์นี้ หากเดินหน้าได้ ประเทศ-ประชาชนจะได้ประโยชน์ในวันข้างหน้าอย่างสูงสุด”