อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร สุดอึดอัดใจและโมโห หลังนักศึกษากลุ่มเสี่ยงเข้าหอพักไม่ได้ กลับบ้านที่นครพนมไม่ได้ พอถามถึงโรงแรมของมหาวิทยาลัย ที่ใช้เป็นพื้นที่กักตัวกลุ่มเสี่ยง กลับบอกว่ายกให้กับจังหวัดเป็นที่กักตัวไปแล้ว ไม่มีพื้นที่เหลืออยู่ สุดท้ายต้องไปพักกับเพื่อนที่หอพักของเพื่อน ชี้ พบการกีดกันกลุ่มเสี่ยง หวั่นเพิ่มความเสี่ยงให้กับสังคมส่วนรวม
วันนี้ (22 มิ.ย.) ในโลกโซเชียลฯ ได้แชร์ข้อความจากผู้ใช้เฟซบุ๊กนามว่า “พสุธา โกมลมาลย์” อาจารย์สาขาวิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ระบุว่า “อยากเล่าเรื่องนี้ด้วยความอึดอัดใจและโมโห เรื่องมีอยู่ว่า วันนี้ (หมายถึงวันที่ 21 มิ.ย.) เวลาประมาณ 20.00 น. อาจารย์ที่สอนเอกปฐมวัยหันมาปรึกษาว่า นักศึกษาที่ไปสังเกตการสอนชั้นอนุบาล ที่โรงเรียนอนุบาลสกลนคร ตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจสัมผัสกับเด็กนักเรียนที่ติดเชื้อ และต้องเข้าทำการตรวจเชื้อในวันนี้ ซึ่งผลตรวจจะออกในวันรุ่งขึ้น หลังจากตรวจเสร็จจึงทำการเดินทางกลับหอพัก
แต่ปรากฏว่า พอหอพักที่นักศึกษาเช่าอยู่ทราบข่าว ทางหอพักกลับไม่ให้นักศึกษาเข้าพักในหอพัก เนื่องจากมองว่านักศึกษาเป็นกลุ่มเสี่ยง เมื่อหอพักที่นักศึกษาเช่าอยู่ ไม่ให้นักศึกษาเข้าพัก นักศึกษาจึงทำการขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านที่จังหวัดนครพนม แต่เหตุการณ์กลับเลวร้ายไปกว่านั้น คือ เมื่อถึงหมู่บ้าน นักศึกษากลับถูกปฏิเสธการเข้าพื้นที่ เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยง ทำให้นักศึกษาจึงต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับจากนครพนมมาถึงมหาวิทยาลัย พร้อมติดต่ออาจารย์ที่ปรึกษา
อาจารย์ท่านนั้นถามผมว่าเราพอจะมีทางช่วยเหลือนักศึกษาได้อย่างไรบ้าง ผมตอบกลับไปทำไมจะไม่ได้ล่ะ เพราะมหาวิทยาลัยเราก็มีโรงแรมภูพานเพลซ ที่ใช้เป็นพื้นที่กักตัวกลุ่มเสี่ยงอยู่ บังเอิญผมพบท่านรองอธิการพอดีจึงแจ้งท่านให้ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ท่านรองอธิการฯ จึงได้ติดต่อไปยังคณาจารย์ที่ดูแลกำกับ เกี่ยวกับสถานการณ์โควิดของมหาวิทยาลัย อาจารย์ที่กำกับดูแล ได้ติดต่อไปยังทางจังหวัดเพื่อหาพื้นที่ให้นักศึกษาได้พักและกักตัว แต่ทางจังหวัดประเมินว่า นักศึกษาคนนี้เป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำ จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะให้เข้าพักในพื้นที่กักตัว และให้กับตัวเองอยู่ในบ้านหรือหอพัก
อาจารย์ที่ทำหน้าที่ดูแลสถานการณ์เกี่ยวกับโควิด ถามจังหวัดไปว่า เมื่อหอพักและบ้านไม่สามารถเข้าอยู่ได้จะให้ทำอย่างไร ทางจังหวัดถามกลับมาว่าแล้วมหาวิทยาลัยมีพื้นที่หรือมีนโยบายอย่างไร คำตอบที่น่าสนใจ คือ มหาวิทยาลัยให้พื้นที่โรงแรมภูพานเพลซ ที่เป็นพื้นที่กักตัวของมหาวิทยาลัยกับจังหวัดสกลนครไปแล้ว จึงไม่มีพื้นที่เหลืออยู่ และสุดท้ายจังหวัดให้มหาวิทยาลัยจัดการเอง
เพื่อนอาจารย์โทร.หานักศึกษาที่เริ่มมีอาการร้องไห้เสียงสั่นเครือ เพราะต้องอยู่คนเดียวกับกระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบ และยังไม่รู้ว่าสุดท้ายตัวเองจะไปพักที่ไหน ท้ายที่สุด ต้องให้นักศึกษาไปพักกับเพื่อนที่หอพักของเพื่อน (ซึ่งกลายเป็นผู้รับความเสี่ยง แม้จะต่ำ) สิ่งที่ควรคิด คือ เด็กอยู่ในสภาวะความเสี่ยงอันเนื่องจากกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เด็กไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน ที่สำคัญมหาวิทยาลัยมีพื้นที่รองรับกรณีแบบนี้ แต่ไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากส่งมอบพื้นที่ให้แก่จังหวัดไปแล้ว ทำให้เราไม่สามารถใช้พื้นที่ในการดูแลเด็กนักศึกษาของเราได้
ผมอยากจะขอบคุณคณาจารย์ทุกท่าน ที่เข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน ในการแก้ปัญหาในครั้งนี้ แม้ว่าสุดท้ายมันจะเกินกำลังความสามารถของพวกเรา มันทำให้เห็นว่าทุกท่านเป็นอาจารย์ด้วยจิตวิญญาณ ที่รับผิดชอบต่อเด็กๆ ที่เข้ามาร่ำเรียน แต่สุดท้ายผมเชื่อว่าอาจารย์ ทุกท่านที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาครั้งนี้ รู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างยิ่ง ที่เราไม่สามารถดูแลเด็กนักศึกษาของเราได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ผมหวังว่ามหาวิทยาลัยคงต้องพิจารณา ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
หลังข้อความนี้ถูกแชร์ออกไป พบว่า ชาวเน็ตวิจารณ์จำนวนมาก ทั้งหอพักนักศึกษาที่ปฏิเสธไม่ให้เข้า คนในหมู่บ้านที่นครพนมก็ห้ามเข้า มหาวิทยาลัย รวมทั้งหน่วยงานในจังหวัดนี้ ที่ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือพวกเขาได้ สำหรับโรงแรมภูพานเพลซ เป็นของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ใช้เป็นศูนย์ฝึกประสบการณ์วิชาชีพธุรกิจโรงแรมของนักศึกษา ประกอบด้วย ห้องพักประมาณ 60 ห้อง ห้องประชุม 2 ห้อง ได้แก่ ห้องประชุมดุสิตา ห้องประชุมมณีเทวา และห้องจัดเลี้ยง 2 ห้อง ได้แก่ ห้องทรายพลอย และห้องทรายแก้ว ปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่กักตัวสำหรับจังหวัดสกลนคร
ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊กนามว่า “พสุธา โกมลมาลย์” ได้โพสต์ข้อความอีกครั้ง ระบุว่า “ผมขอขอบคุณทุกท่าน ที่ให้ความสนใจถามไถ่และเป็นห่วงนักศึกษา ในกรณีนักศึกษาที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจากการไปสังเกตการสอนที่โรงเรียนอนุบาลสกลนคร ผมขอแจ้งให้ทราบว่า ขณะนี้นักศึกษาได้สถานที่พักและกักตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้ไปอาศัยหอพักของเพื่อนนักศึกษา ที่ไปสังเกตการสอนที่โรงเรียนอนุบาลสกลนครด้วยกัน
ผมต้องขอขอบคุณคณาจารย์ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร และเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ที่พยายามติดตามเรื่องนี้อย่างสุดความสามารถ แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนอยากให้มันเกิดขึ้น ผมทราบว่าเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทำงานอย่างสุดความสามารถในหน้างานที่ตนรับผิดชอบ
สิ่งที่ผมพยายามจะนำเสนอ คือ ช่องว่างเล็กๆ ในสังคมที่แสดงถึงความไม่เข้าใจของสังคม ที่มีต่อกลุ่มคนที่มีความเสี่ยง และประพฤติปฏิบัติต่อกลุ่มเสี่ยงในฐานะที่เขาแตกต่างจากเรา ดังเช่นในกรณีนี้ เราพบการกีดกันกลุ่มเสี่ยง ให้ไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานอย่างที่พักอาศัย ซึ่งการกันกลุ่มเสี่ยงออกจากการเข้าถึงที่พักอาศัยเพื่อใช้ในการกักตัว ย่อมเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับสังคมโดยส่วนรวม
ประเด็นกลุ่มเสี่ยงและการประพฤติปฏิบัติตนต่อกลุ่มเสี่ยง เป็นเรื่องที่เราพูดคุยกันน้อยมากในสังคม ว่า เราควรจะปฏิบัติตัวหรือจัดการกลุ่มเสี่ยงอย่างไร ซึ่งปัญหาของการสื่อสารกันน้อยเช่นนี้ ทำให้สังคมเกิดความกังวลและความกลัวต่อกลุ่มเสี่ยง อันส่งผลให้ เกิดการกีดกันคนกลุ่มเสี่ยงออกไปจากสังคม
ความวิตกกังวลใจต่อกลุ่มเสี่ยงเช่นนี้เอง ทำให้เกิดช่องว่างในการผลักกลุ่มเสี่ยงออกไปในพื้นที่ที่ไม่สามารถจัดการได้ ประกอบกับช่องว่างของมาตรการหลายๆ อย่างที่เราอาจคิดไม่ถึงที่เกิดจากความกลัวของสังคม ที่ปฏิเสธกักกันกลุ่มเสี่ยงซึ่งส่งผลให้การปฏิบัติงานของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเกิดการติดขัด
การสื่อสารของผม พยายามจะชี้ให้เห็นถึงความกลัวของสังคม ที่ผลักให้คนกลุ่มเสี่ยงกลายเป็นคนที่ไม่มีที่ทางในพื้นที่ของสังคม และกลายเป็นปัญหาที่เราต้องช่วยกันแก้ไข พร้อมทั้งต้องวางมาตรการรองรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
การสื่อสารสร้างความเข้าใจต่อสังคม ว่า กลุ่มเสี่ยงไม่ใช่ผู้ป่วย และเขาเป็นกลุ่มคนที่ต้องได้รับการเอื้อเฟื้อจากสังคม ไม่ใช่การปฏิบัติกับเขาโดยการกีดกันออกจากสังคม จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะทำให้ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นอีก
ท้ายนี้ผมหวังว่า ปรากฏการณ์ครั้งนี้จะทำให้เราในฐานะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับบทเรียน และวางมาตรการในการรับมือปรากฏการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ผมต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ถามไถ่และร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ เพราะปัญหาเช่นนี้แน่นอนไม่มีใครอยากให้เกิด
สุดท้าย ผมขอให้เราทุกคนปฏิบัติตนกับคนกลุ่มเสี่ยง และผู้ติดเชื้อดังเช่นมนุษย์ที่มีจิตใจ อย่ารังเกียจหรือกีดกันเขาให้ไม่มีที่ยืนในสังคม เพราะการรังเกียจและกิจการเขาออกจากสังคมย่อมไม่เป็นผลดีต่อการจัดการการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในสังคมของเรา ขอบคุณครับ