นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ยกกรณีพยาบาลเสียชีวิตจากโควิด-19 แม้ฉีดซิโนแวคครบ 2 โดส ชี้ระดับภูมิคุ้มกันลดลงอย่างรวดเร็ว ร้องขอวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่สามที่ต่างกัน ย้ำไม่ใช่วีไอพี ไม่ใช่อภิสิทธิชน แต่เพื่อให้ทำงานต่อไป ไม่ให้แพร่เชื้อไปหาคนอื่นได้
วันนี้ (11 ก.ค.) เฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” ของ นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความกรณีการเสียชีวิตของพยาบาลวัย 30 ปีที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ระบุว่า “วัคซีนชิโนแวค หลังจากฉีดสองเข็มจะเห็นภูมิคุ้มกันที่ยับยั้งไวรัสได้ที่ 30 วัน หลังจากฉีดเข็มที่สอง
ในระยะแรกที่พวกเราทำงานจะไม่ค่อยเห็นบุคลากรทางสาธารณสุขติดเชื้อเท่าไหร่ และที่ติดอาการไม่ค่อยมาก แต่แน่นอนแพร่เชื้อไปให้คนอื่นได้โดยมีปริมาณไวรัสในจำนวนสูง
ในระยะต่อมา พวกเราเริ่มติดเชื้อกันมากขึ้นเรื่อยๆ น้องพยาบาล หมอ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นๆ เด็กๆ ที่เพิ่งจบการอบรม กำลังจะไปทำงานที่ต้นสังกัดที่ต่างจังหวัด พบการติดเชื้อเช่นกัน และอาการเริ่มดูเหมือนเห็นชัดเจนขึ้น เริ่มมีปอดอักเสบขึ้น แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต และเราก็เชื่อมั่นว่าอย่างน้อยอาการก็ไม่หนัก และจนกระทั่งที่เห็นในรายนี้
ทั้งนี้ เมื่อเราตรวจสอบภูมิคุ้มกันในเลือดของพวกเรากันเอง รวมทั้งคนที่ปฏิบัติงานในห้อง LAB ที่ต้องเจอเชื้ออยู่ตลอดทุกวัน พบว่าระดับภูมิคุ้มกันลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในระยะแรกจะสูงถึง 90% ก็ตกลงมาเหลือ 30 ถึง 40%
และเมื่อทำการวิเคราะห์รายที่ภูมิคุ้มกันยังอยู่ในระดับพอใช้ได้คือ 70% ปรากฏว่าสู้กับไวรัสอัลฟาและเดลตาแทบไม่ได้เลย ซึ่งเป็นงานของอาจารย์ ดร.อนันต์ ที่ไบโอเทคร่วมกันกับอาจารย์หมอเขตต์ สถาบันโรคทรวงอกและกับพวกเราที่วิเคราะห์ระดับภูมิคุ้มกันในเลือด
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้ามีโอกาสจะเจอผู้ติดเชื้อ ทั้งที่มีและไม่มีอาการอยู่ตลอดเวลา เมื่อติดมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ทั้งผู้ป่วยและเพื่อนร่วมงาน เกิดปัญหาในผู้ป่วย และเกิดปัญหาที่บุคลากรต้องหยุดงานพักตัว กักตัว และกักโรคของตนเอง
ที่พวกเราร้องขอวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่สาม และให้ข้อมูลว่าเมื่อฉีดเข็มที่สามด้วยวัคซีนที่ต่างจากซิโนแวคไปแล้วจะทำให้ภูมิสูงขึ้นมาก และทนทานต่ออัลฟาและเดลตาได้ เรียนย้ำพวกเราไม่ใช่วีไอพี ไม่ใช่คนที่มีอภิสิทธิ์กว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศ แต่เพื่อให้ทำงานต่อไปได้ เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปหาคนอื่นได้มากหลาย”