พญ.นงนลินี จัยสิน โพสต์ข้อความถึงพิธีกรเล่าข่าวดัง ถามทำไมไม่เจาะลึกคนไข้ในโรงพยาบาลสนามรับกลุ่มไหน ชี้เห็นแค่คนไข้หนักแล้วร้องไห้ แต่กลับกดดัน สปสช. กรมการแพทย์ขอยาอันตรายแจกคนไข้หนักเสียเอง ทำแบบนี้จะเป็นเหมือนต่างประเทศ ได้สายพันธุ์ไวรัสเป็นของตัวเอง เตือนทำอะไรด้วยความแค้น จะเป็นบูมเมอแรงสะท้อนกลับมา มองปัญหาแล้วปัญญาต้องมา ต้องช่วยกันเพื่อประเทศชาติ
วันนี้ (21 ก.ค.) เฟซบุ๊ก Nongnalinee Jaisin ของ พญ.นงนลินี จัยสิน โพสต์ข้อความถึงกรณีที่ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง ระบุว่า “ต้องถามคุณสรยุทธกลับ ถามดาราคอลเอาต์ ถามหมอที่เอาแต่วิจารณ์ ถามทุกคนที่สร้างเฟกนิวส์มาตั้งแต่ต้น และถามนักการเมืองที่ใจดำคอยขัดขวางการทำงานทุกอย่าง ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายค้าน
ดิฉันเพิ่งมีโอกาสได้ไปอาสาที่ กทม. เมื่อไม่นาน สิ่งที่เห็นคือ คนไข้ส่วนใหญ่ที่เข้าถึงบริการ คือ กลุ่มสีเขียว กลุ่มคนในค่ายในแคมป์ของเจ้าของกิจการ ที่เข้าถึงบริการง่ายและหน่วยงานรับน้ำท่วมปาก ทำไมคุณเป็นนักข่าวไม่ไปเจาะลึกว่าคนไข้ใน รพ.สนาม แต่ละวันรับคนไข้กลุ่มไหน รับมาแล้วต้องอยู่ถึง 14 วัน ขณะที่คนติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน
คุณเห็นแค่ปลายทางที่คนไข้หนัก คุณร้องไห้ คุณประสานผู้บริหาร สปสช. กรมการแพทย์ที่อยากเอายามาแจกคนไข้หนักเสียเอง โชคดีบังเอิญที่ดิฉันได้รับรู้ความพยายามอันนี้ จึงพยายามโพสต์ พยายาม โทร.เข้ากรมการแพทย์ เพื่อมิให้พวกคุณนำยานำออกซิเจนมาแจกเสียเอง เพราะอะไร?
เพราะคนเหนื่อยไม่ต้องการแค่ยาไม่ต้องการออกซิเจน ต้องการการประเมินดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องการยาลดการอักเสบที่ใช้ฉีดเอา มิได้กินเอา ถ้ารักษาคนไข้หนักกันเอาเอง เราก็จะเหมือนอังกฤษ ที่ช่วงนึงคนตายเยอะมาก เพราะแจกยาต้าน
ไวรัสและสเตียรอยด์ ผลที่ตามมาคือได้พันธุ์ไวรัสเป็นของตัวเอง
ดิฉันห้ามมิใช่ว่าเรื่องการเมือง เพราะดิฉันไม่เคยได้ผลประโยชน์จากการบริหารบิ๊กตู่สักบาท ดิฉันไม่เคยถามว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แต่อยากจะบอกว่าเราจะไม่มีวันมาถึงจุดนี้เลยถ้าเราไม่อคติต่อกัน เอาเรื่องการเมืองนำ เราควรจะได้นักข่าวที่ช่วย รพ.สนามเต็มที่ เราควรจะได้นักข่าวที่เป็นกระบอกเสียงแทน และกดดัน รพ.สนาม ให้รับคนไข้หนักมากกว่าคนไข้ครองเตียงเพื่อประกัน
เราควรจะได้ดาราที่ช่วยกันบริจาคเพื่อ รพ. หรือเพื่อ ปชช. ที่ตกงาน หรืออย่างน้อยแรงจิตอาสาก็ยังดี ในการช่วยดูแลคนไข้สีเขียวแบ่งเบาภาระสาธารณสุข
ดาราเป็นจิตอาสา ความเป็นบุคคลสาธารณะ ทำให้คนฮึกเหิมอยากอาสามากขึ้น ความเป็นดารา ความเป็นนักข่าว ที่เป็นบุคคลสาธารณะ คุณได้จากสังคมมากมาย ยามบ้านเมืองปกติ คุณควรรัก ปชช. มากกว่าการเมือง นาทีนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ชีวิต ปชช. มิใช่คอลเอาต์หรือใครจะอยู่จะไป
หมอบางคนถูกยกย่องเป็นหมอแห่งประเทศ เพราะด่ารัฐบาลได้สะใจ มากกว่าที่จะเสียสละทุ่มเทแบ่งเบาภาระคนหน้างาน ขนาดดิฉันไปอยู่แค่ 7 วัน ยังเปลี่ยนสีคนไข้ให้คนสนใจแล้วนำมาเป็นนโยบายได้ พวกคุณอยู่ กทม. ตลอด ทำมาหากินร่ำรวยมีเครดิตทางสังคม หากคุณทุ่มเททำงานร่วมกับแพทย์ด่านหน้า คุณจะเห็นเหมือนสิ่งที่ดิฉันเห็น
แต่ถึงอย่างไรขอบคุณคุณสรยุทธ คุณได้ที่กลับลำ ไม่สร้างความลำบากใจให้แพทย์ที่อยู่ด่านหน้า ด้วยการดื้อดึงที่จะหายา favi (ยาฟาวิพิราเวียร์) และสเตียรอยด์มาแจกเอง เห็นตัวอย่างประเทศที่ทอดทิ้งคนไข้แจกยากินเองแม้ในคนไข้หนักไหมคะ?
ทั้งอังกฤษ ทั้งอินเดีย ทั้งอเมริกา เขามีสายพันธุ์เป็นของตัวเอง สาธารณสุขเราเข้มแข็ง เพราะเราหล่อหลอมมาจากใจ พระบรมราชชนกมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม ท่านรักษาคนไข้ที่แมคคอร์มิค ท่านเอากระโถนฉี่ ใต้เตียงให้คนไข้เมื่อคนไข้ร้องขอ ท่านทำเป็นตัวอย่างได้ ท่านจึงสอนพวกเราให้รักคนไข้ได้อย่างศักดิ์สิทธิ์มายาวนาน
จำไว้ว่าเมตตาบารมีสำคัญที่สุดค่ะ เมื่อเราทำอะไรด้วยความแค้น แรงแค้นจะเป็นบูมเมอแรงสะท้อนกลับมาที่เรา...มากกว่าใคร
มองตรงไหนเห็นปัญหา ปัญญาต้องตามมาค่ะ มิใช่ช่องทางจัดการรัฐบาลตามมา... นาทีนี้เราต้องช่วยกันเพื่อประเทศชาติของเรามิใช่เพื่อคุณประยุทธหรือคุณทักษิณค่ะ...
อยากฝากข้อคิดเรื่องเล่าเช้านี้ไว้
ว่าจะไม่พูดเรื่องการเมืองอดไม่ได้เหมือนสิ่งเสพติดมีแต่หายนะ
ขอโทษทุกคนที่เคยนำมาออกสื่อเล็กๆ ใน พท.ดิฉัน มิใช่การแฉ แต่คือการเตือนสติ จากพี่จากน้องจากคนนึงที่รักประเทศชาติไม่อยากให้พวกคุณหลงทาง...”