มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตอบโต้กระทรวงการต่างประเทศ หลังแถลงชี้แจงไม่ออกหนังสือรับรองขอรับบริจาควัคซีนจากโปแลนด์ แจงกรณีแบ่งวัคซีน 1 ล้านโดสแก่เอกชนเอาไปขายเพราะไม่มีงบค่าขนส่งและประกันภัยวัคซีนเลยให้เอกชนคู่สัญญารับผิดชอบ เผยจากนี้หนทางเดียวที่ทำได้ ติดต่อวัคซีนเข้ามาโดยตรงเท่านั้น
วันนี้ (3 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่เฟซบุ๊ก "โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์" มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการยุติขอรับบริจาควัคซีนจากประเทศโปแลนด์เมื่อวันที่ 31 ต.ค. เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้ออกจดหมายยืนยันตามที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร้องขอ ว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย. เฟซบุ๊กโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ได้ลงข้อความพาดพิงถึงการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขอรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นาจากสำนักงานสำรองทางยุทธศาสตร์ของโปแลนด์ จำนวน 1.5 ล้านโดส โดยระบุว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขอให้กระทรวงการต่างประเทศออกจดหมายยืนยันว่ารัฐบาลไทยยินดีรับบริจาควัคซีนดังกล่าว เนื่องจากหน่วยงานผู้บริจาคประสงค์ให้รัฐบาลไทย โดยหน่วยงานภาครัฐที่มีสถานะเป็นผู้แทนรัฐบาลแจ้งเจตนาจะรับบริจาค แต่กระทรวงการต่างประเทศไม่ออกหนังสือดังกล่าวให้ ทำให้การบริจาควัคซีนดังกล่าวต้องยกเลิกไปนั้น
กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แจ้งกระทรวงการต่างประเทศว่า ในการรับบริจาควัคซีนจากโปแลนด์ครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงจะรับวัคซีนจำนวน 1 ใน 3 ของวัคซีนที่ได้รับบริจาคไว้เองเพื่อให้บริการประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และจะมอบวัคซีนที่ได้รับบริจาคมาอีก 2 ใน 3 ให้เอกชนที่เป็นหุ้นส่วนเพื่อนำไปจำหน่ายให้ผู้สนใจเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น กระทรวงการต่างประเทศได้หารือกระทรวงการต่างประเทศโปแลนด์แล้ว ได้รับแจ้งว่าไม่อนุญาตให้นำวัคซีนที่ได้รับบริจาคไปขาย และฝ่ายไทยต้องได้รับ Market Authorization (ได้รับอนุญาตทางการตลาด) จากบริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายวัคซีนโมเดอร์นาด้วย ซึ่งทั้งสองประเด็นเป็นแนวปฏิบัติโดยทั่วไปของการบริจาควัคซีนและเวชภัณฑ์ระหว่างประเทศ และไม่สามารถเจรจาต่อรองเป็นอื่นได้
นอกจากนี้ ตัวแทนบริษัทวัคซีนได้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศในลักษณะเดียวกันว่า จะต้องไม่มีการนำวัคซีนที่ได้รับบริจาคไปขาย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศโปแลนด์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสถานะเป็นผู้แทนรัฐบาลโปแลนด์ ไม่เคยยืนยันว่ารัฐบาลโปแลนด์ยินดีบริจาควัคซีนดังกล่าวให้ฝ่ายไทย โดยที่เป็นที่ชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะนำวัคซีนที่ได้รับบริจาคส่วนหนึ่งให้เอกชนหุ้นส่วนไปขาย และไม่มีหลักฐานใดๆ ว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับอนุญาตทางการตลาด จากบริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายวัคซีนโมเดอร์นาแล้ว กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย จึงไม่อยู่ในสถานะที่จะมีหนังสือยืนยันว่ารัฐบาลไทยยินดีรับบริจาควัคซีนดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและโปแลนด์ และความน่าเชื่อถือของประเทศไทย เมื่อหุ้นส่วนเอกชนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นำวัคซีนที่ได้รับบริจาคไปขาย ทั้งยังอาจทำให้บริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายวัคซีนฟ้องร้องรัฐบาลไทยในภายหลัง การพิจารณาของกระทรวงการต่างประเทศเป็นไปโดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
"กระทรวงการต่างประเทศไม่เคยปิดกั้นความพยายามของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และหุ้นส่วนเอกชน ที่จะขอรับบริจาควัคซีนจากโปแลนด์หรือประเทศใด และในกรณีนี้ได้แนะนำด้วยว่า ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หารือโดยตรงกับหน่วยงานที่ประสงค์บริจาคต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศยินดีสนับสนุนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หากต้องการรับบริจาควัคซีนจากมิตรประเทศในอนาคต" คำชี้แจงกระทรวงการต่างประเทศ ระบุ
ด้านเฟซบุ๊ก "โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์" ออกมาตอบโต้แถลงการณ์ดังกล่าว ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่เคยแจ้งเหตุผลให้ทราบมาก่อน ว่าการที่จะนำวัคซีนล็อตบริจาคให้เอกชนที่เป็นคู่สัญญา นำไปจำหน่ายโดยเรียกเก็บเงินจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศ และขัดเจตนาของทางโปแลนด์และประเทศไทยจะเสียชื่อเสียง ทั้งด้วยวาจา ผ่านตัวแทนที่ได้รับมอบหมายให้เจรจากับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และไม่เคยสอบถามรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับการค้าวัคซีนนี้มายังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เลย แม้ในจดหมายที่เป็นทางการที่กระทรวงการต่างประเทศตอบมายังอธิการบดี ก็ไม่เคยแจ้งว่าเกรงจะมีปัญหาเรื่องนี้ เพราะหากแจ้งเช่นนั้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะได้เข้าปรึกษาหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ และหาแนวทางอื่นในการดำเนินการร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประเทศได้ทันท่วงที คำอธิบายเหตุผลเรื่องนี้ เพิ่งมาปรากฏขึ้นในวันที่ 2 พ.ย.นี้เอง
ทั้งนี้ กรณีที่ไม่มีความยินยอมจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีน ในการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะไปขอรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นามาใช้ในประเทศไทยนั้น ยืนยันว่าได้แจ้งแก่ผู้แทนที่กระทรวงการต่างประเทศมอบให้เป็นผู้ประสานงานว่า มหาวิทยาลัยฯ กำลังดำเนินการเพื่อขอความเห็นชอบจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีน ในการที่จะให้ความเห็นชอบที่ประเทศโปแลนด์จะบริจาควัคซีนโมเดอร์นาให้แก่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐในประเทศไทย ได้ดำเนินการคู่ขนานไปกับการขอให้ทางกระทรวงการต่างประเทศทำจดหมายแจ้งไปยังประเทศโปแลนด์อยู่แล้ว การให้ความยินยอมนี้จะเกิดง่ายขึ้น หากมีจดหมายจากกระทรวงการต่างประเทศรับรองสถานะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกทางหนึ่งด้วย
ส่วนเรื่องการแบ่งวัคซีนอีก 1 ล้านโดสให้เอกชนคู่สัญญานำไปจำหน่ายนั้น มหาวิทยาลัยฯ ได้แจ้งแก่ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่ต้นว่า การบริจาคครั้งนี้ เป็นการบริจาควัคซีนจากคลังสำรองในประเทศโปแลนด์ ผู้รับบริจาคจะต้องส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปตรวจสอบสภาพ สถานะ และล็อตการผลิต ตลอดจนจัดเตรียม dossier (รายละเอียดรายการประกอบยาและการผลิต) ในการจัดส่งและตรวจสอบ จัดการในเรื่องโลจิสติกส์ ในการนำวัคซีนไปยังสนามบิน จัดการในเรื่องการขนส่ง การประกันภัยวัคซีน พิธีการศุลกากร และการบริหารจัดการคลังเก็บวัคซีนในประเทศ ตลอดทั้งการประกันภัยผลข้างเคียงจากการได้รับวัคซีนเอง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเรื่องเหล่านี้คิดเป็นเงินจำนวนหลายร้อยล้านบาท และในกรณีการรับบริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (Astra Zeneca) จากหลายประเทศ หลายครั้ง รัฐบาลไทยก็เคยเป็นผู้รับผิดชอบโดยใช้เงินงบประมาณของรัฐจ่ายไปทั้งหมด
"ในกรณีของธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่มีงบประมาณแผ่นดินให้จ่ายได้ดังกรณีที่รัฐรับบริจาค เราจึงได้ขอให้ภาคเอกชนคู่สัญญาของเราเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ไป และตกลงว่าจะให้นำวัคซีนโมเดอร์นา 1 ล้านโดส ออกไปกระจายฉีดให้ประชาชนทั่วไป โดยคิดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ประกันภัย และโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องได้ ตามราคาต้นทุนที่ได้จ่ายไปจริง (at cost) โดยธรรมศาสตร์แจ้งผู้แทน กต.ว่า เราจะตั้งโต๊ะแถลงข่าว แจกแจงรายการต่างๆ พร้อมทั้งแสดงหลักฐานว่า ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งวัคซีนบริจาคล็อตนี้ มีจำนวนเท่าใด และจะขอให้ผู้ฉีดวัคซีนในส่วน 1 ล้านโดสนั้นช่วยรับผิดชอบร่วมกันด้วย ประเด็นที่สำคัญคือ เมื่อได้คำนวณค่าใช้จ่ายแล้ว เราได้เจรจาตกลงกับเอกชนคู่สัญญาว่า เมื่อหัก 5 แสนโดสที่จะมอบให้ธรรมศาสตร์และโรงพยาบาลเครือข่ายไปฉีดให้ผู้ที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทนออกแล้ว วัคซีนอีก 1 ล้านโดสที่เหลือ ตกลงจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในเรื่องการขนส่ง โลจิสติกส์ และประกันภัย รวมเป็นจำนวนโดสละ 400 บาท เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปโดยไม่มีงบประมาณภาครัฐรองรับ ซึ่งก็ต่ำกว่าราคา 1,100 บาทที่เป็นราคาต้นทุนวัคซีนที่หน่วยงานภาครัฐที่นำวัคซีนชนิดนี้เข้ามาในประเทศ เรียกเก็บจากสถานพยาบาลต่างๆ อยู่เป็นอย่างมาก เราได้แจ้งหลักเกณฑ์และจำนวนค่าใช้จ่ายที่จะขอเรียกเก็บนี้ให้ผู้แทน กต.ทราบด้วยแล้วเช่นกัน"
ส่วนเหตุผลที่กระทรวงการต่างประเทศเกรงว่าจะมีการนำวัคซีนไปจำหน่าย จะทำให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น เป็นเหตุผลและความกังวลที่ไม่เคยแจ้งหรือปรึกษากันก่อน เพราะหากเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขหลักในการออกหนังสือรับรองไปยังประเทศโปแลนด์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อาจจะหาทางขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หรือมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับงบประมาณและการเงิน ให้ช่วยรับภาระในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ซึ่งมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในเรื่องวัคซีนที่ประเทศไทยได้จ่ายไปหลายหมื่นล้านบาทแล้วในปัจจุบัน เพื่อออกใช้แทนเอกชนไป เพื่อให้ได้วัคซีนที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพล็อตนี้ นำเข้ามาฉีดให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางแล้วก็ได้
"ข้อสรุปของเราก็คือ การดำเนินการเรื่องวัคซีนบริจาคจากโปแลนด์ได้ยุติลงแล้ว แต่ธรรมศาสตร์ก็จะยังคงเพียรพยายามที่จะช่วยจัดหาวัคซีนทางเลือก เข้ามาให้แก่ผู้คนทั้งหลายในประเทศนี้อยู่ต่อไป ตามกำลังความสามารถของเรา และด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ ที่พวกเราอยากจะเป็นส่วนเล็กๆ ที่จะทำประโยชน์แก่ประชาชนผู้ทุกข์ยากเดือดร้อนอีกทางหนึ่ง นอกจากที่รัฐได้ดำเนินการอยู่โดยตรง แต่สิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องนี้ของพวกเราก็คือ ยากเหลือเกินที่องค์กรใดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนได้ ถ้าไม่ได้ดำเนินการในนามของรัฐและใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน จนทำให้ไม่อาจมีการเปรียบเทียบต้นทุน หรือราคาของการสั่งซื้อวัคซีนในแต่ละครั้งได้เลย วันนี้เราได้เรียนรู้บ้างแล้ว และจะยกเลิกความพยายามในการติดต่อขอรับบริจาควัคซีนในอีกหลายกรณีที่ได้ติดต่อประสานงานไว้แล้ว ถ้าพวกเราจะพยายามทำเรื่องนี้ต่อไปให้สำเร็จ คงจะเป็นการติดต่อเพื่อซื้อวัคซีนเข้ามาโดยตรงเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น"
อ่านโพสต์ต้นฉบับ