พบรถยนต์แลนด์โรเวอร์ของประชาชนที่สัญจรไปมาบนถนนวิภาวดีรังสิตพลิกคว่ำ ระหว่างผู้ชุมนุมกลุ่มวัยรุ่นที่ขับไล่รัฐบาลปะทะตำรวจควบคุมฝูงชน คนขับเผยมีคนตัดหน้า 2 คน รถทางฝั่งเลนขวาเบรกกะทันหันจึงหักหลบก่อนพลิกคว่ำ บาดเจ็บข้อศอกขวา โฆษกตำรวจโต้เฟกนิวส์รถจีโน่ฉีดน้ำ แท้ที่จริงคือดับไฟ
เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ในโลกโซเชียลมีการแชร์คลิปรถยนต์แลนด์โรเวอร์ประสบอุบัติเหตุบริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ขาเข้า บริเวณหน้าถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพฯ พบว่าประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ระหว่างการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นซึ่งออกมาขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน
ต่อมามีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนกล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงระบุว่า “ท่านทำให้รถยนต์คันนี้เกิดอุบัติเหตุเพราะการปิดกั้นการจราจรของพวกท่าน ท่านทำให้อุบัติเหตุเกิดขึ้น เพราะพวกท่านขว้างปาระเบิด ยิงลูกแก้ว ลูกนอต ปิดกั้นการจราจร ทำให้พี่น้องประชาชนที่สัญจรไปมาเขาหวาดกลัวว่าเขาจะได้รับอันตรายจากการกระทำของท่าน จนทำให้รถเก๋งคันนี้เกิดพลิกคว่ำขึ้นมา อาจจะเกิดการสูญเสียในชีวิตของเขาได้”
อีกคลิปหนึ่ง เป็นการสัมภาษณ์เจ้าของรถคันที่ประสบอุบัติเหตุ ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุขับรถมาทางตรง แล้วก็เข้าช่องทางด่วน แต่ว่ามีคนกระโดดข้ามแบริเออร์ข้ามมา แล้วรถทางฝั่งเลนขวาก็เบรกกะทันหัน จึงหักหลบไปทางซ้ายแล้วก็เกิดพลิกคว่ำเพราะหักหลบกะทันหัน เมื่อตำรวจถามว่าตอนที่ชนมามีคนข้ามถนนมากี่คน ชายคนดังกล่าวจึงตอบว่า ตนเห็นแว้บๆ มี 2 คน แล้วทำให้รถทางฝั่งขวาเขาเบรกกะทันหัน ตอนแรกวิ่งมาเลนที่สองจากซ้าย พอมาปุ๊บเขาเบรกกะทันหัน ตนหักหลบมาเลนซ้ายสุดแล้วพลิกคว่ำ ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลถลอกบริเวณข้อศอกด้านขวา
เรื่องนี้ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่า เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. กลุ่มผู้ก่อเหตุพยายามขว้างปาระเบิดชนิดต่างๆ จากฝั่งถนนวิภาวดีรังสิต ขาเข้า ตัดถนนมิตรไมตรี 2 ขณะนั้นรถยนต์แลนด์โรเวอร์มาในช่องทางคู่ขนานเลนซ้ายสุด แต่เมื่อพบกลุ่มผู้ก่อเหตุพยายามข้ามเกาะกลางถนน ทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำแล้วเกิดเพลิงไหม้ใกล้จุดพลิกคว่ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตัดสินใจนำรถฉีดน้ำแรงดันสูง (จีโน่) ออกมาดับไฟ จากการสอบถามผู้บาดเจ็บพบว่าอาการปลอดภัยดี ส่วนที่มีบุคคลบางกลุ่มนำข้อมูลไปบิดเบือนสร้างเฟกนิวส์อ้างว่าตำรวจฉีดน้ำเป็นเหตุทำให้เกิดรถยนต์พลิกคว่ำนั้น ความจริงเป็นอุบัติเหตุเกิดจากการหักหลบผู้ก่อเหตุที่พยายามจะข้ามฝั่งมาก่อเหตุซ้ำ