xs
xsm
sm
md
lg

“สุชัชวีร์” ชี้ปัญหาน้ำท่วม กทม.กระทบเศรษฐกิจมหาศาล แนะ 3 ทางรอด ถ้าไม่คิด ไม่เริ่ม ไม่ทำ จม เจ๊ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังโพสต์เฟซบุ๊กแนะนำไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตน้ำท่วมใน กทม. ชี้อีก 10 ปีจะจม กระทบเศรษฐกิจมหาศาล พร้อมแนะทางออกการต่อสู้ 3 ระยะ ชี้ถ้าไม่คิด ไม่เริ่ม ไม่ทำ จม เจ๊ง จบ

เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (เอ้) อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ Suchatvee Suwansawat” เกี่ยวกับวิกฤตน้ำท่วมใน กทม.ในอีก 10 ปีข้างหน้า แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาวิธีรับมือ ไม่เช่นนั้นหาก กทม.จมน้ำจะทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรงมหาศาล ทั้งนี้ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังได้ระบุข้อความว่า

“2554 ถึง 2564 ไม่มีอะไรเปลี่ยน แล้วอีกสิบปี? หาก กทม.จมน้ำ สูญเสียมหาศาล!!!

ข้อมูลทุกสำนักวิจัย สำนักข้อมูลข่าว บอกตรงกันว่า กรุงเทพฯ จมน้ำแน่ในอีกสิบกว่าปี และจะจมมิดไปเรื่อยๆ หากเรายังไม่คิด ยังไม่เข้าใจปัญหา (อย่างลึกซึ้ง) และยังไม่เริ่มที่จะทำอะไรจริงจัง เพราะการอยู่เฉย หรือการแก้ปัญหาแบบเก่า เราคงไม่รอด! และยังมีหลายสำนักวิจัยประมาณว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรงมหาศาลถึง 17.4 ล้านล้านบาทในปี 2030 ซึ่งไม่ถึงสิบปีจากวันนี้

เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เพียงปีเดียวก็เกิน 1.4 ล้านล้านบาทแล้ว แสดงว่าการประมาณการที่ว่าอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ!!! หากเราปล่อยให้ถึงวันนั้น? และเปรียบเทียบมูลค่าความสูญเสีย กับงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2565 มูลค่า 3.1 ล้านล้านบาท พบว่า
มากกว่างบประมาณแผ่นดินปีนี้ถึงเกือบ 6 เท่า!!!
มากกว่างบการ (กระทรวง) ศึกษาประจำปี ถึง 52 เท่า!!!
มากกว่างบสาธารณสุขประจำปี ถึง 116 เท่า!!!
โอ้โห...

ภาพชัด เปรียบเทียบกับมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจว่ามันมากมาย อภิมหาศาลขนาดไหน แล้วเราจะเอายังไงกันดี? เมื่อรู้ว่าภัยน้ำท่วม กทม. คือวิกฤตเศรษฐกิจที่สุดของที่สุดของชาติ! คืนนี้ฝนตกหนักทุกพื้นที่ พี่เอ้ในฐานะนายกสภาวิศวกรขอเวทีนี้แนะนำการต่อสู้กับน้ำท่วมซ้ำซากของ กทม.

1. การต่อสู้ระยะสั้น
ทำได้ทันที! คือการปรับระบบการสูบน้ำจากเครื่องดีเซล มาเป็นใช้ปั๊มสูบน้ำไฟฟ้าอัตโนมัติ เพราะไม่ต้องให้คนมารอเปิดปิด (คืนนี้น้ำท่วมบ้านทุกคน เพราะไม่มีใครมาสตาร์ทเครื่องปั๊มน้ำดีเซล!!!) ทั้งเสี่ยงต่อการผิดพลาด เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันเอี้อให้ทุกเมืองใช้ปั๊มไฟฟ้าที่มีตัวเซ็นเซอร์ทำงานอัตโนมัติ ทำงานทันทีเมื่อน้ำท่วม และหยุดทำงานเมื่อน้ำลด ทั้งใน กทม.ก็มีเสาไฟฟ้าต่อไฟได้ทุกจุด ยิ่งไปกว่านั้น แบตเตอรี่ยังเก็บพลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้นทุกวัน (รถบรรทุกไฟฟ้าข้ามเมืองยังทำได้ แค่ปั๊มสูบน้ำ มันง่ายกว่าเยอะครับ) ที่สำคัญไม่ต้องมีคนเวียนกันมาเติมน้ำมัน ขาดประสิทธิภาพ เก็บแรงงานคนไว้ทำงานอื่นดีกว่า จริงไหมครับ? ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เครื่องสูบน้ำทุกเครื่องใน กทม.นับพันๆ เครื่องสามารถทำงานสอดประสาน ช่วยงานกันได้เต็มที่ ด้วยระบบไฟฟ้าอัตโนมัติ ไม่สูบน้ำใส่กัน ย้อนไปย้อนมา แทนที่แบบเครื่องดีเซลโบราณที่สูบแบบตัวใครตัวมัน! แบบนี้ก็บรรเทาน้ำท่วมได้ทันใจ คนเดือดร้อนน้อยลงทันที!

2. การต่อสู้ระยะกลาง
“แก้มลิงใต้ดิน” และบนดิน ต้องเริ่มออกแบบก่อสร้างแล้วในกรุงเทพฯ ชั้นใน เพราะความสูญเสียต่อปีมหาศาล และจะมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ทุกเมืองที่เคยเจอวิกฤตน้ำท่วมหนักยิ่งกว่ากรุงเทพฯ หลักฐานชัด แก้ปัญหาได้ ทำสำเร็จด้วยวิธีนี้ ทั้งโตเกียว ฮ่องกง สิงค์โปร์ กัวลาลัมเปอร์ แล้วเรารออะไรอยู่?

ปัจจุบัน กรุงเทพฯ คือ “กระทะคอนกรีตยักษ์” ก้นลึกขึ้นทุกวันๆ อยู่ต่ำกว่าคลอง ต่ำกว่าเจ้าพระยา กระทั่งต่ำกว่าทะเลในหลายพื้นที่ ที่พออยู่รอดไปวันๆ ประทังชีวิตได้ด้วยการสูบน้ำจากล่างขึ้นบนไประบายสวนทางธรรมชาติ ไม่มีทางยั่งยืน แม้แก้ไขด้วยการเปลี่ยนมาใช้ปั๊มสูบน้ำไฟฟ้าแบบอัตโนมัติตามพี่เอ้แนะนำในข้อ 1 ก็เป็นเพียงการแก้ไขระยะสั้น ประทังไปเท่านั้น

ดังนั้น “แก้มลิงใต้ดิน” เพื่อพักน้ำรอระบาย คือทางรอดของกรุงเทพฯ ชั้นใน ปัญหาน้ำท่วมจากน้ำฝนแก้ได้ทันที วันนี้กำลังจะเกิดขึ้นแห่งแรกที่วัดเล่งเน่ยยี่ที่พี่เอ้เป็นที่ปรึกษา จะทำพื้นที่จอดรถใต้ดิน 3 ชั้น เป็นแก้มลิงใต้ดิน รับน้ำท่วมย่านเจริญกรุง กทม.ชั้นใน

3. การต่อสู้ระยะยาว
ข้อ 1 และข้อ 2 เพื่อต่อสู้กับน้ำฝนเท่านั้น ซึ่งน้ำท่วมซ้ำซากของ กทม.ไม่ใช่มีแค่น้ำฝน แต่จากนี้ไป กรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับอีก 2 น้ำ คือ น้ำเหนือไหลบ่า และน้ำทะเลหนุนสูง จุดตายแท้จริงคือ 2 น้ำนี้!!!

ทำไม? เมื่อเกิดน้ำเหนือบ่า และน้ำทะเลหนุน กรุงเทพฯ จะสิ้นสภาพทันที เหมือนกับปี 2554 เพราะเราจะไม่สามารถระบายน้ำออกจากเมืองได้ และยังถูกถาโถมด้วยน้ำทะลักรอบทิศทาง จม จบ!!!

ทางรอดคือ 1. ต้องเริ่มสร้างคันกั้นน้ำทะเลหนุนแนวชายทะเล และ 2. ขยายเส้นทางน้ำเหนือ สายหลัก ออกสู่ทะเล ทั้งไม่ให้มีถนนขวางกั้น ไม่สะดุด ไม่ชะลอ!

โครงการแบบนี้มีรายละเอียดเยอะมาก เล่ากันนานและใช้เวลายาวนาน ทั้งการออกแบบ ประชาพิจารณ์ ก่อสร้างก็ต้องต่อเนื่อง... จึงต้องมุ่งมั่น ตั้งใจเริ่มทำจริง เพราะอาจมีผลกระทบต่อประชาชนไม่น้อย การแก้ไขด้วยทุกกระบวนการเยียวยาคงต้องนำมาใช้ ซึ่งท้าทายมาก ดังนั้นคิดวันนี้ กว่าจะสำเร็จใช้เวลาเป็นสิบปี หรือหลายสิบปี แต่ถ้าไม่คิด ไม่เริ่ม ไม่ทำ จม เจ๊ง จบข่าว!! ทุกข้อเสนอของพี่เอ้ทำได้จริง ประเทศที่เคยเจอวิกฤตน้ำท่วมยิ่งกว่าเราก็ทำมาแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำ ก็เท่านั้นเอง”



กำลังโหลดความคิดเห็น